บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 342 การเดินทางกับหญิงงาม

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 342 การเดินทางกับหญิงงาม

บทที่ 342 การเดินทางกับหญิงงาม

ที่แห่งนี้คือหุบเขาแห้งแล้งที่ปกคลุมไปด้วยก้อนหินและชั้นหมอกหนาทึบอยู่ตลอดทั้งปี

หวือ!

ร่างสูงโปร่งทะยานผ่านท้องฟ้ามาถึงหุบเขาก่อนจะสำรวจบริเวณโดยรอบ เมื่อไม่เห็นสัญญาณอันตรายใด ๆ เขาก็นั่งไขว่ห้างบนก้อนหินและเริ่มทำความสะอาดบาดแผลบนร่างกายของตน

มีรอยแผลเป็นกว่าสิบแห่งบนร่างกาย ผิวหนังของเขาฉีกขาดและเลือดไหลออกมาจากพวกมัน อีกทั้งยังสามารถเห็นกระดูกที่อยู่ภายในได้ทุกจุด ราวกับว่าชายหนุ่มเพิ่งผ่านประสบการณ์ต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายที่ดุเดือดเลือดพล่านจนน่าสะพรึงกลัวถึงขีดสุดมา

หากเป็นคนทั่วไปที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ คนผู้นั้นคงจะร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดไปตั้งนานแล้ว อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงแต่เขาจะไม่ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ทว่าเขาไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว อีกทั้งยังดูนิ่งสงบเป็นอย่างยิ่ง

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็รักษาบาดแผลที่อยู่บนร่างกายเสร็จและลุกยืนขึ้น จากนั้นเขาก็เริ่มทำความสะอาดคราบเลือดที่อยู่ในบริเวณโดยรอบ ด้วยวิธีนี้จะทำให้ชายหนุ่มสามารถหลีกเลี่ยงสัตว์อสูรที่อยู่ใกล้เคียง ไม่ให้วิ่งเข้ามาหลังจากได้กลิ่นเลือด

เขาใช้เวลาเพียงหนึ่งถ้วยชาในการทำทุกอย่างให้เสร็จอย่างเป็นระเบียบ ซึ่งดูเหมือนว่าเวลาจะมีค่าสำหรับเขามาก ราวกับชายหนุ่มกำลังแข่งกับเวลาและไม่ยอมให้เสียเวลาเลยแม้แต่น้อย หลังจากนั้นเขาก็นั่งขัดสมาธิและเริ่มการบ่มเพาะของตน

ร่างสูงโปร่งคนนี้ย่อมคือเฉินซี

สามเดือนผ่านไป นับตั้งแต่เขาออกจากป่าทมิฬ ในช่วงเวลานี้ เขาผ่านสถานที่อันตรายมากมาย เช่น ลานศิลาภูตผี หุบเขาวิญญาณโลหิต ถ้ำอสูรน้ำแข็ง…

สถานที่อันตรายทุกแห่งเป็นดั่งนรกโลกันตร์ ซึ่งเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าและอันตรายที่ไม่รู้จบ ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา เขาเผชิญกับการจู่โจมนับไม่ถ้วน เช่น ภัยธรรมชาติ กระแสอสูร วิญญาณโลหิตอันน่าสะพรึงกลัวที่กำเนิดขึ้นจากอสูรโลหิต อสูรน้ำแข็งที่เกิดจากน้ำแข็งอันเย็นยะเยือกและพื้นดินที่มืดครึ้ม และสิ่งอื่น ๆ อีกมากมาย การต่อสู้ทุกครั้งนั้นยากลำบากและอันตรายอย่างยิ่ง ซึ่งหากคำนวณโดยละเอียดแล้ว เขาก็ประสบกับการต่อสู้ที่ดุเดือดอย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อวันโดยเฉลี่ย

มีหลายครั้งที่เขามีโอกาสรอดชีวิตเพียงเล็กน้อย และเขาเกือบเสียชีวิตในการต่อสู้

แต่การต่อสู้ที่อันตรายที่สุดก็คือที่ทะเลทรายพายุสายฟ้า ซึ่งเป็นทะเลทรายที่เต็มไปด้วยเสียงฟ้าร้องคำรามและฟ้าผ่าอย่างไม่รู้จบ เมื่อเฉินซีผ่านสถานที่แห่งนี้ โชคไม่ดีที่เขาตกเป็นเป้าของวิหคสามหัววิญญาณสายฟ้าที่อยู่ภายในพายุฝนฟ้าคะนอง สัตว์ร้ายตัวนี้สามารถใช้พลังของสายฟ้าได้ ความแข็งแกร่งของมันน่ากลัวยิ่งกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติเสียด้วยซ้ำ และมันไล่ล่าเฉินซีตลอดทั้งเจ็ดวันเจ็ดคืน

หากไม่ใช่เพราะเขามีการขัดเกลากายาที่แข็งแกร่งและใช้ปีกนภาดารกะด้วยกำลังทั้งหมด เขาคงถูกฟ้าผ่าตายเพราะสัตว์ร้ายตัวนี้ ในท้ายที่สุด เมื่อโชคดีพอจะหนีออกมาได้ มันก็แทบไม่มีที่ใดบนร่างกายของที่ไม่ได้รับอันตราย ร่างกายของชายหนุ่มเต็มไปด้วยแผลและอาการบาดเจ็บที่ต้องรักษาพวกมันเป็นเวลาสามวัน ก่อนที่เขาจะฟื้นตัวคืนสู่สภาพปกติ

อันที่จริง ในสถานที่ที่มีอันตรายอยู่มากมายและเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าหนาแน่น ความแข็งแกร่งของวิหคสามหัววิญญาณสายฟ้าถือได้ว่ายังอ่อนแออยู่ นอกจากนี้ยังมีเหล่าสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวจนเกินจินตนาการได้อาศัยอยู่ในสถานที่บางแห่ง ซึ่งพวกมันสามารถทำให้ผู้คนรู้สึกสิ้นหวังและหมดหนทางเพียงแค่มองพวกมันจากระยะไกลเท่านั้น เมื่อเขาเจอสถานที่เช่นนี้ เฉินซีก็ไม่กล้าเข้าใกล้และจะหลีกเลี่ยงพวกมันแทน

ในช่วงเวลานี้ ความเจ็บปวดทรมานได้กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยและเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว แต่นับว่าโชคดีที่เขามีโอสถจำนวนมากและมีความสามารถในการฟื้นตัวที่น่าตกตะลึง ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่เสียชีวิตจากอากการบาดเจ็บที่สาหัสเกินไป

ในเวลาเดียวกัน หลังจากขัดเกลาผ่านการต่อสู้ที่เขาประสบมาในช่วงเวลานี้ อุปนิสัยของเฉินซีก็เปลี่ยนไปอย่างมาก แม้ว่าเขาจะอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้เลยก็ตาม

ด้วยการต่อสู้กับมือสังหารของตำหนักตะวันดำอย่างกล้าหาญและมีไหวพริบ กอปรกับการขัดเกลาผ่านการต่อสู้ที่ยากลำบากกับสัตว์อสูรที่ทรงพลังในช่วงสามเดือนที่ผ่านมานี้ เสื้อผ้าหลายสิบชุดที่เฉินซีพกติดตัวมาด้วยต่างก็กลายเป็นเศษผ้าขี้ริ้วทั้งหมด นอกเหนือจากการต่อสู้ที่ยากลำบากที่เขาประสบมาทั้งวันทั้งคืน ร่างกายของชายหนุ่มจึงยังอาบไปด้วยเลือดของสัตว์อสูรและเขาก็ยังไม่มีเวลาที่จะชำระล้างมันออก

อย่างไรก็ตาม เสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งและร่างกายที่อาบไปด้วยเลือดของเขาก็ไม่สามารถปกปิดสายตาอันแหลมคมที่ฉายเจตนาฆ่าอย่างเลือดเย็นของเขาได้ ท่าทางที่เฉียบคมเช่นนี้ ทำให้เขาดูเหมือนกระบี่ที่สั่นไหวด้วยประกายแสงเยือกเย็น ราวกับปรารถนาจะทะลวงท้องนภาให้เป็นรูโหว่!

“โฮกกกกก!” เสียงคำรามของสัตว์ร้ายที่เหมือนกับพายุฝนฟ้าคะนองได้ดังขึ้นท่ามกลางหมอกที่ไร้ขอบเขตและคลุมเครือ มีเสือดำขนาดมหึมาที่ปกคลุมไปด้วยเส้นขนสีดำสนิทและเป็นมันเงา มันมีดวงตาสีแดงเลือดสองข้างที่ดูเหมือนโคม และมีกลิ่นเลือดโชยเข้าจมูกของเขา

เสือดำวายุ!

นี่เป็นสัตว์ร้ายที่น่ากลัวยิ่งกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์ มันสามารถเคลื่อนไหวในภูเขาได้อย่างง่ายดายราวสายฟ้าฟาด และมันก็เป็นจ้าวแห่งหุบเขานี้

มันเหลือบมองไปยังเฉินซีซึ่งนั่งทำสมาธิอยู่บนหิน และดูเหมือนจะรู้ว่าหากฉวยโอกาสนี้โจมตี ผู้บ่มเพาะมนุษย์คนนี้จะไม่สามารถต้านทานได้อย่างแน่นอน ดังนั้นมันจึงกระโจนใส่โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย และร่างกายมหึมาของมันที่มีความยาวประมาณสิบจั้งนั้นก็เคลื่อนตัวดั่งสายฟ้าสีดำที่พุ่งผ่านท้องฟ้าและกระโจนเข้าหาเฉินซีอย่างดุเดือด

เมื่อกรงเล็บขนาดใหญ่ของมันอยู่ห่างจากเฉินซีเพียงสิบสองชุ่น ดวงตาของเฉินซีก็พลันเปิดออก และในขณะนี้ กลิ่นอายของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วและฉับพลัน!

จิตสังหารที่ปกคลุมไปทั้งสวรรค์และโลกได้ปรากฏขึ้นโดยไม่มีวี่แววแม้แต่น้อยและปกคลุมเต็มพื้นที่ทุกตารางนิ้ว จิตสังหารนั้นหนาแน่นมากเสียจนดูเหมือนว่าเพิ่งถูกดึงออกมาจากทะเลเลือดและภูเขาซากศพ ทำให้อากาศบิดเบี้ยวและส่งเสียงคร่ำครวญอย่างรุนแรง

ปัง!

เสือดำวายุที่ประชิดเข้ามาอย่างน่าสะพรึงกลัวนั้นพลันส่งเสียงคำรามด้วยความหวาดกลัว จากนั้นมันราวกับสำลักในลำคอ ทำให้มันสูญเสียเรี่ยวแรงทั้งหมดและร่วงลงจากกลางอากาศจนกระแทกพื้น มันนอนอย่างอ่อนแรงอยู่บนพื้นโดยไม่มีเค้าความโหดเหี้ยมและพละกำลังเลยแม้แต่น้อย ซึ่งดูไม่ต่างกับลูกแกะตัวน้อยที่ตื่นกลัวที่สั่นเทาด้วยความหวาดกลัวและไม่สบายใจ

เพียงแค่จิตสังหารที่เขาปล่อยออกมาก็ทำให้สัตว์ร้ายตัวสั่น และจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของมันก็พังทลายลง!

‘ตอนที่เข้ามา สัตว์ร้ายตัวนี้มักจะอาศัยอยู่ในถ้ำที่ห่างจากหุบเขานี้ออกไปยี่สิบห้าลี้ และมันกำลังปกป้องโป่งรากสนโลหิตที่กำลังจะมีอายุถึงหนึ่งพันปี แล้วเหตุใดมันถึงออกจากรังโดยไม่มีเหตุผลได้? หรือว่ามีคนจงใจล่อมันออกมา?’ เฉินซีดูเหมือนจะตกอยู่ในห้วงความคิด ในขณะนี้ พละกำลังของเขาได้ฟื้นตัวแล้วและอาการบาดเจ็บบนร่างกายของเขาก็หายเป็นปกติ ดังนั้นชายหนุ่มจึงลุกขึ้นยืนและแยกแยะทิศทางก่อนที่จะกระโจนออกไป

