บทที่ 337 คนที่ฆ่ามักจะถูกฆ่า
บทที่ 337 คนที่ฆ่ามักจะถูกฆ่า
เฉินซีไม่ใช่เทพเซียนบนสวรรค์ และเขาไม่มีเคล็ดวิชาที่น่าอัศจรรย์ในการทำนายอนาคต แต่เหตุผลที่เขาสามารถคาดเดาได้ว่ามือสังหารของตำหนักตะวันดำเหล่านี้จะระเบิดแกนทองคำ ล้วนมาจากความเข้าใจที่เฉียบแหลมและการควบคุมสถานการณ์ในการต่อสู้ของเขา
อันที่จริง การที่จิ้งจอกแดงและคนอื่น ๆ ไม่ได้ทำแบบนี้ในตอนแรก เป็นเพราะพื้นที่ที่พวกเขาอยู่ดูเหมือนจะกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต แต่แท้จริงแล้วมันเป็นเพียงเนินเขาเล็ก ๆ ที่ปกคลุมด้วยค่ายกลทะเลดาราไร้ขอบเขต ทำให้เกิดภาพลวงตาว่ามันกว้างใหญ่ไพศาล
กอปรกับพลังระเบิดของแกนทองคำนั้นน่าสะพรึงกลัวเกินไป จนแม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติยังมิอาจหลีกเลี่ยงได้ทันเวลา หากคนพวกนั้นเลือกที่จะระเบิดแกนทองคำในตอนนั้น จะทำให้พลังของมันส่งผลกระทบต่อมือสังหารคนอื่น ๆ ดังนั้นจึงไม่มีใครโง่เขลาพอที่จะทำเช่นนั้น
ทว่าในขณะนี้ มือสังหารเกือบทั้งหมดในค่ายกลใหญ่ได้เสียชีวิตลงแล้วและเหลืออยู่เพียงสิบกว่าคนเท่านั้น ส่วนสัตว์อสูรที่น่าสะพรึงกลัวเหล่านั้นยังคงมีชีวิตอยู่ราวแปดตัว ทำให้ความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายมีความแตกต่างกันอย่างมาก ฝั่งจิ้งจอกแดงและมือสังหารคนอื่น ๆ ตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังโดยสิ้นเชิง ถ้าพวกเขาไม่ระเบิดแกนทองคำ คนพวกนั้นก็จะเผชิญกับการทำลายล้างและตายอย่างอนาถภายใต้กรงเล็บของสัตว์อสูรเหล่านี้
ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ การระเบิดแกนทองคำของพวกเขาจึงเป็นวิธีเดียวในการพลิกสถานการณ์อย่างไม่ต้องสงสัย
โดยอาศัยการวิเคราะห์และความรู้ความเข้าใจอย่างแม่นยำเช่นนี้ เฉินซีจึงถอยฉากไปราวกับว่าเขาสามารถทำนายอนาคตเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการระเบิดแกนทองคำของมือสังหารเหล่านี้ได้
ครืนนนน!
