บทที่ 351 มาถึงนครอสนีบาต
บทที่ 351 มาถึงนครอสนีบาต
กองคาราวานพ่อค้าหยุดจัดระเบียบใหม่เพียงระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนที่จะรีบเดินทางต่อไป
ชะตากรรมของหมีหุ้มเกราะพิฆาตไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ในขณะที่ยอดฝีมือที่ต่อสู้กับปีศาจหมีนั้นก็หาตัวไม่พบ ดังนั้นเพื่อเลี่ยงเหตุร้ายใดที่อาจเกิดขึ้นได้ การออกจากสถานที่ซึ่งมีปัญหาแฝงอยู่จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
มันทำให้เหยียนเยียนรู้สึกเสียใจไม่น้อย เพราะนางยังอยากกล่าวขอบคุณยอดฝีมือคนนั้นสักหน่อย หากนางมีโอกาสและสามารถสานสัมพันธ์อันดีกับผู้เยี่ยมยุทธ์ท่านนั้นได้ก็จะยิ่งดี แต่น่าเสียดายที่นางกลับได้สิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่ใจต้องการ หญิงสาวจึงทำได้เพียงขจัดความรู้สึกสูญเสียนั่นไป ก่อนจะจากไปพร้อมกับกลุ่มคาราวาน
ตั้งแต่วันนั้นมา พวกเขาก็ไม่พบอันตรายใดระหว่างทางอีก
เฉินซีทำตัวตามปกติ นั่งสมาธิและพักผ่อนตามใจอยาก เขาไม่ได้มีความคิดเห็นเช่นชายที่เอาแต่พึ่งพาสตรี เมื่อเขาไม่มีงานและไม่รู้จะทำอะไร เขาก็จะดื่มเหล้าและพูดคุยกับอวิ๋นน่า ทำให้เข้าใจสถานการณ์ในนครอสนีบาตอย่างคร่าว ๆ ชายหนุ่มใช้เวลาในแต่ละวันอย่างสงบและร่ำรวย
ในทางกลับกัน อวิ๋นน่าเป็นผู้ที่มีความสุขที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย หลังจากได้มีปฏิสัมพันธ์กับเฉินซีมานาน นางก็รู้ว่าเขาไม่ใช่คนเย็นชาและไร้อารมณ์ นิสัยเองก็นับว่าเป็นมิตรและเข้าหาได้ง่าย ตราบใดที่ไม่มีใครร้องขออะไรที่มากเกินเหตุ เขาก็จะตอบตกลงทุกอย่าง เช่น ตอนที่ช่วยอธิบายความขัดแย้งในการบ่มเพาะของนางและเรื่องอื่น ๆ
และเมื่อระยะเวลาผ่านไปนานขึ้น นางก็พบว่าไม่ใช่เพียงความแข็งแกร่งของเฉินซีเท่านั้นที่ไม่ธรรมดา เขายังมีทักษะในการสร้างยันต์ด้วย อีกทั้งเขาเป็นพ่อครัววิญญาณฝีมือยอดเยี่ยมอีกด้วย!
ปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระนับว่าหายากมาก การจะก้าวไปถึงจุดนั้นได้ยากแสนสาหัส ดังนั้นเมื่ออวิ๋นน่ารู้จากคำพูดที่เฉินซีเผลอบอกมาเพียงไม่กี่คำว่าสามารถสร้างยันต์เลิศล้ำขั้นสูงได้ อวิ๋นน่าก็พูดไม่ออกบอกไม่ถูก สายตาที่จ้องมองเฉินซีทั้งความประหลาดใจระคนความชื่นชม
แค่ให้นางคิดจินตนาการดูก็นับว่ายากแล้ว คนคนนี้ยังหนุ่มนัก แล้วเขาจะสร้างความสำเร็จอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไรกัน? ราวกับอัจฉริยะที่พันปีถึงจะหาได้สักคน!
แต่เมื่อเฉินซีเผยฝีมือการทำอาหารให้นางลิ้มลอง อวิ๋นน่าก็ลืมเรื่องทุกอย่างสิ้น คิดแต่จะกินลูกเดียว ทุกเช้าสายบ่ายเย็น นางจะถามอยู่คำเดียวพร้อมกับใจคาดหวัง “พ่อครัววิญญาณผู้ยิ่งใหญ่ มื้อนี้เราจะกินอะไรกันหรือ?”
เรื่องก็เป็นเช่นนี้ อวิ๋นน่าได้กลายเป็นแม่นางจอมตะกละของพ่อครัววิญญาณเฉินผู้ยิ่งใหญ่ไปแล้ว
และเพื่อแสดงความซาบซึ้งและชื่นชมในใจออกมา อวิ๋นน่าจึงรับหน้าที่ตระเตรียมและทำความสะอาดวัตถุดิบทั้งหลาย คอยล้างจาน รินชารินน้ำ และทำเรื่องจิปาถะทั้งหลายให้ อีกทั้งนางยังทำหน้าที่ได้อย่างละเอียดลออไปจนถึงรายละเอียดปลีกย่อยทั้งหลาย แม้แต่สาวใช้จากตระกูลร่ำรวยยังไม่ขยันขันแข็งเช่นนาง
เมื่อทุกคนสังเกตเห็นเรื่องนี้ พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกดูถูกเฉินซีมากขึ้นกว่าเดิม ต่างพากันคิดว่าเจ้าหมอนี่ก็แค่ไอ้สารเลวคนหนึ่ง เอาแต่สั่งให้สาวงามสุดยั่วยวนต้องทำงานหนักกว่าสาวใช้ และพวกเขาก็ได้แต่หวังว่าสวรรค์จะส่งสายฟ้าฟาดลงมาใส่เจ้าหมอนี่ให้ตายตกไปไปสักเปรี้ยง!
ทว่าจากนั้นไม่นาน ความไม่พอใจและความอิจฉาริษยาของคนทั้งหลายก็สลายกลายไปเป็นสายน้ำ
ในคืนนั้น ทั้งกลุ่มตั้งค่ายอยู่ที่ริมลำธารในป่า
ลำธารเต็มไปด้วยปลาขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีทอง ข้างปากมีหนวดมังกรสองเส้น พวกมันเต็มไปด้วยปราณวิญญาณ ส่องประกายระยิบระยับดูโปร่งแสง และยังมีกลิ่นหอมจาง ๆ กำจายออกมาด้วย
ปลาชนิดนี้หายากมาก มันถูกเรียกว่าปลาหลีฮื้อหนวดมังกร มันมีปราณวิญญาณอยู่มากมาย จึงมีราคาสูงมาก และมีเพียงผู้บ่มเพาะผู้ยิ่งใหญ่บางคนเท่านั้นจึงจะหาซื้อไหว
เมื่ออวิ๋นน่าพบว่าซุปใสที่ต้มจากปลาชนิดนี้มีประโยชน์ต่อการคงความงามสตรี นางจึงไม่อาจยับยั้งความตื่นเต้นในใจลงได้ นางจับปลาได้มากกว่าสิบตัวในเวลาอันสั้น ก่อนจะส่งทั้งหมดให้เฉินซี
เฉินซีเองก็ไม่ได้ขัด จากนั้นเขาก็เริ่มก่อไฟและวางหม้อต้มไว้ด้านบน เขาผสมปลากับสมุนไพรวิญญาณกว่าสิบชนิดที่รวบรวมมาตลอดทาง เพื่อปรุงหม้อต้มที่ภายในเต็มไปด้วยปลาหลีฮื้อหนวดมังกร
อีกด้านหนึ่ง เขานำปลาที่เหลือมาเสียบแท่งเหล็ก ก่อนนำมาจ่อหน้าไฟ ทำเป็นปลาย่างที่ทั้งกรอบนอกนุ่มใน ทั้งอร่อยและสดชื่นยิ่งนัก
กลิ่นหอมยั่วยวนล่องลอยไปในป่าอย่างรวดเร็ว
ทุกคนจากกองคาราวานพ่อค้าที่กำลังนั่งสมาธิพากันลอบกลืนน้ำลาย กลิ่นหอมนี้… มันน่ากินเสียจริง! สามารถดึงหนอนในท้องออกมาประชันกันได้
แต่พอครุ่นคิดดูแล้ว พวกเขาก็ได้แต่อดทนต่อไป พวกเขาทำอะไรไม่ได้ เพราะไม่มีใครเคยทำดีกับเฉินซีแม้สักนิด ดังนั้นจะให้ลดศักดิ์ศรีไปขอของกินตอนนี้ย่อมเจ็บปวดกว่าฆ่าให้ตายเสียอีก
เฉินซีสังเกตว่าเขาทำอาหารมามากเกินไปหน่อยหลังจากที่เตรียมซุปปลาวิญญาณและปลาย่างเสร็จแล้ว…
อวิ๋นน่ากับข้าอย่างไรก็กินไม่หมด หากปล่อยให้ชืดไปก็จะเสียเนื้อสัมผัสและรสชาติที่ดีที่สุดไปได้
เขามองไปยังทุกคนรอบกายที่กำลังหลั่งน้ำลายอยู่ จากนั้นก็ลอบขำอยู่ในใจ ก่อนจะพลันลุกขึ้นยืนและเดินไปยังรถม้าสมบัติ พลางส่งเสียงผ่านกระแสปราณไปถึงอวิ๋นน่า “ข้าจะบ่มเพาะพลังก่อน เอาของพวกนี้ไปแจกให้คนอื่นได้ลิ้มลองด้วย เราต้องขอบคุณพวกเขาที่พาเราร่วมเดินทางในครั้งนี้ เราไม่อาจลืมความเมตตาของพวกเขาได้”