ในเวลาไม่นาน เขาก็มาถึงที่หน้าถ้ำ จากนั้นเมื่อเงยหน้าขึ้นมอง เขาก็ได้พบกับร่างบอบบางอันสง่างามที่กำลังลอบเคลื่อนไหวเพื่อขโมยโป่งรากสนโลหิตอายุพันปี

ร่างนี้คือหญิงสาวที่มีรูปร่างเย้ายวนและเร่าร้อนเป็นอย่างมาก ผิวของนางขาวราวกับหยก ผมสีแดงของนางเกล้าขึ้นเล็กน้อยและห้อยลงมาบนไหล่อย่างหลวม ๆ หน้าอกที่ใหญ่โตและอวบอิ่มของนางถูกเผยออกมาบางส่วน ทั้งยังสวมเพียงกระโปรงสั้นที่เผยให้เห็นท่อนขาเรียวยาวสีขาวหยกที่ส่วนล่าง ทำให้มากด้วยเสน่ห์อันเย้ายวน

นี่เป็นครั้งแรกในรอบสามเดือนที่เขาพบกับมนุษย์คนอื่น จึงทำให้ความรู้สึกยินดีผุดขึ้นมาในใจของเฉินซี และเขาก็ไม่ได้รบกวนสตรีนางนี้

โป่งรากสนโลหิตอายุพันปีเป็นสิ่งที่ไม่สามารถกระตุ้นความสนใจของเขาได้อีกต่อไป ในช่วงสามเดือนของการต่อสู้และเข่นฆ่า แม้ว่าชายหนุ่มจะประสบกับความยากลำบากในชีวิตและความตายมากมายในสถานที่อันตรายต่าง ๆ แต่มันก็ทำให้เขาได้รับสมบัติจากสวรรค์และโลกมาหลายสิบชนิดที่ยากจะได้มาในโลกภายนอก และมูลค่าของสิ่งเหล่านี้มีค่ามากกว่าโป่งรากสนโลหิตนับร้อยเท่า

“ใครกัน!?” หลังจากที่หญิงงามรวบรวมโป่งรากสนโลหิตได้แล้ว นางก็กำลังจะหันหลังกลับและจากไป แต่ทันใดนั้น หญิงสาวก็พบว่ามีร่างสูงโปร่งยืนอยู่ใกล้เคียงตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ แล้วดวงตาของนางก็หรี่ลงก่อนจะเงื้อมือของนางขึ้นเพื่อยิงประกายแสงสีดำโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

หลังจากนางลงมือแล้ว ร่องรอยความเย็นชาก็ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากสีแดงสดอันเย้ายวนของนางอย่างช่วยไม่ได้

เนื่องจากนางได้มาเยือนหุบเขานี้อยู่บ่อยครั้ง นางจึงได้พบเห็นพวกสารเลวที่ฆ่าฟันผู้อื่นเพื่อยึดสมบัติของพวกเขา และเพื่อจัดการกับสถานการณ์เช่นนี้ นางจึงเตรียมอาวุธลับที่ร้ายกาจอย่างเข็มพิฆาตดาราเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ยามที่ใช้มันโจมตี มันจะทะลวงผ่านร่างของศัตรูจนพรุนเหมือนกับรังแตน และเปลี่ยนให้อีกฝ่ายเป็นเหมือนซากเละ ๆ

มีคนที่ล้มตายภายใต้เข็มพิฆาตดาราของนางมากมาย และผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาคนเหล่านั้นก็มีการบ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์ ดังนั้นนางจึงมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าไอ้สารเลวที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันนี้จะต้องตายในช่วงพริบตาต่อมาอย่างไม่ต้องสงสัย

ทว่าในช่วงพริบตาต่อมา รอยยิ้มอิ่มเอมใจที่เพิ่งปรากฏขึ้นที่มุมปากของนางก็กลายเป็นแข็งค้างในทันที

ร่างที่อยู่ตรงหน้าของนางสะบัดแขนเสื้อของเขาเพียงแผ่วเบา ทำให้เข็มพิฆาตดาราของนางที่ไม่เคยพลาดเป้ากลับหันเหทิศทางและพุ่งใส่นางอย่างรุนแรง!

“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้?”

ทันใดนั้น รูม่านตาของนางก็ขยายออก ร่องรอยความประหลาดใจและความสยดสยองปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง และดูเหมือนจะมีประกายแสงวาบขึ้นในจิตใจของหญิงสาวโดยไม่รู้ตัว “หรือว่าวันนี้ข้า อวิ๋นน่า จะตายเพื่อสมบัติวิเศษเสียแล้ว?”

ในตอนนี้ อวิ๋นน่าได้หลับตาลง

ตุ้บ! ตุ้บ! ตุ้บ!

คลื่นเสียงหนาทึบที่เหมือนจังหวะกลองดังก้องอยู่ในอากาศ และมันมีจังหวะที่ไม่เหมือนใคร

“อ๊ะ หรือว่าข้ายังไม่ตาย?”

อวิ๋นน่าหลับตารออยู่เป็นเวลานาน แต่ก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย นางจึงอดไม่ได้ที่จะลืมตาขึ้น

เพียงแค่แวบเดียว นางก็พบว่าเข็มพิฆาตดาราที่ละเอียดเหมือนขนวัวจำนวนมาก ได้ฝังตัวเป็นแนวเส้นอยู่บนพื้นผิวของหินแข็งที่อยู่พื้นเบื้องหน้าตน

“คนผู้นี้ไม่ได้ลงมือฆ่า? หรือว่าเขามีเจตนาอื่น?”

อวิ๋นน่ามองดูชายหนุ่มที่สวมชุดขาดรุ่งริ่ง ร่างกายเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด สีหน้าเฉยเมยและสงบนิ่ง ทำให้นางเผลอกลืนน้ำลายคำหนึ่งโดยไม่รู้ตัว ในขณะที่ความรู้สึกกังวลและหวาดกลัวผุดขึ้นในใจนาง

นางมั่นใจในรูปลักษณ์และเรือนร่างของนางเป็นอย่างมาก ด้วยมันทำให้นางต้องทนทุกข์ทรมานกับการจ้องมองที่มากด้วยตัณหา และนางก็คุ้นเคยกับการจ้องมองที่ไม่ต้องการสิ่งใดมากไปกว่าการกดร่างกายของพวกมันลงมาที่ร่างของนางและบดขยี้อย่างดุเดือดเหล่านั้น

ทว่าในขณะนี้…

เมื่อนางคิดว่าร่างของตนจะถูกใช้เพื่อระบายตัณหาเยี่ยงสัตว์ โดยชายผู้เย็นชาและไร้อารมณ์ที่ร่างกายเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดและคราบสกปรก คลื่นแห่งความหวาดกลัวอันเยียบเย็นก็ผุดขึ้นในใจนาง

แต่เฉินซีจะรู้ได้อย่างไรว่าเพียงแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขาจะมีความคิดมากมายหลายอย่างขนาดนี้?

แม้ว่าเขาจะเพิ่งถูกหญิงสาวคนนี้ทำร้าย แต่เขาก็ไม่ได้โกรธเคืองแต่อย่างใด และอาจเป็นเพราะหญิงสาวคนนี้เป็นมนุษย์คนแรกที่พบในรอบสามเดือน ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่มีใจที่จะสังหารนาง

ทว่าแม้เขาจะไม่ได้มอบโทษตายให้แก่นาง แต่เขาก็จะไม่ปล่อยนางไปอย่างง่าย ๆ เช่นเดียวกัน ดังนั้นเขาจึงไม่ใส่ใจที่จะแสดงความสุภาพแก่หญิงสาวคนนี้และกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “นำทางให้ข้าซะ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้าในครั้งนี้”ขณะที่กล่าว มือขวาของเขาก็สั่นเบา ๆ

“อ๊ะ!” อวิ๋นน่าส่งเสียงร้องแหลมขณะที่มีแรงมหาศาลพุ่งไปที่เอวของนาง จากนั้นร่างของนางก็ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า มีห่วงโซ่สีเลือดพันรอบเอวของนางมาตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ กระทั่งเจ้าตัวก็ไม่ได้ทันสังเกตเห็นมันแม้แต่น้อย และเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันอย่างกะทันหันนี้ก็ทำให้วิญญาณของนางเกือบจะหลุดออกจากร่าง “ข้าคงถึงวาระแล้ว! ชายคนนี้ปรารถนาในความงามของข้าจริง ๆ และมันตั้งใจที่จะร่วมรักกับข้า…”

หวือ!

โลกและท้องฟ้าหมุนวนในดวงตาของนาง ในขณะที่เฉินซีได้ทะยานผ่านท้องฟ้า ทำให้อวิ๋นน่าหวาดกลัวจนถึงขั้นหลับตาลง และสายลมที่ซัดเข้าหาใบหน้าของนาง ทำให้นางไม่สามารถลืมตาได้อีกต่อไป

“อะไรกัน…เจ้าต้องการทำสิ่งใดกันแน่?” อวิ๋นน่ารวบรวมความกล้าก่อนจะกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ

“นำทางให้ข้า” เฉินซีตอบกลับ

ในที่สุดความกังวลในใจของอวิ๋นน่าก็ผ่อนคลายลงเมื่อนางได้ยินสิ่งนี้ และนางก็เริ่มคิดถึงที่มาของชายคนนี้ “ดูเหมือนชายคนนี้ต้องการคนนำทางจริง ๆ หรือว่าเขามาจากบึงวิญญาณ?”

“เป็นไปไม่ได้!”

นางแทบจะปฏิเสธการคาดเดานี้โดยสัญชาตญาณ เนื่องจากมันเป็นความคิดที่ไร้สาระเกินไป! เพราะที่บึงวิญญาณนั้นมีทะเลทรายพายุสายฟ้าที่น่ากลัวยิ่งกว่าถ้ำอสูรน้ำแข็ง หุบเขาวิญญาณโลหิต หรือป่าทมิฬ… นอกจากนี้เส้นทางจากเมืองนภาครามเพื่อไปยังนครอสนีบาตสายนี้ก็ถูกเลิกใช้มาหลายร้อยปีแล้ว และในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มันก็แทบไม่มีใครก้าวออกมาแม้แต่ผู้เดียว!

“แต่ถ้าชายคนนี้ไม่ได้มาจากบึงวิญญาณ แล้วเขาจะไม่รู้จักเส้นทางได้อย่างไร?”

ในขณะนั้นเอง เฉินซีก็หยุดเคลื่อนไหวและกล่าวว่า “เมืองที่ตั้งอยู่ใกล้ที่นี่ที่สุดอยู่ที่ใดหรือ?”

อวิ๋นน่าเปิดตาของนางขณะที่ตัวสั่นด้วยความตกใจ จากนั้นนางก็พยายามสงบสติอารมณ์และตอบอย่างระมัดระวังว่า “เมืองที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไปสองแสนห้าหมื่นลี้ แต่ปราการเดียวดายอยู่ห่างออกไปสองพันห้าร้อยลี้เท่านั้น และมันเป็นป้อมปราการที่สร้างขึ้นในป่าอาถรรพ์ เพื่อเป็นที่พักพิงของเหล่าผู้บ่มเพาะที่มาฝึกฝนและผจญภัยภายในป่าอาถรรพ์แห่งนี้”

ปราการเดียวดายหรือ?

เฉินซีตกตะลึงเพราะเขาไม่เคยเห็นชื่อนี้ในแผนที่มาก่อน แต่เขาก็ไม่ได้หยุดและเดินหน้าต่อไป เนื่องจากผู้บ่มเพาะมารวมตัวกันที่ปราการเดียวดาย ดังนั้นเขาก็สามารถรับทราบข้อมูลเพิ่มเติมจากที่นั่นได้

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท