บทที่ 352 การกลับมาพบกันอันสุขสันต์
บทที่ 352 การกลับมาพบกันอันสุขสันต์
คนกลุ่มนี้ดูโดดเด่นนักยามยืนอยู่นอกประตูทางทิศใต้ของนครอสนีบาต ยิ่งเมื่อได้เห็นชายหนุ่มรูปงามในชุดคลุมปักลาย ผู้บ่มเพาะที่เดินผ่านไปมาทุกคนก็เผยสายตาเคารพให้ได้เห็น
“พูดเบา ๆ หน่อย เจ้าไม่เห็นนายน้อยแห่งจวนจ้าวอัสนีตรงนั้นหรือ?”
“อ๊ะ! เช่นนั้นเขาก็คือหวังเจิ้นเฟิง นายน้อยหวังผู้มีชื่อไปทั่วนครอสนีบาตสินะ?”
“เขาจะเป็นใครได้อีกเล่า? จุ๊ ๆ อยากรู้จังว่าสาวน้อยชุดขาวผู้นั้นเป็นใคร นางกล้ารบกวนให้นายน้อยคอยอยู่เคียงข้างนางตลอดเวลา ข้าคิดว่านางย่อมไม่ธรรมดาแน่”
“ชู่ว! อย่าพูดถึงเรื่องของนายน้อยเลย ไม่เช่นนั้นหากทำให้นายน้อยโกรธเข้า ชาตินี้ก็อย่าหวังว่าจะได้ออกไปจากนครอสนีบาตเลย!”
หวังเจิ้นเฟิงยิ้มบางเมื่อได้ยินเสียงผู้บ่มเพาะที่ผ่านไปมาคุยกัน ดูเหมือนเขาจะข่มใจตนไว้และมั่นใจยิ่ง แต่แล้วเขาก็ต้องถอนหายใจเบา ๆ เมื่อมองไปยังหญิงสาวชุดขาวที่อยู่ข้างกาย
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า “แม่นางย่าชิง เจ้ารออยู่ที่นี่มากว่าหนึ่งเดือนแล้ว กลับเรือนข้าไปพักผ่อนสักหน่อยดีหรือไม่? ปล่อยให้ลูกน้องของเจ้ารออยู่ที่นี่ หากมีข่าวก็คงไม่สายเกินมาแจ้งเจ้า”
น่าตกใจนัก หญิงสาวชุดขาวคือย่าชิงแห่งหอขุมทรัพย์สวรรค์นั่นเอง!
ตอนนี้นางกำลังมองไปยังป่าทึบที่อยู่ไกล ๆ ด้วยสีหน้าว่างเปล่าราวกับตกอยู่ในภวังค์ จึงไม่ได้ยินสิ่งที่หวังเจิ้นเฟิงพูด
ความไม่พอใจแวบผ่านนัยน์ตาของชายหนุ่ม ในใจเกิดความไม่พอใจยิ่ง ‘ในฐานะนายน้อยของจวนจ้าวอัสนี ข้ามีฐานะสูงส่ง มีกำลังไม่ธรรมดา ข้าด้อยกว่าเด็กคนนั้นตรงไหนกัน? แต่ไม่ว่าข้าจะพยายามแค่ไหน ย่าชิงก็ดูเหมือนจะไม่เคยสนใจข้าเลย ถึงขนาดที่นางจะไม่ใส่ใจจะพูดอะไรกับข้าเลยด้วยซ้ำ!’
ความสามารถของคนคนนั้นที่ทำให้ย่าชิงรออยู่ที่นี่อย่างขมขื่นและไร้ความรู้สึกมานานกว่าหนึ่งเดือนได้เช่นนี้คืออะไรกันแน่?
คนผู้นั้นมันน่ารังเกียจโดยแท้!
หวังเจิ้นเฟิงรู้สึกหงุดหงิดใจอย่างยิ่ง ด้วยไม่อาจปกปิดความรู้สึกนั้นไว้จึงอดพูดออกมาไม่ได้ “แม่นางย่าชิง แม้ว่าตำหนักตะวันดำจะยกเลิกการลอบสังหารเด็กคนนั้นไปแล้ว แต่เจ้าก็ควรจะรู้ว่าระหว่างเมืองอีกาคลั่งกับนครอสนีบาตยังมีสถานที่อันตรายอยู่มากมาย ไม่ต้องกล่าวถึงผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเลย ขนาดผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติยังไม่กล้าเฉียดกรายเข้าใกล้ ข้าคิดว่าเขาน่าจะโชคร้ายไปแล้วกระมัง เราจะรออยู่ที่นี่ต่อไปเพื่ออะไรอีกเล่า?”
ย่าชิงพลันหันมา สายตาเย็นชาของนางจ้องหวังเจิ้นเฟิงดั่งสายฟ้าฟาด “เจ้าหมายความว่าอะไร? เจ้าแช่งเขาหรือ?”
การถูกตั้งคำถามด้วยท่าทีกดข่มนี้ทำให้เปลวไฟแห่งความโกรธแค้นในใจของหวังเจิ้นเฟิงยิ่งสุมแรงขึ้น ทว่าเขาก็คลี่ยิ้มแข็งออกมา “ข้าแค่พูดความจริง ในเมื่อแม่นางย่าชิงไม่เต็มใจจะได้ยิน เช่นนั้นข้าจะไม่พูดถึงมันอีก”
ย่าชิงส่งเสียงหึเย็นชาและก็ไม่ได้ใส่ใจนายน้อยไม่เอาถ่านผู้นี้อีก นางรู้ว่าทำไมหวังเจิ้นเฟิงถึงยึดติดกับนางเช่นนี้ นอกจากโลภในความงามของนางแล้ว เขายังพยายามสานสัมพันธ์ระหว่างจวนจ้าวอัสนีและท่านหญิงสุ่ยฮวาผ่านทางนางอีกด้วย
นางถึงขนาดสงสัยว่าหวังเจิ้นเฟิงเข้าหานางเพราะนายท่านแห่งจ้าวอัสนีแนะนำมา
“เอ๊ะ นั่นไม่ใช่กองคาราวานพ่อค้าของหอขุมทรัพย์สวรรค์ที่มุ่งหน้าไปปราการเดียวดายเพื่อซื้อวัตถุดิบหรอกหรือ? ในเมื่อกลับมาจากปราการเดียวดาย ก็น่าจะได้ข่าวอะไรมาบ้างกระมัง” หนึ่งในผู้เยี่ยมยุทธ์คนหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียงพูดออกมา
ย่าชิงเงยหน้าขึ้นมอง แน่นอนว่านางเห็นว่ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังเร่งเดินทางมาจากป่าอาถรรพ์
ในขณะเดียวกันนั้น เหยียนเยียนกับเหยียนเฉิงที่อยู่ด้านหน้าก็สังเกตเห็นย่าชิงและคนอื่น ๆ ที่อยู่ ณ ทางเข้าเมืองเช่นกัน ทั้งคู่ไม่กล้าทำตัวหยาบคาย ทิ้งกลุ่มคนไว้และรุดหน้ามายังประตูทางเข้าก่อน
“ข้าน้อยเหยียนเฉิงทำความเคารพแม่นางย่าชิง” หลังจากมาถึงหน้าทางเข้าเมืองแล้ว เหยียนเฉิงก็หายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะโค้งคำนับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขารู้ว่าหญิงสาวผู้งดงามคนนี้กุมอำนาจในหอขุมทรัพย์สวรรค์ไว้มากมายแค่ไหน ถึงจะได้รับการยกย่องเป็นนายหน้ารายใหญ่ แต่เขาก็ไม่กล้าล่วงเกินแม่นางท่านนี้เป็นแน่
“กลับมาก็ดีแล้วผู้จัดการเหยียน” ย่าชิงพยักหน้า
“พี่ใหญ่ย่าชิง ท่านมานครอสนีบาตตั้งแต่เมื่อใดกัน? หากบอกข้าล่วงหน้าว่าจะมาที่นี่ ข้าจะได้ไม่ต้องติดตามท่านพ่อไปที่ปราการเดียวดาย” เหยียนเยียนมาถึงข้างกายย่าชิงก่อนจะจับมืออีกฝ่ายไว้และเอ่ยเสียงอบอุ่น ในขณะนี้ นางไร้ซึ่งความเยือกเย็นและความหยิ่งผยอง และเหมือนกับเด็กสาวตัวน้อยที่ติดพี่สาวคนโตแจอย่างไรอย่างนั้น
ย่าชิงยิ้มพลางลูบผมยาวของเหยียนเยียน แต่ไม่ได้พูดอะไร แล้วหันไปถามเหยียนเฉิงแทน “ระหว่างทางมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่?”
