บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 335 พลิกสถานการณ์

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 335 พลิกสถานการณ์

บทที่ 335 พลิกสถานการณ์

ปัง! ปัง! ปัง!

ลูกธนูไร้รูปร่างจำนวนมากพุ่งทะลวงผ่านท้องฟ้าราวกับลำแสงที่ระเบิดออกมาอย่างกะทันหัน และลำแสงทุกสายก็มีกลิ่นอายที่เฉียบคม ดุดัน สังหาร และบดขยี้ได้ทุกสิ่ง

ไม่ว่าพวกมันจะผ่านไปที่ใด ต้นไม้โบราณหนาทึบจำนวนมากจะถูกเจาะโดยตรง และพื้นดินที่แข็งหนาก็จะถูกทำลายจนเศษหินกระเด็นไปทั่วท้องฟ้า เพียงชั่วพริบตา พื้นที่ในระยะสามลี้รอบเนินเขาเล็ก ๆ ก็เต็มไปด้วยรูโหว่เสมือนรังแตน และมันก็อยู่ในสภาพพังยับเยิน

ฉากนั้นน่าตกใจ แต่ก็ไม่สามารถสร้างภัยคุกคามต่อมือสังหารของตำหนักตะวันดำได้แม้แต่น้อย

ภายใต้การนำของผู้บัญชาการทั้งสอง จิ้งจอกแดงและกุหลาบ มือสังหารกว่าร้อยคนได้รวมตัวกันเป็นวงกลมขณะที่พวกเขารุกเข้าหาเฉินซี หากเป็นสถานการณ์ปกติ พวกมันจะไม่เพียงแค่ปิดล้อม แต่พวกมันทุกคนจะโจมตีอย่างรุนแรงที่สุด จนทำให้เกิดการโจมตีและแสงวูบวาบปกคลุมท้องฟ้าและผืนดินมุ่งตรงมายังเฉินซี

กระบวนยุทธ์ระดับเต๋า สมบัติวิเศษ… การโจมตีที่หลากหลายกวาดผ่านฟ้าดินด้วยพลังอันยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัว ซึ่งสั่นสะเทือนบริเวณโดยรอบอย่างรุนแรง ทำให้ท้องฟ้าแตกเป็นเสี่ยง ๆ ราวกับภูเขาไฟได้ปะทุจนแผ่นดินไหวในระยะร้อยยี่สิบจั้ง ทำให้มันน่าสยดสยองเป็นอย่างมาก

เปลวเพลิงที่รุนแรงและประกายแสงเจิดจ้าที่หาที่เปรียบไม่ได้ที่ปล่อยออกมาจากการระเบิดได้บดบังท้องฟ้าและผืนดิน จนมืดหม่นและไม่สามารถมองเห็นทุกสิ่งที่อยู่ในบริเวณนั้นได้อย่างชัดเจนอีกต่อไป

“คราวนี้เจ้านั่นคงจะตายแล้ว” ณ ตำหนักจ้าวปัญญา ภาพในกระจกแห่งการแลกเปลี่ยนที่ลอยอยู่ในอากาศนั้นพร่ามัวไปหมด เนื่องจากมันเต็มไปด้วยประกายแสงหลากหลาย และเมื่อเขาเห็นภาพนี้ นักพรตเต๋าหลงเหอจากนิกายกระเรียนพิสุทธิ์ก็ถอนหายใจออกมา

เขาไม่สามารถทำได้ ช่วยได้แต่ถอนหายใจออกมา

“ไม่ใช่แค่อาจเป็นไปได้ มันต้องตายอย่างแน่นอน!” หวงฝู่จิ่งเทียนหัวเราะอย่างเต็มที่ และน้ำเสียงของเขาก็เผยความดีใจเป็นอย่างมาก “ภายในเวลาไม่ถึงสามวัน สมบัติทั้งหมดที่อยู่ในความครอบครองของเจ้าหนุ่มคนนี้จะตกอยู่ในมือของเรา หรือพวกเจ้าทุกคนไม่คิดว่าสิ่งนี้ควรค่าแก่การเฉลิมฉลอง?”