พูดจบ ชายหนุ่มก็เข้าไปนั่งอยู่ในรถม้าสมบัติแล้ว
จริง ๆ แล้วอวิ๋นน่าเองก็ลังเลเรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นเมื่อเฉินซีอนุญาต นางก็ไม่ลังเลอีกต่อไป แล้วจึงเรียกเหยียนเฉิง เหยียนเยียน และคนอื่นมาร่วมรับประทานอาหารค่ำอันโอชาที่ทั้งหอมหวนและอร่อยล้ำ
ความสัมพันธ์ของอวิ๋นน่ากับสมาชิกในกลุ่มนั้นนับว่าไม่เลว อย่างน้อยก็ดีกว่าของเฉินซีนับพันเท่า ทั้งความคิดอ่านที่เป็นมิตรและในฐานะที่นางเป็นสาวงามสุดเร่าร้อน ทุกคนบอกปฏิเสธอย่างสุภาพในตอนแรก ก่อนจะยอมเห็นด้วยอย่าง ‘ยากลำบาก’ ในท้ายที่สุด
แท้จริงแล้วทุกคนไม่อาจยับยั้งหนอนน้อยในท้องตนได้ตั้งนานแล้ว ตอนที่หยิบปลาย่างขึ้นมาคราแรก พวกเขายังคงสงวนท่าที แต่เมื่อได้กัดปลาตัวสีทองที่ทั้งกรอบและเนื้อละลายในปากไปครั้งแรก ก็พากันเบิกตากว้างราวกับถาดรอง ไม่สนท่าทีหรือความยั้งใจใด ๆ ทั้งยังไม่ใส่ใจท่าทางการกินอีก พวกเขาถือปลาย่างไว้ในมือซ้าย ถือซุปปลาไว้ในมือขวา สวาปามอาหารด้วยท่าทางตะกละตะกลาม
อวิ๋นน่าเม้มปากยิ้ม นางรู้สึกภูมิใจเช่นกันเมื่อเห็นว่าอาหารของเฉินซีสามารถทำให้ทุกคนหิวโหยได้มากเช่นนี้
ทั่วทั้งป่าก็ได้ยินเสียงเคี้ยวปลาย่างหยับ ๆ และเสียงซดซุปปลาดังขึ้นมาเป็นครั้งคราวนานอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
“โอ้ รสชาติไม่เลวเลย” หลังจากกินอิ่มแล้วก็มีคนลูบท้องและส่งเสียงแห่งความสบายใจออกมา ก่อนจะเอ่ยวิจารณ์อย่างไม่ใส่ใจ
“ไม่เลวเลยจริง ๆ” คนอื่น ๆ ก็เห็นด้วยเช่นกันและพากันออกความเห็นกันอย่างต่อเนื่อง
เหยียนเยียนจ้องมองเจ้าพวกนั้นด้วยสายตาเหยียดหยาม นางเห็นพวกเขาก็เต๊ะท่าไปเช่นนั้น ดูสิว่าก่อนหน้านี้กินกันอย่างไร แต่ละคนแข่งกันกินอย่างดุเดือด ส่วนข้าจะกินอีกก็ไม่ได้เพราะพวกเจ้ากินหมดแล้ว…
“ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดแม่นางอวิ๋นถึงได้ต้องตาน้องชายผู้นั้น หากจับความตะกละของสตรีไว้ได้อยู่หมัด ก็เท่ากับคว้าใจนางไว้ได้เช่นกัน!” เหยียนเฉิงถอนหายใจ
ใบหน้างดงามของอวิ๋นน่าแดงก่ำ พลางก้มหน้าลงด้วยความอับอายยิ่ง แต่นางก็สังเกตได้แล้วว่าหลังจากผ่านวันนี้ไป ความเกลียดชังรังเกียจทั้งหลายที่ทุกคนมีต่อเฉินซีก็ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
ซึ่งก็เป็นไปอย่างที่อวิ๋นน่าคิด ในวันต่อมา แม้ว่าทัศนคติที่ทุกคนมีต่อเฉินซีจะไม่นับว่าเป็นมิตร แต่ก็ไม่ได้มีแววดูถูกเหยียดหยามอีกต่อไป
เช้าตรู่วันนี้ ละอองฝนโปรยลงจากฟ้า ป่าทึบค่อย ๆ ลดความหนาแน่นลง ทำให้พวกเขามองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้กว้างขวางขึ้น เมื่อลองแหงนหน้ามอง ก็จะสามารถเห็นเงาเมืองอันยิ่งใหญ่ที่อยู่ไกลลิบราวกับเชื่อมนภาได้ ท้องฟ้า ณ จุดนั้นมีสายฟ้าฟาดลงมาเป็นจำนวนมาก
“ในที่สุดเราก็มาถึงนครอสนีบาตแล้ว!”