เหยียนเฉิงชะงักไป จากนั้นก็เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “เป็นเพราะแม่นางย่าชิง เราจึงไม่พบอันตรายใดระหว่างทาง”
เป็นเหยียนเยียนที่พึมพำด้วยเสียงตื่นเต้นขึ้นมา “หากพูดถึงเรื่องน่าสนใจก็มีมากมายทีเดียว เราพบกับชายหนุ่มน่าคมทว่าขี้ขลาดคนหนึ่งระหว่างทาง เขาน่ารังเกียจเป็นยิ่งนัก ทำตัวราวกับนายน้อยคนหนึ่ง เอาแต่ปล่อยให้แม่นางคนหนึ่งรับใช้เขาทุกอย่างตลอดการเดินทาง ทว่าตัวเขากลับขี้ขลาดเหมือนหนูตัวหนึ่ง ทุกครั้งที่เราพบอสูรชั่วร้ายก็กลัวจนไม่กล้าออกมา ได้แต่ซ่อนตัวอยู่ในรถม้าสมบัติ ถือว่าน่าอัปยศอดสูนัก…”
ระหว่างที่พูด เหยียนเยียนก็ลากสายตาไปมอง แต่กลับเห็นว่าย่าชิงราวกับไม่ได้ฟังคำ ทว่ากลับจ้องไปยังที่ไกลด้วยสีหน้าว่างเปล่า
เหยียนเยียนมองไปรอบ ๆ เห็นเฉินซีเดินลงมาจากรถม้าสมบัติ สีหน้านางพลันกลับสู่ความเยือกเย็นหยิ่งผยองอีกครั้ง พลางพูดอย่างรวดเร็วว่า “พี่ใหญ่ย่าชิง ดูเร็วเข้า เขานี่ล่ะคนขี้ขลาดที่ข้าพูดถึง เอ๋ เขากำลังเดินมาที่นี่เสียด้วย… ”
เหยียนเฉิงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติอยู่เล็กน้อย สายตาของแม่นางย่าชิงกำลังมองเฉินซีด้วยความ… ดูเหมือนจะตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยหรือ? และถึงขนาดที่เบ้าตานางมีสีแดงเรื่อเสียด้วย!
ในขณะเดียวกันนั้น เฉินซีเดินเข้ามาแล้ว โดยมีอวิ๋นน่าติดตามข้างกาย
เมื่อเหยียนเยียนเห็นเฉินซีกำลังเดินเข้ามาพร้อมกับอวิ๋นน่าที่มีทีท่าราวกับสาวใช้ที่ได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม นางก็โกรธเกรี้ยวนัก โบกมือกล่าวขึ้นว่า “ไม่จำเป็นต้องบอกลาหรอก เจ้ารีบไปเถอะ เราพาเจ้ามาด้วยเพราะอยู่ระหว่างทางพอดีก็เท่านั้น”
แต่นางก็ต้องประหลาดใจ เมื่อเฉินซีไม่ปรายตามองนางสักนิด แต่กลับเดินเข้าไปหาย่าชิงและเอ่ยเสียงเบาขึ้น “เจ้ามาถึงนครอสนีบาตนานแล้วสินะ”
นัยน์ตางดงามของเหยียนเยียนเบิกกว้าง คนขี้ขลาดผู้นี้รู้จักพี่ย่าชิงหรือ?
“คนเลว!”
