บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 357 ไม่อาจใช้เหตุผลได้

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 357 ไม่อาจใช้เหตุผลได้

บทที่ 357 ไม่อาจใช้เหตุผลได้

ทุกคนในห้องต่างพากันตกใจ

การเคลื่อนไหวของเฉินซีครั้งนี้ธรรมดามาก แต่เป็นการเคลื่อนไหวที่ทำให้เซียวเซวียนเทียนได้ลิ้มรสยาขมของตนเอง ซึ่งการที่ชายหนุ่มสามารถทำเช่นนี้ยามต่อสู้ได้นับว่าน่าตกใจนัก

…เหนือสิ่งอื่นใด เซียวเซวียนเทียนได้โจมตีใส่เขาแบบฉับพลันก่อนหน้านี้ ในขณะที่เฉินซีกำลังต่อสู้กับเซียวเซวียนเทียนตรง ๆ ดังนั้นจึงสามารถรู้ว่าใครเหนือกว่าได้ทันที

เซียวเซวียนเทียนที่เป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง ความรู้สึกของเขาจึงย่อมต่างจากคนอื่น เฉินซีดูเหมือนจะไม่แยแสสิ่งใดและดูสันโดษ ทว่าเมื่อเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ความแข็งแกร่งที่เผยออกมาก็ทำให้เสวียนเทียนตกตะลึง

ยิ่งเมื่อถูกเฉินซีจับตัวในครั้งนี้ เขาก็รู้สึกราวกับว่ารอบกายเกิดพายุโหมกระหน่ำและมีสายฟ้าสว่างวาบ ท่าคว้าที่เรียบง่ายนี้ราวกับมีเต๋ารู้แจ้งจำนวนมากแฝงเอาไว้ และมันสามารถปิดสวรรค์และโลก พลิกความเป็นไปของสวรรค์ ทำให้เขารู้สึกว่าไม่อาจต้านทานได้

ครืน!

เซียวเซวียนเทียนหลบไม่ทัน ทันใดนั้นแสงสีทองพร่างพราวก็ลุกโชนไปทั่วร่าง อักขระยันต์ไหลเวียนอยู่ภายใน จากนั้นมันก็ควบแน่นเป็นชุดเกราะป้องกันร่างของเขาไว้

มันคือเกราะระดับปฐพีขั้นสุดยอด

ดวงตาของเฉินซีส่องประกาย เขาแบมือออก จากนั้นก็ตบลงไปด้วยความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นหลายเท่า

ตู้ม!

แสงจ้าและพลังผันผวนพลันระเบิดออกไปทุกทิศ

เซียวเซวียนเทียนเซกลับไปสองสามก้าวและรู้สึกตกตะลึงอีกครั้ง ชุดเกราะที่เขาสวมนั้นมีค่ายิ่ง ทั้งยังได้รับการขัดเกลาโดยผู้มากฝีมือ มันมีค่ายกลยันต์อักขระอยู่แปดสิบเอ็ดชั้น และสามารถลบล้างพลังโจมตีเจ็ดในสิบส่วนของศัตรูที่มีพลังบ่มเพาะเท่ากันกับผู้ใช้ ทำให้ความสามารถในการป้องกันของมันค่อนข้างน่าตกใจทีเดียว

แต่แม้ว่าความแข็งแกร่งกว่าครึ่งของการโจมตีจากเฉินซีจะถูกลบล้าง ทว่าความแข็งแกร่งที่เหลือยังคงสั่นสะเทือนเขาได้จนถึงจุดที่พลังชีวิตและเลือดลมปั่นป่วน กลิ่นอายทั่วร่างราวกับจะสลาย ‘ฝ่ามือนี้มันมีความแข็งแกร่งน่ากลัวเท่าใดกัน? หากข้าไม่มีชุดเกราะนี่ป้องกันตัว เกรงว่ากระดูกไหล่คงแหลกไปแล้วกระมัง?’

แต่เขาไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้ระหว่างต่อสู้ เซียวเซวียนเทียนก้าวไปข้างหน้าขณะที่เปลวไฟไหลไปทั่วร่าง ทำให้เขาเป็นเหมือนเซียนที่มีร่างเพลิง จากนั้นเขาก็ยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นฟ้า อีกข้างแตะพื้น เกิดภาพซ้อนทับกัน ก่อนที่มันจะก่อตัวเป็นภาพฝ่ามือมากมายปรากฏขึ้น

“ฟ้าดินไม่จีรัง เปลวเพลิงโหมกระหน่ำ หลอมละลายสวรรค์และโลก ลุกโชติช่วงไปทั้งใต้หล้า!” ในขณะนี้ผมของเซียวเซวียนเทียนพลิ้วไหว คลื่นเปลวเพลิงได้พุ่งออกมาพร้อมกับมือที่ยกขึ้น จากนั้นภาพฝ่ามือมากมายก็กลายเป็นมังกรเพลิงจำนวนมากส่งเสียงคำรามอยู่บนฟ้าและพุ่งเข้าใส่เฉินซี

‘เจ้าหมอนี่ยังไม่ยอมหมดหวัง…’ เฉินซีถอนหายใจ หากเขาใช้ยันต์ศัสตราก่อนหน้านี้ การโจมตีเพียงครั้งก็มากพอจะทำให้เกราะของเซียวเซวียนเทียนแหลกสลายและร่างแยกเป็นสองส่วนได้แล้ว น่าเสียดายที่อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่เห็นค่าความเมตตานั้นและยังคงดื้อดึงต่อไปอย่างไร้เหตุผล

น่าเสียดายที่นี่เป็นเพียงการประลอง ไม่ใช่การต่อสู้ชี้เป็นตาย ดังนั้นจึงไม่อาจตัดสินแพ้ชนะด้วยความเป็นความตายได้

ตอนนี้เฉินซีไม่มีเวลาคิดอีก จากนั้นเขาใช้ดัชนีสร้างกระบี่ขึ้นมา ก่อนที่พายุจะบังเกิด น้ำและไฟกระจายออกเป็นวงคลื่น เต๋ารู้แจ้งแห่งสายฟ้า ลม ไฟ และน้ำพุ่งออกมา ทำให้ปราณแท้ของเขาบางครั้งดูเหมือนจะลุกเป็นไฟ หากแต่บางคราก็ดูเหมือนธารน้ำไหลเวียนอย่างไร้ที่สิ้นสุด ทั้งหมดนี้รวมตัวกันอยู่บนปลายนิ้วของเขา

เฉินซีซัดการโจมตีออกไปก่อน ตัวคนพุ่งไปข้างหน้าราวกับสายฟ้า ทำให้เกิดภาพไล่หลังขึ้นและเข้าปะทะกับเซียวเซวียนเทียน

ในฐานะศิษย์สายหลักที่ได้รับการอุปถัมภ์ของตระกูลเซียว ความแข็งแกร่งที่เขาปกปิดไว้ก็โดดเด่นมากเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับเฉินซีแล้วยังด้อยกว่ามาก

มีหลายครั้งที่เฉินซีเผยความเมตตาที่จะไม่เอาชีวิตเขา แต่เซียวเซวียนเทียนกลับไม่เห็นค่ามันและยังคงดื้อด้านมุ่งหน้าต่อ ความสง่างามที่เคยมีพลันเสื่อมสลาย ทำให้เฉินซีถึงกับขมวดคิ้วและไม่คิดจะยั้งมืออีกต่อไป จึงทำให้การเคลื่อนไหวถัดมาดุดันและรวดเร็วขึ้น

ในเมื่อเขาไม่อาจสังหารอีกฝ่ายได้ เช่นนั้นก็ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บแล้วกัน!

ชั่วพริบตาเดียว ทั้งสองก็แลกการโจมตีกันไปไม่น้อยกว่าสองสามร้อยกระบวนท่า ร่างทั้งสองเข้าปะทะกันด้วยความเร็วดั่งสายฟ้า ทุกคนตื่นตะลึงกับภาพตรงหน้า จากนั้นร่างพวกเขาก็แยกออกจากกันทันที

เฉินซีดูสงบเงียบและไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย ในขณะที่ผมของเซียวเซวียนเทียนยุ่งเหยิง เสื้อผ้าขาดวิ่น และมีคราบเลือดหลายจุดบนผิวกาย สภาพของเขาดูน่าเวทนานัก

ทั้งหมดเป็นเพราะเฉินซียอมเมตตาให้ ไม่เช่นนั้น หากเขาเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นอีกเพียงเล็กน้อย คราบเลือดเหล่านั้นจะกลายเป็นบาดแผลหนักที่เซียวเซวียนเทียนไม่อาจรักษาได้

ทุกคนตกตะลึงกับภาพนี้และต่างพูดอะไรไม่ออก

แม้จะพอคาดเดาได้ก่อนหน้านี้แล้วว่าเฉินซีแข็งแกร่งยิ่ง แต่เมื่อได้เห็นเซียวเซวียนเทียนผู้เป็นอัจฉริยะหาใครเทียบได้ของตระกูลเซียว ตกอยู่ในสภาพที่น่าสังเวชด้วยน้ำมือเฉินซีก็ทำเอาชาไปทั่วหนังศีรษะ