พลังทำลายล้างที่เกินกว่าจะเปรียบเทียบได้ระเบิดออกมาจากภายในค่ายกลทะเลดาราไร้ขอบเขต ราวกับว่าภูเขาจะพังทลายและคลื่นยักษ์ก็ซัดสาด ส่งแรงผลักดันอันน่าสะพรึงกลัวถึงขีดสุดออกไปเป็นวงกว้าง ในพริบตาเดียว ค่ายกลขนาดใหญ่ก็ถูกทำลายและหายไปอย่างไร้ร่องรอย จากนั้นพลังอันน่าสะพรึงกลัวก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าและกวาดออกไปทุกทิศทาง
แกนสีทองภายในร่างของผู้บ่มเพาะเป็นรากฐานของสวรรค์และโลก ซึ่งผู้บ่มเพาะใช้มันในการก้าวเข้าสู่มหาเต๋าและการบ่มเพาะทั้งหมดของพวกเขาจะถูกรวมอยู่ในนั้น ดังนั้นมันจึงเหมือนกับดินปืนหนึ่งถัง ตราบใดที่มีประกายไฟเพียงเล็กน้อย มันก็จะเปล่งพลังที่ทำให้สวรรค์และโลกต้องพังทลายลง รวมถึงตะวันและจันทราก็ต่างถูกทิ้งไว้ในเงามืด
ในช่วงเวลาเพียงอึดลมหายใจ ต้นไม้ ก้อนหิน แม้แต่พลังวิญญาณและกระแสลมต่าง ๆ ซึ่งอยู่บนท้องฟ้าภายในระยะหนึ่งร้อยยี่สิบจั้งก็ถูกกำจัดโดยพลังอันน่าสะพรึงกลัว หรือแม้กระทั่งแนวเทือกเขาที่ทอดยาวก็ยังถูกระเบิดออกจนเผยให้เห็นหลุมที่น่าสะพรึงกลัว
เมื่อมองจากระยะไกล จะเห็นเมฆรูปเห็ดม้วนตัวอย่างรุนแรงและระเบิดขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างไม่รู้จบ ราวกับมันต้องการทะลวงสวรรค์ให้เกิดรูโหว่
เมื่อเผชิญกับพลังอันน่าสะพรึงกลัวนี้ เฉินซีจึงเร่งทะยานไปทางด้านหลังอย่างรวดเร็วอีกครั้ง ซึ่งเป็นระยะทางสองลี้ก่อนที่จะหยุดลง แต่กระแสลมบนท้องฟ้าที่มีความรุนแรงราวกับใบมีดยังคงเฉือนเข้าที่ดวงตาทั้งสองจนเขารู้สึกเจ็บปวด
…เห็นได้ชัดว่าพลังระเบิดของแกนทองคำนั้นน่าสะพรึงเพียงใด!
ควันและฝุ่นปกคลุมท้องฟ้า และใช้เวลานานกว่าจะสลายไป
เมื่อเฉินซีเห็นสภาพของสนามรบที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างชัดเจน ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะหวาดผวาอยู่ในใจ
พื้นดินทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยแขนขาที่หักและกระดูกที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ อากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นไหม้ที่รุนแรงและเหม็นฉุน อีกทั้งยังมีหลุมที่มีไฟลุกโชนและรอยแยกมากมายบนพื้นดิน…
แต่สิ่งที่ทำให้เฉินซีตกตะลึงก็คือ จิ้งจอกแดงและกุหลาบยังมีชีวิตอยู่!
ในขณะนี้ ทั้งสองคนได้รับบาดเจ็บสาหัสและเต็มไปด้วยรอยแผลมากมาย พวกเขากำลังยืนอยู่บนซากปรักหักพังขณะที่หายใจหอบถี่ และเพราะพลังชีวิตในร่างกายของพวกเขาอยู่ในสภาวะสับสนวุ่นวายอย่างสมบูรณ์ พวกเขาจึงเหมือนคนที่ใกล้จะตายและพลังชีวิตกำลังจะเหือดแห้งในไม่ช้า
แม้ทั้งสองคนจะโชคดีที่รอดชีวิตจากการระเบิดที่น่าสะพรึงกลัวก่อนหน้านี้ แต่ร่างกายของพวกเขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างเห็นได้ชัด
ร่องรอยของความเศร้าโศกฉายผ่านดวงตาของจิ้งจอกแดง มีเพียงเขาและกุหลาบเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในที่เกิดเหตุ ในขณะที่ทุกคนต่างก็เสียสละ และพวกเขาไม่สามารถหลีกหนีผลของการเผชิญหน้ากับการทำลายล้างได้