ย่าชิงยกกำปั้นเล็กขึ้นทุบหน้าอกเฉินซีโดยแรง เปิดปากด่าไปก็เคี้ยวฟันไป น้ำตาหลั่งไหลดั่งสร้อยมุกขาด พากันไหลรินลงมาตามใบหน้างาม
ท่าทางนางคงจะดูจริงจังเกินไป ทำเอาทุกคนได้แต่ตะลึงไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ มีเพียงย่าชิงเท่านั้นที่รู้ซึ้งถึงความหวาดกลัวและความไม่สบายภายในใจตนในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เมื่อพบว่าเฉินซีกำลังจะเผชิญหน้ากับกลุ่มตะวันเร้น
นางไม่รู้ว่าทำไมตนเองถึงเป็นเช่นนี้ได้และไม่รู้ว่าเฉินซีกลายเป็นผู้ที่ใจนางคอยห่วงหาตั้งแต่ตอนไหน ที่รู้คือเมื่อเฉินซีที่นางปรารถนาจะได้เห็นมานานได้ปรากฏตัวขึ้นอย่างปลอดภัยอยู่ตรงหน้า นางก็อยากร้องไห้ออกมาจริง ๆ แม้ว่าจะเตือนตัวเองให้ยับยั้งชั่งใจและอดทนให้มากกว่าเดิม แต่พอเวลานั้นมาถึงจริง นางจะทนกลั้นน้ำตาไว้ได้อย่างไร?
เมื่อเห็นว่าย่าชิงกลายเป็นสาวงามหลั่งน้ำตา นอกจากอึ้งไปแล้ว เฉินซีก็อดรู้สึกสะเทือนใจไม่ได้ พลันก้าวไปเบื้องหน้าและโอบกอดย่าชิงไว้ในอ้อมแขน
เขาไม่ได้พูดอะไรเพราะรู้ว่าสิ่งที่ย่าชิงต้องการมากที่สุดในขณะนี้อาจเป็นอ้อมกอดไร้ความลังเลจากเขาก็เป็นได้
เหยียนเยียนมองภาพนั้นราวกับถูกฟ้าผ่าจนอื้ออึ้งไปทันใด พี่ใหญ่ย่าชิงที่เฉยชากับบุรุษทั้งหลาย กลับถูกไอ้เจ้าคนหน้าคมขี้ขลาดผู้นี้กอดอย่างนั้นหรือ?
ตอนนี้ไม่ว่านางจะหัวทึบแค่ไหน แต่ก็เข้าใจในทันที ‘…ครั้งนี้ข้าอาจจะประเมินผิดไป’
เหยียนเฉิงแอบเหงื่อตก รู้สึกว่าตนโชคดีนักที่ระหว่างทางไม่ได้พูดว่าร้ายเฉินซีไป เขาไม่เคยคิดเลยว่าสหายที่พามาด้วยจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับแม่นางย่าชิงเช่นนี้ หากรู้มาก่อน เขาก็อาจให้ความเคารพนบน้อมต่อเฉินซีราวกับเป็นบรรพบุรุษคนหนึ่งไปแล้ว!
ในขณะเดียวกันนั้น พวกผู้คุ้มกันของกองคาราวานก็มาถึงหน้าประตูเมืองเช่นกัน และคนทั้งหมดล้วนตกตะลึงเมื่อเห็นภาพเช่นนี้ พากันอ้าปากค้างขนาดที่ยัดไข่เป็ดลงไปได้
ไม่เคยมีใครคิดมาก่อนเลยว่าชายหนุ่มหน้าตาดีแต่ขี้ขลาด ซึ่งเอาแต่พึ่งพาสตรีที่พวกเขาเยาะเย้ยกันอยู่บ่อยครั้งผู้นี้จะมีความสามารถสูงส่งถึงขนาดที่หาญกล้าโอบกอดแม่นางย่าชิงที่มีฐานะสูงเกินเอื้อมได้เช่นนี้!
ทุกคนเอาแต่ตกใจจนไม่ทันเห็นว่าอวิ๋นน่าค่อย ๆ เดินออกมา ทิ้งระยะห่างระหว่างนางกับเฉินซี เมื่อเห็นเฉินซีกอดกับสตรีที่นางไม่คุ้นตา ความรู้สึกขุ่นเคืองระคนเศร้าสร้อยที่ไม่อาจอธิบายได้ก็หลั่งไหลเข้ามาในใจของนาง
ไม่สิ มีคนหนึ่งที่สังเกตเห็น นั่นก็คือนายน้อยหวังแห่งจวนจ้าวอัสนีนั่นเอง ความริษยาพลุ่งพล่านในใจ ขณะที่เปลวไฟแห่งความอิจฉาลุกโชนยามเขาได้เห็นเฉินซีและย่าชิงโอบกอดกัน เขาไม่คิดอยากทำสิ่งอื่นใด เพียงหวังแค่ว่าจะได้ทุบสารเลวนี่ให้ตายแล้วชิงย่าชิงกลับมาข้างกายตน
เมื่อเห็นหญิงสาวคนหนึ่งที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าย่าชิงกลับยืนเคียงเฉินซีด้วยท่าทางดูหลงใหลเขาเช่นนั้น ในใจก็รู้สึกราวกับกลืนแมลงนับหมื่น และได้แต่คร่ำครวญอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ‘สวรรค์โปรด สาวงามทั้งหลายเป็นอะไรไปกันหมด? พวกนางเป็นอะไรไป!?’
หวังเจิ้นเฟิงไม่อาจทนมองภาพตรงหน้าได้ เขากระแอมเสียงแห้งออกมาทันที “แม่นางย่าชิง ในเมื่อเฉินซีมาถึงอย่างปลอดภัยแล้ว เหตุใดไม่กลับเมืองก่อนค่อยพูดคุยกันเล่า?”
ย่าชิงซบศีรษะลงบนอกกว้างของเฉินซี ในใจนางมีความสุขนัก ไม่ปรารถนาสิ่งอื่นใดนอกจากการได้อยู่เช่นนี้ตลอดไป แต่ตอนนี้กลับถูกลากออกจากฝันหวานด้วยน้ำเสียงของหวังเจิ้นเฟิง ทำให้นางอดด่าเขาในใจไม่ได้ ‘ไอ้บัดซบไม่รู้ความนี่!’ จากนั้นนางก็ผละออกจากอ้อมกอดนั้นอย่างไม่เต็มใจ ก่อนจะจัดเสื้อผ้าเสียใหม่ ดูจะเขินอายอยู่เล็กน้อย
“ไปกันเถอะ เข้าเมืองแล้วเราค่อยคุยกัน” พร้อมกันนั้น เฉินซีเองก็ได้ความสงบกลับคืน เพราะหากอยู่ที่นี่ต่อไป เขาจะยิ่งรู้สึกอายเพราะสังเกตเห็นสายตาแปลก ๆ ที่ทุกคนพากันส่งมาให้
“อืม” ย่าชิงฮัมเพลงเล่น มันฟังดูอ่อนโยนนัก เผยให้เห็นความน่ารักอ่อนโยน
“จะมาด้วยกันหรือไม่?” เฉินซีหันกลับไปมองอวิ๋นน่าเพราะรู้สึกว่าหากทิ้งอวิ๋นน่าและจากไปในตอนนี้ก็คงจะดูโหดร้ายเกินไปสักหน่อย
อวิ๋นน่าตกตะลึง นางไม่เคยคิดเลยว่าเฉินซีจะยังจำนางได้ ทำให้นางมึนงงไปหมด เดิมทีนางอยากปฏิเสธ แต่กลับตอบตกลงไปโดยไม่คาดคิด
ย่าชิงเหลือบมองอวิ๋นน่าทว่าไม่ได้พูดอะไร
อวิ๋นน่าลอบมองไปทางย่าชิงเช่นกัน นางเองก็เม้มปากไม่เอ่ยวาจาเช่นกัน
ทั้งสองคนฉลาดมาก และรู้ว่าหากต้อง ‘แข่ง’ กันในตอนนี้จะทำให้เสียภาพลักษณ์ที่มีต่อเฉินซีได้ ซึ่งไม่คุ้มค่ายิ่ง
เส้นเลือดบนหน้าผากหวังเจิ้นเฟิงเต้นตุบเมื่อเห็นภาพนี้ เขารู้สึกว่าเฉินซีเป็นดั่งนายน้อยผู้เป็นศูนย์กลางความสนใจ ในขณะที่ตัวเขากลับกลายเป็นคนผ่านทางที่ไร้ใครสนใจ…
หวังเจิ้นเฟิงหายใจเข้าลึก ๆ พลางระงับความไม่สบายใจเอาไว้ จากนั้นเขาก็ไตร่ตรองครู่หนึ่ง ก่อนที่แผนการหนึ่งจะผุดขึ้นมา ทำเอาเขาหัวเราะออกมาทันที “ไปกันเถอะ ข้าได้สั่งให้คนรับใช้จัดเตรียมงานเลี้ยงไว้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นข้าได้เชิญผู้มีความสามารถโดดเด่นในกลุ่มคนรุ่นเยาว์มาต้อนรับพี่เฉินกับเราด้วย!”