‘คนผู้นี้น่าเกรงขามมากจริง ๆ’ …ตอนนี้เหยียนเยียนรู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของเฉินซีแล้ว นางตกใจจนไม่อาจอธิบายได้

หวังเจิ้นเฟิงก็ตกตะลึงเช่นกัน ฝีมือเขาเทียบเท่ากับเซียวเซวียนเทียน และเพราะเช่นนั้นจึงทำให้พวกเขาอยู่ในระดับเดียวกัน

สิ่งที่ทำให้เขาตกใจคือเฉินซีสามารถเอาชนะเซียวเซวียนเทียนได้อย่างง่ายดาย เช่นนั้นจะไม่ได้หมายความว่าเฉินซีจะสามารถเอาชนะเขาได้อย่างง่ายดายเช่นกันหรือ?

เขาไม่อาจยอมรับความจริงนี้ได้อยู่บ้าง ในฐานะนายน้อยแห่งจวนจ้าวอัสนี เขาจึงได้รับมรดกล้นฟ้าตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่ได้ขาดเงินทอง สหาย วิชา หรือเคหาใด ยิ่งไปกว่านั้นทุกสิ่งที่เขามีในครอบครองล้วนเป็นของระดับสูง

เดิมทีเขาคิดว่าหากอาศัยความแข็งแกร่งของตนก็คงพอจะมีชื่อเสียงในการชุมนุมดาวรุ่งได้บ้าง ทว่าการปรากฏตัวของเฉินซีทำให้เขาตระหนักได้ทันทีว่าตนอาจประเมินอัจฉริยะแห่งดินแดนทางใต้ผู้นี้ต่ำเกินไป!

“ข้ายังไม่แพ้ ลงมือต่อเลย!” ทันใดนั้น เสียงร้องด้วยความโกรธก็ดังก้องไปทั่วห้องโถง ปลุกผู้คนที่ยังตกอยู่ในความตะลึงให้ตื่นขึ้น

เซียวเซวียนเทียนที่เต็มไปด้วยคราบเลือดและผมเผ้ายุ่งเหยิงซัดพลังออกมาอีกครั้งโดยไม่สนสิ่งใด ลมปราณบ้าคลั่งถูกแผ่ออกมาเป็นครั้งที่สอง

เห็นได้ชัดว่าเขาได้กระตุ้นจิตสังหารออกมาแล้ว มันไม่ใช่เพียงการซ้อมกันอย่างที่พูดไว้ก่อนหน้านี้อีกแล้ว

“พอแล้ว!” ก่อนเฉินซีจะทันลงมือ หวังเจิ้นเฟิงก็ตะโกนลั่น แล้วเขาก็พุ่งเข้ามาขวางหน้าเซียวเซวียนเทียน จากนั้นจึงได้ตวาดออกมาด้วยน้ำเสียงน่ากลัวว่า “มันเป็นเพียงการฝึกซ้อมเท่านั้น แพ้ก็คือแพ้ หรือเจ้าคิดจะยอมตาย?”

“แม้แต่เจ้าก็ไม่คิดว่าข้าเป็นคู่ต่อสู้ของเขาหรือ?” เซียวเซวียนเทียนหัวเราะด้วยเสียงขื่นขม ดูท่าการพ่ายแพ้ให้กับเฉินซีในครั้งนี้จะทำลายศักดิ์ศรีของเขาอย่างหนัก

เฉินซีได้แต่ส่ายหน้าเมื่อเห็นภาพเช่นนี้ คนผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นคนง่าย ๆ และมีบุคลิกสง่างาม แต่ในความเป็นจริงแล้ว อีกฝ่ายค่อนข้างใจแคบและมีอารมณ์อ่อนไหวที่ไม่สามารถยอมรับความพ่ายแพ้ได้ เช่นนี้ก็ลิขิตไว้แล้วว่าเขาไม่อาจเดินทางบนเส้นทางการบ่มเพาะได้ไกลนัก

“เอาล่ะ เจ้าใจเย็นลงก่อนเถอะ” หวังเจิ้นเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ ท่าทีที่เซียวเซวียนเทียนเผยออกมาในตอนนี้ทำให้เขาขมวดคิ้วมุ่น แต่ในฐานะสหาย เขาไม่อาจเอ่ยอะไรต่อไปได้อีกและหวังเพียงว่าหลังจากได้พักแล้ว เซียวเซวียนเทียนจะสามารถฟื้นสติกลับขึ้นมาได้

เฉินซีเองก็ไม่ได้คิดรั้งอยู่อีก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในระหว่างงานเลี้ยงนี้ทำให้เขารู้สึกรังเกียจ ดังนั้นเขาจึงควรออกจากสถานที่เจ้าปัญหานี้โดยเร็วที่สุดน่าจะดีกว่า

หวังเจิ้นเฟิงย่อมไม่กล่อมให้เฉินซีอยู่ต่อ งานเลี้ยงที่เขาจัดขึ้นในครั้งนี้อาจกล่าวได้ว่าไม่ประสบความสำเร็จเลย เดิมทีเขาตั้งใจจะปรามเฉินซี แต่ตอนนี้ดูท่าจะเป็นไปไม่ได้แล้ว ดังนั้นการจะเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายอยู่ต่อย่อมไร้ประโยชน์

ทันทีที่เฉินซีจากไป ย่าชิง อวิ๋นน่า และเหยียนเยียนเองก็ไม่รั้งอยู่ต่อ พวกนางพากันเดินตามเขาออกไปทีละคนราวกับเหล่าดาราล้อมจันทร์ส่องสว่าง ทำเอาทุกคนในห้องโถงถึงกับถอนหายใจออกมา

สุดท้าย… งานเลี้ยงที่รวมอัจฉริยะรุ่นเยาว์ทั้งหมดของนครอสนีบาต และจัดขึ้นในโถงรับรองของจวนจ้าวอัสนีก็จบลงเช่นนี้

ทุกคนที่เข้ามาร่วมงานรู้ดีว่าพรุ่งนี้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นย่อมแพร่กระจายไปทั่วนครอสนีบาต ในขณะที่ชื่อของเฉินซีอาจกลายเป็นที่รู้จักในหมู่ผู้บ่มเพาะแห่งนครอสนีบาตในชั่วข้ามคืน

ไม่มีใครหยุดเรื่องนี้ได้ แม้กระทั่งหวังเจิ้นเฟิงเองก็ไม่อาจปิดข่าวได้ เว้นเสียแต่จะใช้ความตายปิดปากทุกคนที่อยู่ในโถงรับรองแห่งนี้เสีย แต่มันจะเป็นไปได้หรือ?

หลังจากที่กลุ่มของเฉินซีจากไปไม่นาน ชายวัยกลางคน ชายชรา และสตรีผู้งดงามนางหนึ่งก็นั่งหลังตรงอยู่ภายในห้องโถงใหญ่อันเก่าแก่ของจวนจ้าวอัสนี

ชายวัยกลางคนผู้นั้นดูน่าประทับใจและสง่างาม เขามีร่างกายสูงใหญ่ มีเคราและผมสีดำ ทั่วร่างราวกับมีสายฟ้าปกคลุม ขณะปลดปล่อยลมปราณมหาศาลที่ทำให้อากาศแตกสลายและท้องฟ้าเกิดความโกลาหลขึ้นมา

ขณะที่ชายชรานั้นมีท่าทางดูใจดีมีเมตตา ด้านหลังคือภาพตะวันสีดำที่มีขนาดยักษ์ลอยเด่นอยู่ มันดูเหมือนประตูสู่นรก ขณะที่ปลดปล่อยลมปราณที่ทำให้ใจสั่นระรัว

ส่วนหญิงสาวผู้งดงามมีดวงตาฉ่ำน้ำผู้นี้ก็มีรูปร่างเย้าเสน่ห์ ผิวกายเรียบเนียนขาวดั่งหิมะ ผมสีดำที่สยายลงมาเหมือนน้ำตก และรูปลักษณ์สง่างามดูพริ้มพรายทำให้นางดูมีเสน่ห์นัก นางนั่งตัวตรงอยู่ด้านข้าง ปราณอันทรงพลังที่นางปล่อยออกมาไม่ได้ด้อยไปกว่าอีกสองคนเลยแม้แต่น้อย

น่าตกใจนักที่บุคคลทั้งสามคือ… เจ้าแห่งนครอสนีบาต นายท่านแห่งจ้าวอัสนี! ผู้นำคนที่เจ็ดของตำหนักตะวันดำ ชุยซาน! และท่านหญิงสุ่ยฮวาแห่งหอขุมทรัพย์สวรรค์ผู้มีภูมิหลังลึกลับ!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท