บทที่ 354 การยั่วยุ
บทที่ 354 การยั่วยุ
ณ โถงต้อนรับของจวนจ้าวอัสนี
หลังจากการปรากฏตัวของเฉินซีและพรรคพวก เสียงของการสนทนาภายในห้องโถงก็หายไปทันทีเมื่อสายตาของคนทั้งหมดพุ่งไปที่ทางเข้าอย่างพร้อมเพรียงกัน และสายตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ความประหลาดใจ ความสงสัย และอื่น ๆ อีกมากมาย
ในบรรดากลุ่มพวกเขา ย่าชิงนั้นสง่างาม เงียบสงบ และงดงามจนแทบหยุดหายใจ รูปร่างของอวิ๋นน่านั้นงดงาม เย้ายวนและเร่าร้อน เหยียนเยียนมีผิวที่เรียบเนียนและงดงาม อีกทั้งนางยังเย่อหยิ่งและเย็นชา หญิงงามทั้งสามคนที่มีนิสัยแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกำลังเดินเคียงข้างชายหนุ่มในขณะนี้ และเป็นไปไม่ได้ที่พวกนางจะไม่ดึงดูดความสนใจของทุกคน
แม้ว่าหวังเจิ้นเฟิงจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่เมื่อเขาเห็นภาพนี้ ความหึงหวงก็พลันพวยพุ่งอยู่ในใจอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม โชคดีที่เขายังจำตัวตนในฐานะเจ้าภาพของตนได้ ดังนั้นเขาจึงกลับคืนสู่สภาพปกติในทันที ก่อนที่จะมองไปยังเฉินซีและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “พี่เฉิน ข้าได้ยินมาว่าท่านได้รับชัยชนะหนึ่งร้อยครั้งติดต่อกันในการชุมนุมธารทอง และท่านยังสามารถเอาชีวิตรอดจากการลอบสังหารของตำหนักตะวันดำได้สำเร็จ และทำลายสถิติการลอบสังหารที่มีมานับพันปีของตำหนักตะวันดำได้อีกด้วย ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับและรู้สึกชื่นชมท่าน”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เขาก็กล่าวพร้อมกับยิ้มให้กับคนที่อยู่ข้าง ๆ “เซวียนเทียน เจ้าคิดอย่างไร”
คนที่อยู่ข้างกายผู้นั้นสวมเสื้อคลุมสีขาวอย่างหลวม ๆ ผมยาวของเขาถูกมัดรวบไว้ ดวงตาของคนผู้นี้สุกสกาวราวกับดวงดาว มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ทำให้เขาดูทรงภูมิและสง่างาม มันให้ความรู้สึกราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ แต่สามารถสังเกตได้อย่างชัดเจนจากคางที่เชิดขึ้นเล็กน้อยของเขาว่าคนผู้นี้เป็นคนหยิ่งยโสและหยิ่งผยองเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าความหยิ่งผยองของเขาได้ถูกซุกซ่อนเอาไว้
เซวียนเทียนพยักหน้าเมื่อได้ยินสิ่งนี้ “ข้าชื่นชมเขาจริง ๆ ในเมื่อพี่เฉินสามารถประสบความสำเร็จเช่นนี้ได้ ท่านจะต้องทำลายสถิติและกลายเป็นที่เลื่องลือในการชุมนุมดาวรุ่งที่จะถึงนี้แน่”
แม้ว่าจะเป็นการชื่นชม แต่น้ำเสียงกลับแฝงแววเย้ยหยัน
“ท่านทั้งคู่ให้เกียรติกันเกินไปแล้ว” เฉินซียิ้มอย่างเฉยเมยและไร้ความรู้สึก เขาสามารถแยกแยะได้ทันใดว่าเซวียนเทียนกำลังกล่าวเสียดสี แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้เก็บเอามาคิดแม้แต่น้อย เพราะพวกเขาเพิ่งพบกันและนี่มันก็แค่ทักทายไปตามมารยาทเท่านั้น ดังนั้นมันจึงไม่สำคัญว่าคำกล่าวเหล่านี้จะมาจากใจจริงหรือไม่