เขาปฏิบัติภารกิจมานับไม่ถ้วน แต่ไม่เคยมีภารกิจใดที่ทำให้ต้องเสียใจและรู้สึกสิ้นหวังเช่นนี้มาก่อน เมื่อเขานึกถึงเป้าหมายของการลอบสังหารครั้งนี้ แม้จะในมุมมองของตน เขายังต้องยอมรับว่ากลยุทธ์และการวางแผนของตนได้พ่ายแพ้อีกฝ่ายอย่างสิ้นเชิง และเขาก็ประเมินความน่ากลัวของคู่ต่อสู้ต่ำไปมาตั้งแต่ต้น
เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า ไม่เพียงแต่การบ่มเพาะปราณแท้ของฝ่ายตรงข้ามจะไม่ธรรมดาแล้ว คู่ต่อสู้ของเขายังเป็นผู้บ่มเพาะกายาที่ทรงพลัง และยังบรรลุเต๋าแห่งยันต์อักขระขั้นสูงอีกด้วย
แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดยิ่งกว่านั้นก็คือ ไม่เพียงแต่ความแข็งแกร่งที่ทรงพลังเป็นอย่างมากของคู่ต่อสู้เท่านั้น แต่ความสามารถในการใช้กลยุทธ์และการควบคุมสถานการณ์การต่อสู้ก็อยู่ในระดับที่สูงจนทำได้เพียงมองขึ้นไปเท่านั้น
“ไสหัวออกมาซะ! ไอ้ปีศาจ!” ความเสียใจอันขมขื่นและความเดือดดาลผุดขึ้นในหัวใจของจิ้งจอกแดงโดยไม่มีเหตุผล และใบหน้าที่ซีดเผือดของเขาก็ถูกปกคลุมด้วยสีแดงที่ผิดปกติ ในขณะที่ตะโกนออกไป
เสียงตะโกนที่ดังสนั่นของจิ้งจอกแดงทำให้กุหลาบที่อยู่เคียงข้างตกตะลึง จากนั้นใบหน้าที่เย็นยะเยือกและงดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ของนางก็กลายเป็นหม่นหมองอย่างช่วยไม่ได้ “ใช่แล้ว เป้าหมายครั้งนี้เหมือนปีศาจจริง ๆ และมันเล่นสนุกกับพวกเราราวกับอยู่ในกำมือของมัน…”
เฉินซีซ่อนตัวอยู่ในเงามืดด้วยสีหน้าเฉยเมย ราวกับเขาแสร้งเป็นหูหนวกต่อเสียงตะโกนของจิ้งจอกแดง
ซึ่งอันที่จริง เฉินซีตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า หากเขาปรากฏตัวในตอนนี้ จิ้งจอกแดงและกุหลาบจะเสี่ยงชีวิตระเบิดแกนทองคำของพวกมันอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้ แค่คิดถึงผลที่ตามมา ก็ทำให้เฉินซีรู้สึกหนาวสั่นไปถึงกระดูกสันหลังแล้ว
ไม่มีเสียงตอบกลับใด ๆ จากบริเวณโดยรอบ ดวงตาของจิ้งจอกแดงก็เผยให้เห็นถึงร่องรอยของความสิ้นหวัง เพราะเขาเองก็รู้ว่าเป้าหมายจะต้องซ่อนตัวอยู่ในเงามืดอย่างแน่นอน และมันอาจเปิดฉากโจมตีถึงตายใส่ตนได้ทุกเมื่อ ซึ่งเขาก็ได้ตระหนักได้เป็นอย่างดีว่าความตั้งใจที่จะระเบิดแกนทองคำเพื่อลากเป้าหมายให้ตายไปพร้อมกับตัวเองนั้น …อาจเป็นความหวังที่เพ้อฝัน!
‘ดูเหมือนว่าวันนี้ข้าจะต้องตายอยู่ที่นี่จริง ๆ…’
ทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นในใจ ความแค้น ความเดือดดาล และความเสียใจทั้งหมดที่อยู่ภายในหัวใจของจิ้งจอกแดงก็ได้สลายไปทันที เพราะการพ่ายแพ้ด้วยเงื้อมมือของศัตรูเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่ไม่เป็นธรรม
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ทันใดนั้น ลูกธนูไร้รูปร่างสองดอกได้พุ่งทะลุผ่านท้องฟ้า จู่โจมใส่จิ้งจอกแดงและกุหลาบอย่างรวดเร็ว
หากพวกเขาเผชิญกับการโจมตีเช่นนี้ในเวลาปกติ จิ้งจอกแดงกับกุหลาบจะสามารถหลีกเลี่ยงได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ พวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและร่างกายของพวกเขาก็ไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออยู่แม้แต่น้อย ดังนั้นคนทั้งสองจึงทำได้เพียงเฝ้าดูเมื่อความตายกำลังคืบคลานใกล้เข้ามา
ฉึก! ฉึก!
เสียงเสียดแทงสองครั้งดังก้องออกมา จากนั้นทั้งคู่ก็รู้สึกเจ็บปวดที่ท้อง และตันเถียนของพวกเขาก็ถูกทำลายลงภายใต้การโจมตีครั้งนี้
จิ้งจอกแดงเริ่มหัวเราะ “ในที่สุด คนผู้นี้ก็ลงมือ ข้ารู้สึกชื่นชมเขายิ่งนัก แม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ได้เปรียบอย่างแท้จริง แต่เขาก็ยังระมัดระวังอยู่เสมอ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนผู้นี้ถึงสามารถอยู่รอดมาได้จนถึงตอนนี้…”
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกคาดหวังเล็กน้อย “ภารกิจครั้งนี้กุหลาบกับข้าคงล้มเหลวแล้ว คนผู้นี้จะนำความประหลาดใจเช่นใดมาให้แก่ผู้บัญชาการพรางเวหาในแนวป้องกันที่สามกันนะ?”
“น่าเสียดายที่ข้าคงไม่มีโอกาสได้เห็น…”
เฉินซีก้าวออกมาจากเงามืด แล้วมาหยุดที่เบื้องหน้าของจิ้งจอกแดงกับกุหลาบ เมื่อเขากำลังจะทำลายล้างศัตรู ในใจของชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงมองจิ้งจอกแดงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอื้อมมือออกไป …เพื่อคว้ากระจกเอาไว้ในมือ!
ที่แท้มันคือกระจกแห่งการแลกเปลี่ยน
จิ้งจอกแดงและกุหลาบเงยหน้าขึ้นด้วยความงุนงง เนื่องจากพวกเขาไม่รู้ว่าเฉินซีต้องการทำสิ่งใด
จงเปิด!
เฉินซีไม่สนใจคนทั้งสองและใช้กระจกแห่งการแลกเปลี่ยน ทำให้เกิดระลอกคลื่นไหลออกมาจากมัน ในเวลาไม่นาน ฉากของที่นี่ก็ปรากฏขึ้นบนผิวกระจกอีกครั้ง
…
บรรยากาศภายในตำหนักจ้าวปัญญาเต็มไปด้วยความกดดันเป็นอย่างมาก เนื่องจากพวกตัวประหลาดเฒ่าทั้งหมดต่างก็หรี่ตาและขมวดคิ้ว ราวกับพวกเขากำลังรออะไรบางอย่าง
นับตั้งแต่ที่จิ้งจอกแดงและมือสังหารคนอื่น ๆ ติดอยู่ในค่ายกล กระจกแห่งการแลกเปลี่ยนทั้งสองบานก็ขาดการเชื่อมต่อจากกัน ทำให้พวกเขามองไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในอีกด้านหนึ่งได้อีกต่อไป และเหตุการณ์ไม่คาดฝันนี้ทำให้พวกเขาตกตะลึงและวิตกกังวลอยู่ในใจ
อันที่จริง พวกเขาเห็นว่าเฉินซีกำลังจะถูกฆ่าและสมบัติอมตะทั้งสามชิ้นกำลังจะตกอยู่ในมือของพวกเขาแล้ว ทว่าเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันกลับเพิ่งเกิดขึ้นในตอนนี้ ดังนั้นพวกเขาจะสงบสติอารมณ์ได้อย่างไร
“หรือว่ามีเหตุร้ายเกิดขึ้น?” ใครบางคนทนความกังวลในใจไม่ไหว จึงกล่าวออกไป
“เป็นไปได้อย่างไร! ครั้งนี้ ตำหนักตะวันดำส่งมือสังหารออกไปมากกว่าหนึ่งร้อยคน และมันก็เพียงพอที่จะทำลายล้างผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติเสียด้วยซ้ำ ไม่ว่าเจ้าเด็กคนนั้นจะเก่งกล้าสักแค่ไหนก็ตาม มันจะต้องตายภายใต้การปิดล้อมครั้งนี้อย่างแน่นอน ดังนั้นเหตุร้ายจะเกิดขึ้นได้อย่างไร” มีคนโต้เถียงอย่างรุนแรง
“เฮ้อ ข้าว่ารออีกสักพักเสียดีกว่า บางทีอาจจะมีผลลัพธ์ในไม่ช้า” มีคนกล่าวพร้อมถอนหายใจออกมา
ทุกคนต่างก็ตกอยู่ในความเงียบงันทันที แม้ว่าพวกเขาจะบ่มเพาะจนบรรลุขอบเซียนปฐพีแล้วก็ตาม แต่เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเช่นนี้ พวกเขาก็ทำได้เพียงแต่ยืนอย่างกระวนกระวายและทำอะไรไม่ถูก
“กระจกแห่งการแลกเปลี่ยนถูกเปิดใช้งานอีกครั้งแล้ว!” ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าใด ราชาผู้ปรีชาหวงฝู่จิ่งเทียนได้กวาดสายตาไปยังกระจกแห่งการแลกเปลี่ยนโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งบังเอิญเห็นแสงสว่างส่องออกมาจากพื้นผิวของกระจกแห่งการแลกเปลี่ยน
วูบ!