ขณะที่พูด เขาก็ยกจอกสุราในมือขึ้น ก่อนจะเงยหน้าและกรอกสุราใส่ปาก

เมื่อเห็นภาพนี้ บนใบหน้าของเฒ่าประหลาดคนอื่น ๆ ต่างก็ยิ้มแย้ม จากนั้นก็ยกจอกสุราขึ้นก่อนจะกรอกมันใส่ปากจนหมดเกลี้ยง ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่เพียงพอต่อการระบายความตื่นเต้นและความสุขในใจของเขาแม้แต่น้อย!

“ใช่แล้ว สมบัติที่เราใฝ่ฝันถึงกำลังจะตกอยู่ในมือของเราแล้ว” ในขณะนี้ ไม่มีใครสามารถยับยั้งความตื่นเต้นของพวกเขาได้

ซึ่งอันที่จริง การแย่งชิงสมบัติจากผู้เยาว์นั้นจะเป็นเรื่องน่าละอายหรือไม่นั้น ล้วนไม่มีผู้ใดพูดถึงมันและพวกเขาก็เพิกเฉยต่อเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ไปโดยปริยาย

นี่คือความคิดของผู้ยิ่งใหญ่ ตราบใดที่พวกเขาปรารถนาถึงสิ่งใด พวกเขาก็จะคว้ามันไว้โดยไม่คำนึงถึงชะตากรรมของมดตัวจ้อยเลยแม้แต่น้อย

“หืม? นั่นอะไรน่ะ?” ในขณะที่ทุกคนหัวเราะและดื่มสุราอย่างเต็มที่ นักพรตเต๋าหลงเหอก็สังเกตเห็นโดยไม่ได้ตั้งใจว่าบนพื้นผิวของกระจกแห่งการแลกเปลี่ยน จู่ ๆ ก็สว่างขึ้นด้วยแสงดาวที่พร่างพรายนับไม่ถ้วน

แสงดาวได้เคลื่อนคล้อยไปตามเส้นทางที่ลึกล้ำเพื่อซ้อนทับกันทีละชั้นและเชื่อมโยงเข้าหากัน เพียงชั่วพริบตาเดียว มันก็กลืนแสงจากสมบัติวิเศษที่เจิดจ้าและเปลวเพลิงทั้งหมด…

หลังจากนั้น ฉากในกระจกแห่งการแลกเปลี่ยนก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน

ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวที่ล้อมรอบทุกทิศทุกทาง และร่างของมือสังหารของตำหนักตะวันดำทั้งหมดก็หายไปราวกับว่าพวกเขาหายไปในอากาศ ไม่เหลือร่องรอยของการดำรงอยู่ของพวกเขาแม้แต่คนเดียว

“นี่มัน…”

รูม่านตาของเหล่าตัวประหลาดเฒ่าต่างก็หดตัวลง เมื่อพวกเขาตระหนักได้ทันทีว่านี่เป็นค่ายกลที่ยิ่งใหญ่และซับซ้อนอย่างน่าตกใจ!

ความรู้สึกไม่ดีก็พรั่งพรูเข้ามาในใจของทุกคน

เฉินซียืนอยู่นอกมหาค่ายกลและกำลังหอบหายใจอย่างรุนแรง เนื่องจากเขาได้รับบาดเจ็บอย่างมากภายใต้การโจมตีที่ปกคลุมทั้งสวรรค์และโลก ซึ่งในขณะนี้ ร่างกายของชายหนุ่มถูกเผาไหม้เป็นสีดำ ผมเผ้ายุ่งเหยิง และดูเหมือนว่าจะอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง

แต่เมื่อเห็นค่ายกลที่ปกคลุมไปด้วยแสงดาวที่อยู่ตรงหน้า เฉินซีก็เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย

หลังจากที่เขาฆ่าฉีอิ๋นและหลบหนีจากการถูกปิดล้อมอย่างแน่นหนาของกุหลาบ เขาก็ครุ่นคิดเกี่ยวกับวิธีกำจัดภัยคุกคามทั้งหมด

ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใด เขาก็จะครุ่นคิดอยู่เสมอ

แม้ขณะที่เขากำลังมุ่งไปข้างหน้า เขาก็ครุ่นคิด

ในระหว่างการต่อสู้อันเข้มข้นกับสัตว์อสูรที่น่าสะพรึงกลัวมากมาย เขาก็ครุ่นคิด

หรือในช่วงเวลาที่เขาจะต้องใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บหลังจากได้รับบาดเจ็บสาหัสมาหลายครั้ง เขาก็ครุ่นคิดเช่นกัน

เมื่อคนคนหนึ่งจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ศักยภาพที่ระเบิดออกมาจากคนคนนั้นจะต้องเกินความคาดหมายของทุกคนอย่างแน่นอน ดังคำกล่าวที่ว่า ‘ตั้งสมาธิจนถึงขั้นวิกลจริต จะนำไปสู่ความสุดโต่ง’

ค่ายกลใหญ่ที่ถูกปกคลุมด้วยแสงดาวที่อยู่ตรงหน้าเขา คือผลงานชิ้นเอกของการครุ่นคิดอย่างหนักของเฉินซี

หากเขาต้องการกำจัดศัตรูกว่าร้อยคนในคราวเดียว การวางค่ายกลใหญ่จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ยากเหลือเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัย เนื่องจากค่ายกลใหญ่สามารถใช้เพื่อป้องกันตัวหรือเข่นฆ่าศัตรูก็ได้เช่นกัน

หลังจากที่เขามีความคิดนี้ เขาก็ได้รวบรวมวัสดุจำนวนมากในป่าทมิฬและใช้วัสดุเกือบทั้งหมดที่มีอยู่ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ จึงจะสามารถวางค่ายกลใหญ่เช่นนี้ได้

ค่ายกลใหญ่นี้เรียกว่า ‘ค่ายกลทะเลดาราอันไร้ขอบเขต’ เมื่อผู้บ่มเพาะเข้าสู่ค่ายกลแล้ว ก็จะเหมือนกับว่าพวกเขาได้ตกลงไปในทะเลดวงดาวที่ไร้ขอบเขต ไม่ว่าพวกเขาจะบินหรือขัดขืนอย่างไร พวกเขาก็ไม่สามารถหลบหนีจากการพันธนาการของค่ายกลนี้ได้

เว้นแต่ใครจะรู้วิธีที่จะฝ่าค่ายกลหรือได้บรรลุขอบเขตสถิตกายาและทำลายค่ายกลด้วยกำลัง มิฉะนั้น คนผู้นั้นจะเหมือนกับนกที่ถูกขังอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง ซึ่งไม่สามารถบินหนีไปได้ แม้จะครอบครองปีกอยู่ก็ตาม

พูดง่าย ๆ ก็คือ ทะเลดวงดาวที่ไร้ขอบเขตนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นค่ายกลลวงตาขนาดมหึมา ซึ่งสามารถกักขังศัตรูได้เท่านั้น แต่ไม่มีความสามารถในการโจมตีเลยแม้แต่น้อย

แต่เฉินซีก็ไม่มีทางเลือกอื่น เนื่องจากวัสดุที่เขาครอบครองอยู่และวัสดุที่ได้รวบรวมมาจากป่าทมิฬ สามารถทำได้เพียงแค่สร้างค่ายกลนี้เท่านั้น สำหรับค่ายกลสังหารขนาดใหญ่อื่น ๆ แม้ว่าเขาจะรู้วิธีสร้างค่ายกลขนาดใหญ่ แต่เนื่องจากขาดแคลนวัสดุในการสร้างค่ายกล เขาจึงทำได้เพียงแค่สร้างค่ายกลทะเลดาราอันไร้ขอบเขตเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ของมันก็โดดเด่นเช่นเดียวกัน หลังจากที่เขาใช้ทักษะการยิงธนูที่เขาไม่เชี่ยวชาญ เพื่อแสดงความอ่อนแอให้ศัตรูเห็น ศัตรูของเขาก็ทำตามที่คาดไว้จริง ๆ!