“ทุกคน ข่มใจสู้สักหน่อย รีบเดินทางเข้าเมืองก่อนฟ้าจะมืดเถอะ”
“ฮ่า ๆ! แน่นอน ข้ายังอยากไปตำหนักดื่มจันทรา ไปดื่มด่ำกับสตรีงามสักนางอยู่เลย”
เมื่อมองเห็นเค้าเมืองที่ตั้งอยู่ไกลลิบ ทุกคนจึงมีกำลังใจกันมากขึ้นจนเริ่มส่งเสียงร้องด้วยความตื่นเต้น ตั้งแต่ออกจากปราการเดียวดายจนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว การเดินทางครั้งนี้เหนื่อยล้ายิ่งนัก ต้องประสบปัญหามากมายทั้งใหญ่และเล็กจากพวกสัตว์อสูร ทำให้เส้นกล้ามเนื้อทั่วร่างต้องตึงเครียดอยู่ตลอด ตอนนี้ทุกคนต่างก็ตั้งตารอได้กลับเข้าเมืองเพื่อให้ได้พักผ่อนกันดี ๆ
“เรากำลังจะถึงนครอสนีบาตแล้วสินะ…” อวิ๋นน่าพึมพำ น้ำเสียงของนางเผยให้เห็นถึงความเสียดายอยู่เล็กน้อย เมื่อคิดถึงวันเวลาที่ได้อยู่กับเฉินซี ความคิดไร้สาระหนึ่งก็พลันผุดขึ้นในใจอย่างไร้เหตุผล หากการเดินทางครั้งดำเนินไปตลอดชีวิตจะดีเพียงไหนกันนะ?
เฉินซีไม่ทันสังเกตเห็นความผิดหวังที่อวิ๋นน่าเผลอแสดงออกมา เพราะเขากำลังจ้องไปยังเงาเมืองที่เห็นจากระยะไกลและไม่อาจปิดบังความตื่นเต้นในใจได้
ตั้งแต่เดินทางออกจากเมืองอีกาคลั่ง เขาก็ผ่านป่าทมิฬ ลานศิลาภูตผี ถ้ำอสูรน้ำแข็ง และสถานที่อันตรายมานับไม่ถ้วน จากนั้นก็ออกเดินทางไปยังปราการเดียวดาย ท่องมาไกลพันลี้เพื่อให้มาถึงนครอสนีบาตแห่งนี้ เมื่อนึกถึงความยากลำบากและอันตรายที่พบมาตลอดเส้นทาง ใจเฉินซีก็เกิดความรู้สึกหลากหลายราวกับว่าเวลาผ่านพ้นไปนานหลายปี
ห่างออกไปไม่กี่พันลี้คือกลุ่มคนที่กำลังยืนอยู่หน้าทางเข้าเมือง ผู้นำกลุ่มคนคือสาวงามที่มีท่าทางสง่างามเป็นพิเศษ ใบหน้างามของนางขาวดั่งหยก ดวงตาดูฉลาดลึกล้ำ เรือนร่างดูสง่างามและผอมเพรียว ชุดสีขาวของนางสะบัดไปตามสายลม ราวกับจะบินไปพร้อมกับลม ด้านข้างนางมีชายหนุ่มรูปงามในชุดคลุมปักลายประณีต และยังมีผู้เยี่ยมยุทธ์กว่าสิบคนซึ่งล้วนมีฝีมือโดดเด่นทั้งสิ้น