“พี่เฉิน ให้ข้าแนะนำเขาให้ท่านรู้จัก” หวังเจิ้นเฟิงชี้ไปที่เซวียนเทียนที่อยู่เคียงข้าง “คนผู้นี้คือเซียวเซวียนเทียน อัจฉริยะรุ่นเยาว์ของตระกูลเซียวแห่งนครอสนีบาต! การบ่มเพาะของเซวียนเทียนนั้นไม่ธรรมดา แต่เขาก็เก็บตัวในขณะที่ทุ่มเทบ่มเพาะ และเขามักจะไปยังสถานที่อันตรายซึ่งมีเพียงไม่กี่คนที่กล้าย่างกรายเข้าไปเพื่อฝึกฝนตนเอง แต่เป็นเพราะการชุมนุมดาวรุ่ง ทำให้เขารีบกลับมาที่นครอสนีบาตในครั้งนี้”
เซียวเซวียนเทียน? เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่เคยได้ยินชื่อของคนผู้นี้เลย
“ตระกูลเซียวแห่งนครอสนีบาตนั้นเหมือนกับตระกูลโจวแห่งนครหลวงธารสายไหม มันเป็นตระกูลใหญ่ที่เก่าแก่มากและการสืบทอดของตระกูลสามารถสืบย้อนไปถึงยุคบรรพกาลได้ แม้ว่าเซียวเซวียนเทียนจะค่อนข้างเก็บตัว แต่เขาก็เป็นผู้นำในหมู่คนรุ่นเยาว์ของตระกูลเซียว และความแข็งแกร่งของเขาก็ถือว่าเพียงพอที่จะติดอันดับในหนึ่งร้อยอันดับแรกของการชุมนุมดาวรุ่งได้ แต่นี่เป็นเพียงการคาดการณ์เท่านั้น ท้ายที่สุดเขาก็เป็นคนที่เก็บตัวเป็นอย่างมากและไม่มีผู้ใดที่สามารถระบุความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาได้” น้ำเสียงที่ไพเราะดังขึ้นที่ข้างหู ทว่าเฉินซีไม่ต้องหันกลับไปมองก็รู้ว่านั่นคือย่าชิง ดังนั้นเขาจึงเข้าใจเกี่ยวกับเซียวเซวียนเทียนมากขึ้น
“พี่เฉินมาเถอะ ข้าจะแนะนำคนอื่นที่จะเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งในครั้งนี้ให้ท่านรู้จัก” หวังเจิ้นเฟิงชี้ไปที่ชายหนุ่มอีกคนที่อยู่อีกด้านหนึ่ง ชายหนุ่มผู้นี้สวมชุดคลุมสีเงิน หล่อเหลาหาที่เปรียบมิได้ และมีบุคลิกอย่างคนเจ้าสำอางเล็กน้อย “คนผู้นี้คือสวีชิงตง อัจฉริยะที่หาตัวจับยาก ไม่ต้องกล่าวถึงความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาของเขา ชิงตงยังเป็นนักปราชญ์ผู้อ่อนโยนที่มีชื่อเสียงในที่ราบตอนกลาง เขามีฝีมือในการดีดพิณ หมากล้อม และการวาดภาพ ทำให้ได้ใจหญิงสาวมานับไม่ถ้วน ฮ่า ๆ”
เฉินซีไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของคนผู้นี้เช่นเดียวกัน แต่โชคดีที่เขามีย่าชิงอยู่เคียงข้าง จึงทำให้ชายหนุ่มเข้าใจคนคนนี้ได้มากขึ้น คนผู้นี้เป็นคนเจ้าชู้โดยสันดานและเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเกี้ยวพาราสีสตรี อีกทั้งยังมีนิสัยเกเรและเจ้าสำอาง แม้ว่าความแข็งแกร่งของเขาจะด้อยกว่าเซียวเซวียนเทียนเล็กน้อย แต่ก็สามารถกล่าวได้ว่าเป็นยอดฝีมือในหมู่คนรุ่นเยาว์
“ยินดีที่ได้พบพี่เฉิน” สวีชิงตงชำเลืองมองไปยังเฉินซี ก่อนที่จะยิ้มอย่างมีเลศนัย
“พี่สวี” เฉินซีประสานมือทักทาย เขาค่อนข้างไม่ชอบสวีชิงตงเพราะอีกฝ่ายจงใจมองไปที่ย่าชิงและหญิงสาวคนอื่น ๆ ด้วยสายตากรุ้มกริ่ม!
“มาเถิด เราไปนั่งในห้องโถงกันเถอะ” หลังจากที่เขาแนะนำเซียวเซวียนเทียนและสวีชิงตงเสร็จแล้ว หวังเจิ้นเฟิงก็ไม่ได้กล่าวทักทายกันต่อ ก่อนจะนำกลุ่มของเฉินซีไปที่ห้องโถง จัดที่นั่งและสุราให้แก่พวกเขา จากนั้นเจ้าตัวก็กลับไปยังที่นั่งซึ่งอยู่ตรงกลาง
หลังจากนั้น อาหารเลิศรสถาดแล้วถาดเล่าและเหยือกสุราชั้นดีก็เหมือนกับสายน้ำที่ไหลผ่านตามโต๊ะต่าง ๆ นอกจากนั้น ยังมีนางรำงดงามที่มีรูปร่างสะโอดสะองและสวมเสื้อผ้าโปร่งบางหลายสิบคนกำลังร่ายรำท่ามกลางท่วงทำนองอันไพเราะ เสื้อผ้าไหมของพวกนางพลิ้วไหวไปมาขณะที่พวกนางร่ายรำด้วยความสง่างาม และทุกอิริยาบถที่พวกนางแสดงออกมานั้นเต็มไปด้วยความเย้ายวน ทำให้เรียกเสียงโห่ร้องด้วยความชอบใจจากพวกเขาได้ ทั้งยังส่งผลให้บรรยากาศดูคึกคักเป็นอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตามเฉินซีไม่ได้สนใจเรื่องนี้ทั้งหมด เขาสังเกตเห็นว่ามีผู้คนกว่ายี่สิบคนที่มีรูปร่างหน้าตายังเด็กนั่งตัวตรงอยู่ในห้องโถง พวกเขามีทั้งชายและหญิงในชุดที่สวยงาม อีกทั้งยังมีท่าทางที่สง่างามและทรงเกียรติ ชายหนุ่มสันนิษฐานว่าพวกเขาคงเป็นลูกหลานที่สืบเชื้อสายมาจากผู้สูงศักดิ์ของกองกำลังอันยิ่งใหญ่ต่าง ๆ ในนครอสนีบาต แต่หวังเจิ้นเฟิงไม่ได้แนะนำคนเหล่านี้ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถถามได้
ไม่ใช่แค่เฉินซี แม้แต่ย่าชิง อวิ๋นน่า และเหยียนเยียนก็ไม่ได้ใส่ใจคนอื่น ๆ ในห้องโถงเช่นกัน
ย่าชิงกับเหยียนเยียนไม่ได้พบกันมาหลายปี ดังนั้นในขณะนี้พวกนางจึงกำลังกระซิบกระซาบสนทนากันอย่างเงียบ ๆ และพวกนางมักจะปล่อยเสียงหัวเราะที่ชัดเจนและไพเราะออกมา ซึ่งรูปลักษณ์ของหญิงสาวทั้งสองนางจัดอยู่ในกลุ่มสาวงามที่สามารถนำหายนะมาสู่คนคนหนึ่งได้ และเมื่อพวกนางยิ้มอย่างอ่อนหวานในขณะนี้ มันก็ทำให้ผู้คนที่อยู่ใกล้เคียงหันกลับมามองพวกนางเป็นระยะ ๆ
แต่อวิ๋นน่าดูเหมือนจะน่าเอ็นดูกว่ามาก นางที่ดูร้อนแรงและเย้ายวนเป็นดั่งลูกแมวตัวเล็ก ๆ ที่นั่งอยู่ข้างกายเฉินซีอย่างเงียบงันในขณะนี้ นางมักจะช่วยเฉินซีรินสุราทุกครั้งที่แก้วของเขาว่างเปล่า และด้วยการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วสง่างาม มันก็ทำให้ผู้ที่มีสายตาเฉียบแหลมสามารถรับรู้ได้ด้วยการมองเพียงแวบเดียวว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางคอยปรนนิบัติเฉินซีเช่นนี้
หญิงงามสามคนเป็นดั่งภาพเขียนที่แตกต่างกันสามภาพและดึงดูดความสนใจจากสายตาจำนวนมากที่อยู่ในห้องโถง ในขณะที่เฉินซีซึ่งนั่งตรงกลางระหว่างหญิงสาวทั้งสามคนได้กลายเป็นเสี้ยนหนามตำตาทุกคน พวกเขาทั้งหมดไม่ต้องการสิ่งใดมากไปกว่าการกำจัดชายคนนี้ออกจากภาพเขียนที่งดงามนี้… มันก็เพราะเขาดูโดดเด่นเกินหน้าเกินตา ชายหนุ่มจึงเป็นที่ระคายตาของผู้คนนัก!!
“อึก!” สวีชิงตงซึ่งนั่งตรงข้ามกับเฉินซีดื่มสุราในถ้วยของเขาจนหมดในอึกเดียวและสายตาของเขาก็ไร้ความปรานี เขาคิดว่าตัวเองเป็นชายมากรักที่ดีที่สุดในโลก ดังนั้นเมื่อเห็นเฉินซีมีสาวงามรอบตัว แต่ตัวเองกลับโดดเดี่ยว เขาก็รู้สึกไม่พอใจ
‘ฮึ่ม! ผู้ที่ได้รับชัยชนะหนึ่งร้อยครั้งติดต่อกันในการชุมนุมธารทองจะน่าเกรงขามสักเพียงใด? ยอดฝีมือที่แท้จริงต่างรังเกียจที่จะเข้าร่วมการชุมนุมธารทอง อีกฝ่ายมันก็แค่ไอ้บ้านนอกจากแดนใต้! สายตาของหญิงงามเหล่านั้นช่างมืดบอดที่ไปตกหลุมรักคนผู้นั้น!’ สวีชิงตงดูถูกเฉินซีเป็นอย่างมาก
เขาท่องไปในโลกแห่งการบ่มเพาะของที่ราบตอนกลางเป็นเวลาหลายปี และชื่อเสียงของเขาก็ยิ่งใหญ่เลื่องลือยิ่งกว่าเฉินซี! ซึ่งครั้งนี้เขาตั้งใจเปิดเผยฝีมือในการชุมนุมดาวรุ่งให้โด่งดังไปทั่วหล้า!
เท่าที่เขาคิด เฉินซีเป็นเพียงคนที่ค่อนข้างโชคดีและในแง่ของชื่อเสียง การบ่มเพาะ รวมทั้งภูมิหลัง เฉินซียังห่างไกลที่จะเทียบเคียงเขาได้
แต่บังเอิญว่าคนเยี่ยงนี้มีสาวงามอยู่รอบตัว และสาวงามเหล่านั้นก็มีสีหน้าที่เต็มใจเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเขาจะไม่อิจฉาสิ่งนี้ได้อย่างไร?
‘ไม่แปลกใจที่นายน้อยจะทนสายตาของเขาไม่ได้ แม้แต่ข้าก็ยังไม่กล้าล่วงเกินสตรีอย่างแม่นางย่าชิง แล้วคนบ้านนอกจากดินแดนทางใต้อย่างเขาจะมีสิทธิ์ครอบครองนางได้อย่างไร?’ สวีชิงตงดื่มด้วยความสลดใจในขณะที่เขารออย่างเงียบ ๆ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เพลงก็จบลงและการร่ายรำก็หยุดไป เสียงเพลงที่ยังลอยล่องอยู่ในอากาศพลันม้วนตัวขึ้นและหายไป ส่วนนางรำผู้งดงามต่างก็ส่ายเอวที่เพรียวบางขณะออกไป ทำให้ห้องโถงมีช่วงเวลาที่เงียบสงบซึ่งหาได้ยาก
หวังเจิ้นเฟิงที่นั่งอยู่ตรงกลางมองไปที่เฉินซี เมื่อเขาเห็นเฉินซีถูกรายล้อมไปด้วยสาวงามสามนางราวกับหมู่ดาวที่รายล้อมดวงจันทร์ที่สว่างไสว เปลวไฟแห่งความอิจฉาที่สะสมอยู่ในใจของเขาก็พลันพวยพุ่งอยู่ในอก จากนั้นเจ้าตัวก็หัวเราะอย่างเย็นชาก่อนจะหันไปหาสวีชิงตงทันที
สวีชิงตงเข้าใจโดยปริยาย จริง ๆ แล้วเขาแทบไม่สามารถหักห้ามใจตัวเองได้อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงไอแห้ง ๆ ขัดจังหวะการสนทนาในห้องโถงและดึงสายตาของทุกคนมาที่ตัวเองทันที จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนว่า “ทุกท่าน การร่ายรำและการขับร้องเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม แต่ก็ไม่สามารถทำให้พวกเราเพลิดเพลินไปจนสุดหัวใจได้ ในความคิดของข้า ทำไมข้ากับสหายเต๋าเฉินซีถึงไม่ลองประลองและเติมเต็มความมีชีวิตชีวาให้แก่ทุกคนเล่า?”
“ใช่แล้ว! ข้าเคยได้ยินชื่อของเฉินซีมานานแล้วและคงไม่มีสิ่งใดดีไปกว่านี้ หากข้าสามารถเห็นความสามารถของเขาด้วยสองตาของข้าเอง!” ทุกคนในห้องโถงปรบมืออย่างกึกก้อง
หวังเจิ้นเฟิงและเซียวเซวียนเทียนมองหน้ากันและยิ้ม จากนั้นพวกเขาก็จ้องมองไปที่เฉินซี
เฉินซีกลับตกตะลึงแทน ‘เหตุใด จู่ ๆ ชายคนนี้ถึงอยากจะสู้กับข้า?’ สายตาของเฉินซีกวาดไปรอบ ๆ และเมื่อเขาเห็นหวังเจิ้นเฟิงนิ่งเงียบด้วยท่าทางต้องการรอดูว่าเกิดอะไรขึ้น เฉินซีก็เข้าใจในทันที ทุกอย่างอาจถูกวางแผนไว้โดยหวังเจิ้นเฟิง มิฉะนั้นด้วยฐานะของสวีชิงตง เขาจะไม่กล้าตัดสินใจโดยพลการในที่แห่งนี้แน่
“ข้าได้ยินมาว่าความแข็งแกร่งของสหายเต๋าเฉินซีนั้นไม่ธรรมดาและได้รับชัยชนะนับร้อยครั้งติดต่อกันในการชุมนุมธารทองของปีนี้ และท่านยังสามารถรอดชีวิตจากการลอบสังหารของตำหนักตะวันดำ ดังนั้นข้าจึงรู้สึกคันมือขึ้นมาและต้องการประลองกับสหายเต๋าเฉินซี” สวีชิงตงยืนขึ้น เสื้อผ้าของเขาปลิวไสว ในขณะที่ดวงตาเต็มไปด้วยจิตวิญญาณต่อสู้และกล่าวเสียงดังว่า “แน่นอน มันเป็นเพียงการประลองฉันสหายเท่านั้น เราจะหยุดก่อนที่จะทำร้ายกัน ถ้าท่านรู้สึกว่าตัวท่านไม่ใช่คู่มือของข้า ท่านก็ยอมรับความพ่ายแพ้ไปซะ เพื่อหลีกเลี่ยงการทำลายความสัมพันธ์ที่เป็นมิตรระหว่างเรา สหายเต๋าเฉินซี ท่านคิดเห็นอย่างไรบ้าง”
ในขณะเดียวกัน สายตาของทุกคนในห้องโถงก็จับจ้องไปที่เฉินซี เนื่องจากพวกเขาต้องการดูว่าชายหนุ่มจะตอบกลับสิ่งนี้อย่างไร
ย่าชิงและอวิ๋นน่ารู้สึกไม่พอใจเมื่อได้ยินคำท้าทายนั้น ชายคนนี้ไม่ได้คิดประลองกับคนอื่น แต่เลือกเฉินซีเป็นคู่ต่อสู้ของเขา เห็นได้ชัดว่ามีการวางแผนไว้นานแล้ว และพวกเขาต้องการให้เฉินซีอับอายต่อหน้าทุกคน
มีเพียงเหยียนเยียนเท่านั้นที่ดูตื่นเต้น ตลอดเวลาที่ผ่านมา นางได้ยินย่าชิงกล่าวถึงความพิเศษของเฉินซี แต่ท้ายที่สุดนางก็ไม่เคยเห็นมันด้วยตาของตนเอง และในขณะนี้ นางสบกับโอกาสเช่นนั้นแล้ว ดังนั้นนางจึงต้องการเห็นว่าความแข็งแกร่งของเฉินซีนั้นน่าเกรงขามเพียงใด
“ไม่จำเป็น” เฉินซีส่ายศีรษะและปฏิเสธอย่างเฉียบขาด
สวีชิงตงตกตะลึงเพราะเขาไม่เคยคาดคิดว่าเฉินซีจะปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาเชื่อในทันทีว่าชายคนนี้อาจดูน่าประทับใจเพียงภายนอก แต่ภายในกลับไร้ประโยชน์ สวีชิงตงรู้สึกว่าเฉินซีรู้ตัวว่าไม่มีพลังหรือความมั่นใจที่จะเอาชนะตนได้ ดังนั้นเพื่อเป็นการรักษาหน้าภายใต้การจ้องมองของทุกคนที่อยู่ตรงนั้น เฉินซีจึงปฏิเสธการท้าประลองของเขา
“มันเป็นเพียงการประลองเท่านั้น สหายเต๋าเฉินซี ท่านคงไม่บั่นทอนอารมณ์ของทุกคนด้วยการกระทำเช่นนี้หรอกกระมัง?” สวีชิงตงขมวดคิ้ว “ท่านสามารถรอดชีวิตจากการลอบสังหารของตำหนักตะวันดำได้ แต่ท่านไม่มีความกล้าแม้แต่จะต่อสู้กับข้าหรือ?”
เฉินซีดื่มสุราคนเดียวก่อนจะยิ้มอย่างเฉยเมย “ขอโทษ ข้ารู้แค่วิธีการต่อสู้ แต่ไม่รู้วิธีแสดง หากสหายเต๋าสวีต้องการต่อสู้กับข้า มันก็คงไม่สายที่เราจะต่อสู้ในระหว่างการชุมนุมดาวรุ่ง”
สวีชิงตงรู้สึกเยาะเย้ยในใจ ‘ชายคนนี้ทำตัวเหมือนยอดฝีมือจริง ๆ แต่ครั้งนี้ข้าต้องทำให้เขาอับอายต่อหน้าทุกคนให้ได้!’
สวีชิงตงเพียงหัวเราะเบา ๆ จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างไม่เร่งรีบด้วยทางที่ดูถูกเหยียดหยามว่า “หรือว่าสหายเต๋าเฉินซีกลัว? ข้าถือว่านี่เป็นการยอมรับความพ่ายแพ้ของท่านได้หรือไม่?”
เฉินซีขมวดคิ้วแน่น ‘เหตุใดชายคนนี้ถึงดื้อรั้นและเอาแต่ใจ? หรือว่าเขาเกิดมาพร้อมกับความปรารถนาที่อยากจะตาย?’