ศัตรูต่างก็คิดว่าเฉินซีไม่มีอะไรเหลืออยู่ในแขนเสื้อและกำลังต่อสู้อย่างดิ้นรนเสมือนกับสัตว์ร้ายที่ถูกขังอยู่ในกรง ดังนั้นคนพวกนี้จึงกล้ารุกไปข้างหน้า แต่ในที่สุดพวกศัตรูก็ตกหลุมพรางที่เขาเตรียมไว้เมื่อนานมาแล้ว ทำให้คนพวกนั้นเปลี่ยนจากผู้ล่ากลายเป็นเหยื่อที่รอการเชือด…

ในขณะนี้ มือสังหารทั้งร้อยห้าคนของตำหนักตะวันดำ รวมถึงจิ้งจอกแดงและกุหลาบได้ติดอยู่ในค่ายกลขนาดใหญ่ ดังนั้นในระยะเวลาอันสั้น พวกเขาจะไม่สามารถหลบหนีได้อย่างแน่นอน

นี่เป็นโอกาส และเป็นโอกาสอันยอดเยี่ยมสำหรับเขาที่จะกำจัดพวกมันทั้งหมดในบัดดล!

เฉินซีกระโจนขึ้นไปทันทีเพื่อพุ่งเข้าไปในป่าโดยไม่ลังเล และเขาก็ทิ้งค่ายกลขนาดใหญ่ไว้เบื้องหลัง

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็มาถึงน้ำตกที่อยู่ใกล้เคียงและหยุดที่ระยะหนึ่งร้อยยี่สิบจั้ง จากนั้นก็ดึงคันธนูทลายดาราออกมาทันที และยิงลูกธนูไร้รูปร่างออกไปโดยไม่ทันตั้งตัว ลูกธนูพุ่งผ่านท้องฟ้าด้วยแรงกระแทกที่ไม่มีใครเทียบได้ ก่อนที่มันจะชนเข้ากับน้ำตกและสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนหินแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ แล้วส่งคลื่นน้ำให้พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

“โฮกกกก!” ในขณะนี้ เสียงคำรามของสัตว์อสูรที่สามารถเขย่าสวรรค์ให้สั่นสะท้านก็ดังก้องออกมา มังกรยักษ์ที่มีลำตัวสีเทาอมฟ้าและปกคลุมด้วยเกล็ดน้ำแข็งอันเย็นยะเยือกได้พุ่งออกมาจากผิวน้ำอย่างรุนแรงพร้อมกับกรงเล็บขนาดมหึมาที่หนาเหมือนถังน้ำซึ่งยื่นออกไปบนท้องฟ้า และมันก็มองหาผู้ยั่วยุที่กล้าบุกรุกสถานที่การบ่มเพาะของมัน

ปัง!

สิ่งที่รอต้อนรับมันคือลูกธนูไร้รูปร่างที่ทั้งดุร้าย คมกริบ ซึ่งเต็มไปด้วยปราณจ้าววิญญาณมากมายดอกหนึ่ง และพุ่งเข้าใส่หัวของมันอย่างดุดัน ทำให้ประกายไฟพร่างพรายปรากฏขึ้นและทำให้เจ้ามังกรตัวนี้โกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก

เมื่อมันเห็นเฉินซี มันก็พุ่งขึ้นจากผิวน้ำและกระโจนเข้าหาชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว ก่อนจะอ้าปากพ่นลำแสงน้ำแข็งที่ดูเหมือนมหาสมุทรออกมา ทำให้ภูเขาและป่าข้างหน้ากลายเป็นน้ำแข็งและสูญเสียพลังชีวิตทั้งหมดไป

เฉินซีหลบหนีอย่างบ้าคลั่งและใช้ปีกนภาดารกะด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี ทำให้ร่างกายของเขาดูเหมือนภาพลวงตาที่โปร่งแสงในขณะที่พุ่งห่างออกไปถึงสองลี้ในทันที

ภายใต้ความเดือดดาลของมัน มังกรตัวนี้ไล่ตามอย่างไม่ลดละ ขาทั้งสี่ของมันกระทืบและบดขยี้ต้นไม้ขนาดใหญ่จนเกิดเป็นพื้นโล่งเตียนขนาดใหญ่ ซึ่งทำให้สัตว์อสูรมากมายที่อยู่ใกล้เคียงตกใจกลัวและวิ่งหนีด้วยความตื่นตระหนก