ในขณะนี้ สายตาของทุกคนพุ่งเข้าหากระจกอย่างพร้อมเพรียงกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นบนกระจกแห่งการแลกเปลี่ยนอย่างชัดเจน มันทำให้สีหน้าที่ยังไม่ได้เผยถึงความตื่นเต้นของพวกเขากลับกลายเป็นแข็งทื่อและรูม่านตาของพวกเขาก็ขยายออกในทันที
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในกระจกนั้นคือพื้นดินที่ไหม้เกรียมซึ่งอยู่ในสภาพรกร้างว่างเปล่า ชิ้นส่วนแขนขาที่ขาดวิ่น กระดูกที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ ต่างก็กระจัดกระจายอยู่ในบริเวณโดยรอบราวกับว่ามันเพิ่งประสบกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ และทุกสิ่งก็กลายเป็นเศษซากปรักหักพังอันน่าสยดสยอง
ภาพภายในกระจกนั้น จิ้งจอกแดงและกุหลาบกำลังยืนอยู่ ร่างกายของพวกเขาเต็มไปด้วยรอยบาดแผลและอาบไปด้วยเลือด นอกจากนี้ที่ท้องของพวกเขาก็มีเลือดไหลออกมา ซึ่งเห็นได้ชัดว่าตันเถียนของพวกเขาได้ถูกทำลายลง การแสดงออกของพวกเขาแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก มีทั้งความสิ้นหวัง ความคับข้องใจ ความเสียใจอันขมขื่น… อารมณ์ต่าง ๆ สะท้อนออกมาบนใบหน้าของพวกเขา และมันก็น่าสะพรึงกลัวถึงขีดสุด!
หลังจากนั้น ร่างสูงโปร่งของเฉินซีก็ปรากฏขึ้นในกระจก…
เมื่อพวกเขาเห็นภาพนี้ หัวใจของเหล่าตัวประหลาดเฒ่าต่างก็ดิ่งวูบ แม้ว่าพวกเขาจะไม่เต็มใจรับสถานการณ์นี้สักเท่าใด แต่พวกเขาก็ต้องยอมรับว่าสิ่งเลวร้ายที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้? ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นกลางตัวเล็ก ๆ เช่นมัน กลับสามารถกวาดล้างมือสังหารกว่าร้อยคนของตำหนักตะวันดำได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น มือสังหารเหล่านั้นล้วนผ่านประสบการณ์การต่อสู้มาอย่างโชกโชน และพวกเขาก็เป็นยอดฝีมือที่ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง!” มีใครบางคนพึมพำด้วยความไม่เชื่ออย่างไม่รู้ตัว
“มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะบดขยี้มือสังหารเหล่านั้นโดยอาศัยค่ายกลใหญ่เพียงค่ายกลเดียว บัดซบ! กระจกแห่งการแลกเปลี่ยนดันสูญเสียพลังไปก่อนหน้านี้ ทำให้พวกเราไม่สามารถเห็นได้อย่างแน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น” มีคนกัดฟันขณะที่เขากล่าว
“แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การปิดล้อมในครั้งนี้ สุดท้ายก็ล้มเหลว และมันจบลงด้วยความพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง…” ใครบางคนถอนหายใจเฮือกใหญ่ และน้ำเสียงของคนผู้นั้นเผยให้เห็นถึงความรู้สึกไม่พอใจ
ฟิ้ว!
ปลายกระบี่ที่แหลมคมส่องประกายภายในกระจกและดึงความสนใจของตัวประหลาดเฒ่าเหล่านี้ในทันที หลังจากนั้นพวกเขาก็เห็นภาพที่น่าสะพรึงกลัว
เฉินซีถือกระบี่ที่คมกริบเอาไว้ในมือของเขา และด้วยแสงวาบจากกระบี่ ศีรษะของจิ้งจอกแดงและกุหลาบก็ถูกบั่นเศียรโดยตรง ทำให้เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณโดยรอบ ในขณะที่ศพไร้หัวทั้งสองก็ล้มลงไปทางข้างหน้า
นี่เป็นวิธีการฆ่าที่ธรรมดามาก และไม่อาจถือว่าเป็นการกระทำที่โหดร้ายหรือทรมานใด ๆ แต่เพราะมันเป็นการฆ่าที่ธรรมดาเช่นนี้เอง ถึงทำให้ตัวประหลาดเฒ่าเหล่านี้ต่างก็รู้สึกหนาวสั่นอยู่ในใจ
เนื่องจากการแสดงออกในขณะที่ลงมือฆ่าของเฉินซีสงบเกินไป และยังลงมืออย่างเด็ดขาดโดยไม่ลังเลเลยสักนิด ชายหนุ่มไม่กล่าวอะไรแม้แต่คำเดียวและฆ่าด้วยเจตนา ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่มีความยับยั้งชั่งใจหรือลังเลใด ๆ
ดูเหมือนเขาจะสื่อถึงทุกคนอย่างไร้เสียงว่า “เมื่อข้า เฉินซี จัดการกับศัตรูของข้า นอกจากความตายแล้ว ไม่มีที่ว่างสำหรับคำพูดไร้สาระใด ๆ!
เหล่าตัวประหลาดเฒ่าต่างก็นิ่งเงียบ พวกเขาสามารถแยกแยะได้ว่าเป็นเฉินซีที่เปิดใช้งานกระจกแห่งการแลกเปลี่ยน ดังนั้นยังจำเป็นต้องคาดเดาเจตนาของเขาอยู่อีกหรือ?
เพราะเขาต้องการใช้สิ่งนี้เพื่อเตือนทุกคนว่า “ถ้ามีผู้ใดทำให้ข้าขุ่นเคือง ข้าจะฆ่ามันผู้นั้นอย่างแน่นอน!”
ในขณะนี้ พวกเขาเห็นใบหน้าของเฉินซีปรากฏในกระจกแห่งการแลกเปลี่ยน ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาถูกปกคลุมด้วยความสงบและไม่แยแส ซึ่งให้ความรู้สึกราวกับว่ากำลัง ‘จ้องมอง’ มาที่พวกเขา
ภายในกระจกแห่งการแลกเปลี่ยน ปากของเฉินซีได้ขยับและดูเหมือนจะกล่าวอะไรบางอย่าง ทว่าภาพทั้งหมดได้หายไปอย่างสมบูรณ์เมื่อกระจกแห่งการแลกเปลี่ยนที่ลอยอยู่กลางอากาศสลัวและไม่แวววาวอีกต่อไป
เหล่าตัวประหลาดเฒ่าไม่ได้สนใจกับสิ่งเหล่านี้ ใบหน้าของพวกเขาหมองลงขณะที่การแสดงออกของพวกเขากลายเป็นเยือกเย็น คนทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะตกตะลึง เนื่องจากพวกเขาเข้าใจสิ่งที่เฉินซีสื่อออกมาอย่างไร้เสียงว่า “คนที่ลงมือกับผู้อื่น ย่อมต้องพร้อมใจรับการสูญเสีย!”