เฉินซีเคลื่อนตัวผ่านป่าและมาถึงช่องเขาที่เต็มไปด้วยทะเลดอกไม้อย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็ง้างคันธนูทลายดาราอย่างสุดแรงอีกครั้ง เพื่อยิงลูกธนูที่เหมือนกับลำแสงจำนวนมากออกไป ทำให้เกิดรอยแยกที่น่าสะพรึงกลัวมากมายบนทะเลดอกไม้ และทำให้กลีบดอกไม้และฝุ่นผงปลิวว่อนไปทั่วท้องฟ้า

สัตว์อสูรบินได้ที่มีปีกงดงามและขนาดกว่าสี่สิบจั้งพลันบินออกมาจากทะเลดอกไม้ พร้อมกับกระพือปีกของมันอย่างเร่งร้อน เมื่อลูกธนูไร้รูปร่างลูกหนึ่งก่อนหน้านี้เกือบที่จะทำร้ายมัน!

มันเบิกตาสีเลือดที่คมราวกับใบมีดของมัน และบังเอิญเห็นเฉินซีที่ยืนอยู่หน้าช่องเขา มันจึงกระพือปีกของมันทันทีพร้อมกับส่งเสียงร้องด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างชัดเจน ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นกลุ่มควันอันงดงามแล้วพุ่งเข้าหาเฉินซีอย่างดุเดือด

นี่คือสัตว์อสูรที่บินได้อันน่าสะพรึงกลัวยิ่ง ทุกที่ที่มันผ่านไป อากาศจะถูกเฉือนออกจากกันโดยปีกที่คมกริบเหมือนใบมีดของมัน กระแสลมอันน่าสะพรึงกลัวที่พัดพาไปตามร่างกายของมันราวกับพายุที่กวาดไปทั่วภูเขา โขดหิน และต้นไม้โบราณ ทำให้ทุกสิ่งที่อยู่ในวิถีโจมตีของมันกลายเป็นเถ้าถ่าน

เฉินซีหลบหนีอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง และเขาก็มาถึงอาณาเขตของสัตว์อสูรอีกตัวหลังจากนั้นไม่นาน

วานรยักษ์ที่มีความสูงกว่าสิบสองจั้ง ร่างกายปกคลุมด้วยขนสีทองงดงามได้อาศัยอยู่ที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้นมันทั้งดุร้ายและโหดเหี้ยมเป็นอย่างมาก เพียงแค่การฟาดฝ่ามือของมันก็สามารถบดขยี้ภูเขาให้เป็นผุยผงได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้มันยังเป็นจ้าวผู้ปกครองในบริเวณนี้อย่างแท้จริง ซึ่งไม่มีสัตว์อสูรตัวใดที่สามารถเขย่าบัลลังก์ของมันได้สักตัว

เฉินซีไม่ได้เปิดการโจมตีใด ๆ เขาเพียงแค่ทะยานร่างให้ห่างจากรังของวานรยักษ์ขนทองไม่กี่ร้อยจั้ง ซึ่งเพียงเท่านี้มันก็ได้ชักจูงจ้าวสัตว์อสูรที่มีอารมณ์ฉุนเฉียวอย่างสุดจะพรรณาออกมาแล้ว

ด้วยเหตุนี้ ทำให้ป่าทมิฬทั้งหมดตกอยู่ในความโกลาหลเป็นอย่างมาก มังกรที่ใหญ่โตราวกับภูเขา สัตว์อสูรที่บินได้ด้วยปีกที่งดงาม วานรยักษ์สีทองที่มีอารมณ์ฉุนเฉียวและดุร้าย… จ้าวเหนือหัวกว่าสิบตัวจากพื้นที่ต่าง ๆ ก็ถูกเฉินซียั่วยุให้โกรธเกรี้ยวได้สำเร็จ ซึ่งทำให้พวกมันบ้าคลั่งและไล่ล่าเขามาจากในป่า

สัตว์อสูรเหล่านี้ได้พบกันระหว่างทาง แต่ดูเหมือนว่าพวกมันจะคุ้นเคยกันมานานแล้ว ดังนั้นพวกมันจึงไม่ได้เผชิญหน้าหรือต่อสู้กัน แต่พวกมันกลับไล่ตามศัตรูอย่างเฉินซีโดยไม่มีการลดละ

ฉากนี้ทำให้เหล่าสัตว์อสูรตัวอื่นในป่าทมิฬตกใจ พวกมันหวาดกลัวและไม่สบายใจจนตัวสั่น เนื่องจากจ้าวสัตว์อสูรหลายตัวได้ออกมารวมตัวกัน ทำให้พวกมันรู้สึกราวกับจุดจบของโลกได้มาถึงแล้ว

ในท้ายที่สุด ภายใต้การชักจูงของเฉินซี จ้าวสัตว์อสูรเหล่านี้ก็มาถึงที่ด้านหน้าของค่ายกลทะเลดาราอันไร้ขอบเขตแล้ว!

เมื่อพวกมันเห็นเฉินซียืนอยู่ที่ด้านหน้าของค่ายกลขนาดใหญ่และไม่หลบหนีอีกต่อไป สัตว์อสูรเหล่านี้ก็ไม่ได้ถูกครอบงำด้วยโทสะของพวกมัน แต่พวกมันกลับช้าลงและดูเหมือนจะลังเลเล็กน้อยราวกับว่าพวกมันสังเกตเห็นการมีอยู่ของค่ายกลขนาดใหญ่

ฟิ้ว!

ดูเหมือนว่าเขาจะคาดหวังกับสิ่งนี้ไว้นานแล้ว จากนั้นเฉินซีก็หยิบดอกไม้ที่มีสีแดงเหมือนเปลวไฟออกมา กลีบของดอกไม้เผยให้เห็นเส้นสีทองเข้ม ซึ่งแผ่พลังที่พลุ่งพล่านและน่าตกตะลึง อีกทั้งยังส่งกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ออกมาอีกเช่นกัน

ทันทีที่ดอกไม้สีแดงสดปรากฏขึ้นในอากาศ เมื่อสัตว์อสูรเหล่านี้ได้สูดดมกลิ่นของมัน ดวงตาของพวกมันก็แดงก่ำเหมือนกับเลือดในทันที ยิ่งไปกว่านั้น สายตาของพวกมันก็เต็มไปด้วยความโลภและความปรารถนาอันแรงกล้า ราวกับว่าดอกไม้ในมือของเฉินซีเป็นอาหารอันโอชะชั้นเลิศ …คือความเย้ายวนที่ไม่อาจต้านทานได้!

รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของเฉินซี ขณะที่เขายกมือขึ้นและโยนดอกไม้นี้ไปยังค่ายกลทะเลดาราอันไร้ขอบเขต

ครืนนนน!

วานรยักษ์ขนสีทองซึ่งมีอารมณ์ฉุนเฉียวที่สุด เป็นสัตว์อสูรตัวแรกที่ไม่สามารถทนต่อการเย้ายวนได้ มันจึงเคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็วและย่ำผ่านพื้นดินขณะที่มันพุ่งเข้าหาค่ายกลขนาดใหญ่ เมื่อสัตว์อสูรตัวอื่นเห็นสิ่งนี้ พวกมันก็ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะไม่อาจต้านทานต่อการเย้ายวนได้ในที่สุด พวกมันทั้งหมดจึงพุ่งเข้าสู่ค่ายกลขนาดใหญ่และหายไปทันทีอย่างไร้ร่องรอย

“ช่างน่าเสียดาย เพื่อใช้ประโยชน์จากการโจมตีของสัตว์อสูรเหล่านี้ กลับต้องสูญเสียดอกฝันร้ายสลายโลหิตอายุหมื่นปีเช่นกัน ทว่าหากข้าสามารถใช้สิ่งนี้เพื่อกำจัดมือสังหารทั้งหมดของตำหนักตะวันดำ มันก็คุ้มค่ากับราคาที่ข้าจ่ายไป…” เฉินซียืนอยู่ต่อหน้าค่ายกลขนาดใหญ่ในขณะที่เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก จนถึงตอนนี้ ทุกอย่างก็อยู่ในการควบคุมของเขาแล้ว และสิ่งที่เขาต้องทำต่อไปคือรอผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นเท่านั้น!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท