บทที่ 359 ชาติกำเนิดของอวิ๋นน่า
บทที่ 359 ชาติกำเนิดของอวิ๋นน่า
กลางดึก ณ นครอสนีบาต ในหอขุมทรัพย์สวรรค์
หลังจากที่พวกเขาออกจากจวนจ้าวอัสนีแล้ว เฉินซีพร้อมด้วยเหยียนเยียนและอวิ๋นน่าได้ติดตามย่าชิงไปที่หอขุมทรัพย์สวรรค์เพื่อพักผ่อน
เหยียนเยียนเป็นบุตรสาวของนายหน้ารายใหญ่เหยียนเฉิง ดังนั้นการกลับไปที่หอขุมทรัพย์สวรรค์จึงเท่ากับการได้กลับบ้านอีกครั้ง ทว่ามันก็ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดเนื่องจากอวิ๋นน่าได้ติดตามพวกเขาไปที่หอขุมทรัพย์สวรรค์เช่นกัน
เท่าที่เฉินซีทราบมา อวิ๋นน่ามาจากตระกูลอวิ๋นซึ่งเป็นตระกูลเล็ก ๆ ธรรมดา ๆ ในนครอสนีบาต ดังนั้นการกระทำของนางที่ไม่ยอมกลับไปที่ตระกูลของตนเองในกลางดึก แต่เลือกติดตามเขาไปที่หอขุมทรัพย์สวรรค์แทน ทำให้เฉินซีเห็นความผิดปกติบางอย่างได้ราง ๆ แต่เขาก็ไม่ได้เปิดเผยให้รู้
ส่วนย่าชิงกับเหยียนเยียนจะไม่กล่าวอะไรออกมาเหมือนตามปกติ พวกนางได้ตระเตรียมห้องรับรองพิเศษเอาไว้ให้เฉินซีและอวิ๋นน่าสองห้องก่อนที่จะจากไป
เป็นเวลากลางดึกมากแล้ว และเขาเพิ่งจะเข้าร่วมในงานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ทำให้เฉินซีรู้สึกอ่อนเพลียเล็กน้อยเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงรีบอาบน้ำร้อนและตั้งใจจะพักผ่อน ทว่าเขากลับมีแขกที่ไม่คาดคิดมาเยือนเสียก่อน
ซึ่งก็คือท่านหญิงสุ่ยฮวา
เฉินซีไม่รู้สึกแปลกใจเลยเมื่อเขาเห็นสตรีที่บริสุทธิ์และมีเสน่ห์ที่สามารถพลิกโลกคนนี้มาเยี่ยมเขาในเวลากลางดึก เมื่อตอนที่อยู่ในหอขุมทรัพย์สวรรค์ของเมืองทะเลหมอก เฉินซีรู้ว่าตนจะได้พบกับท่านหญิงสุ่ยฮวาก่อนการชุมนุมดาวรุ่งอย่างแน่นอน มันเป็นแค่เรื่องของเวลาเท่านั้น
ถ้าเขาไตร่ตรองให้ดีแล้ว หญิงสาวมากสเน่ห์คนนี้ได้ช่วยเหลือเขานับครั้งไม่ถ้วนจริง ๆ ทั้งกระบี่ระดับล้ำลึกขั้นสุดยอดสิบเล่มที่นางมอบให้เขาที่เมืองทะเลหมอก การจัดแจงของนางที่มอบหมายให้ย่าชิงช่วยตนจัดการกับปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ในเมืองเฟิงเย่ หรือแม้แต่ตราคำสั่งสมบัติสวรรค์ทองคำม่วงที่เขาครอบครองอยู่ ท่านหญิงสุ่ยฮวาก็เป็นคนมอบให้เขาเช่นกัน
แม้ว่าความช่วยเหลือทั้งหมดนี้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่หนี้บุญคุณที่สะสมไว้ก็มีมากมาย ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปฏิบัติต่อมันอย่างจริงจัง และเฉินซีเองก็ไม่กล้าลืมมันเช่นกัน แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเหตุผลที่ท่านหญิงสุ่ยฮวาเข้าหาตนนั้นเป็นเพราะนางมีบางอย่างที่จะขอร้องเขา แต่เขาก็ไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่นางไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้าย เขาก็รู้สึกว่าไม่เป็นไร
หลังจากที่ท่านหญิงสุ่ยฮวามาเยือนในครั้งนี้ นางได้พูดคุยกับเฉินซีไม่นานนัก ราวกับนางไม่ได้มีจุดประสงค์แอบแฝงและมาเพียงเพื่อพูดคุยเท่านั้น และหลังจากนั้นไม่นานนางก็ได้จากไป
ทิ้งไว้เพียงสายลมอันหอมหวนปลิวว่อนอยู่ในอากาศ แต่ความงามได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
เฉินซีนั่งไขว่ห้างอยู่บนเตียงและครุ่นคิดเป็นเวลานาน
แม้ว่าท่านหญิงสุ่ยฮวาจะไม่ได้กล่าวถึงจุดประสงค์ที่นางมาเยือนในครั้งนี้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาที่จะสังเกตเห็นผ่านบทสนทนาระหว่างพวกเขา นางมักจะเข้าหาเขาด้วยการกระทำที่ไร้เสียงและคอยช่วยเหลือโดยไม่มีความตั้งใจที่จะให้เขามาอยู่ใต้อาณัติของนาง
ดูเหมือนว่าตั้งแต่ต้นจนจบ นางเพียงต้องการแสดงความปรารถนาดีต่อเขาและมันก็เป็นเพียงแค่นั้น
“ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ยังต้องเป็นหนี้บุญคุณนางอยู่ดี บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่นางต้องการ?” เฉินซีส่ายศีรษะและไม่ได้คิดอะไรต่อไปอีก
ในตอนเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น เฉินซีตื่นขึ้นมาและล้างตัวก่อนออกจากห้องของเขา
เมื่อเขากลับมาที่หอขุมทรัพย์สวรรค์ เขาได้บอกย่าชิงไว้ตั้งแต่เมื่อคืนวานว่าวันนี้ตนจะออกเดินทางไปยังนครหลวงธารสายไหม เพราะการชุมนุมดาวรุ่งจะเริ่มขึ้นในอีกหนึ่งเดือน และเป็นการดีที่จะรีบเดินทางให้เร็วที่สุด
เขาเพิ่งก้าวเดินออกจากห้อง แต่ก็เห็นย่าชิง อวิ๋นน่า และเหยียนเยียนรออยู่ตรงนั้นแล้ว
การชุมนุมดาวรุ่งในครั้งนี้ได้รวบรวมยอดฝีมือรุ่นเยาว์ในโลกแห่งการบ่มเพาะทั้งหมดของราชวงศ์ซ่งและอาจกล่าวได้ว่ายิ่งใหญ่อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เพราะมันเป็นการรวบรวมยอดฝีมือที่มีจำนวนมากมายราวกับหมู่เมฆ งานที่ยิ่งใหญ่นี้ไม่เพียงแต่มีผู้เข้าร่วมจำนวนมากเท่านั้น ยังมีผู้คนนับไม่ถ้วนที่เดินทางมาจากที่ห่างไกลเพื่อต้องการรับชมฝีมือของยอดฝีมือรุนเยาว์ที่นครหลวงธารสายไหม ดังนั้นหญิงสาวทั้งสามนางย่อมไม่พลาดงานยิ่งใหญ่นี้แน่นอน
แต่ก่อนที่พวกเขาจะจากไป ย่าชิงได้เรียกเฉินซีไปที่ด้านข้างแทนและกล่าวผ่านกระแสปราณว่า “อวิ๋นน่าตั้งใจที่จะกลับไปยังตระกูลของนางเพื่อไปเอาเถ้ากระดูกของแม่ ก่อนที่จะออกจากนครอสนีบาต ดังนั้นนางจึงไม่ได้ตั้งใจไปกับเรา”
เฉินซีตกตะลึง จากนั้นเขาก็ยิ้มและกล่าวว่า “ก็แค่การไปเอาเถ้ากระดูกเท่านั้น มันคงไม่เสียเวลามากหรอก ดังนั้นเราจะออกเดินทางหลังจากเราไปที่ตระกูลของนางแล้ว”
ย่าชิงถอนหายใจ “ข้าก็คิดเช่นนั้น แต่สถานการณ์ของอวิ๋นน่านั้นพิเศษเล็กน้อย”
“เกิดอะไรขึ้นหรือ?” คิ้วของเฉินซีเลิกขึ้นขณะที่เขามองไปทางอวิ๋นน่าที่อยู่ห่างออกไป และเมื่อเห็นท่าทางเหม่อลอยที่ผิดปกติของนาง เขาก็คาดเดาได้ราง ๆ ว่านี่อาจเกี่ยวข้องกับเรื่องภายในตระกูลของนาง
แน่นอนว่าสิ่งที่ย่าชิงกล่าวต่อไปนี้ได้พิสูจน์การคาดเดาของเฉินซี
ปรากฏว่าสถานะของอวิ๋นน่าในตระกูลอวิ๋นนั้นค่อนข้างต่ำต้อย มารดาของนางเป็นเพียงสาวใช้ที่อยู่เคียงข้างอวิ๋นชูเฟิง ผู้นำคนปัจจุบันของตระกูลอวิ๋น และวันหนึ่งเมื่ออวิ๋นชูเฟิงเมามาย สัตว์ร้ายในตัวเขาก็ได้ปรากฏตัวขึ้น เขาได้ขืนใจมารดาของอวิ๋นน่าอย่างเอาเป็นเอาตาย อวิ๋นน่าจึงได้กำเนิดมาเช่นนี้
และหลังจากที่อวิ๋นน่าเกิดได้ไม่นาน แม่ของนางก็จากไปด้วยอาการป่วย ในขณะที่อวิ๋นชูเฟิงมีนางสนมนับไม่ถ้วนและมีบุตรอยู่เต็มบ้าน แล้วเขาจะสนใจอวิ๋นน่าที่เป็นบุตรสาวที่เกิดจากอุบัติเหตุครั้งนั้นได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่เพราะอวิ๋นน่าเป็นเลือดเนื้อของตัวเอง เขาก็แทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเขามีบุตรสาวคนนี้ด้วย
กอปรกับแม่ของอวิ๋นน่าเป็นเพียงสาวใช้ นางจึงต้องทนกับการถูกปฏิเสธจากลูกหลานของตระกูลอวิ๋นและถูกเยาะเย้ยว่าเป็นคนนอกคอก แม้แต่สาวใช้และข้าทาสก็ยังดูถูกนาง อีกทั้งยังไม่ได้ถือว่านางเป็นบุตรสาวของผู้นำตระกูล
เห็นได้ชัดว่าชาติกำเนิดของอวิ๋นน่านั้นน่าสังเวชเพียงใด
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเมื่อเขารู้เรื่องทั้งหมดนี้ และเขาก็รู้สึกสงสารอวิ๋นน่ามากขึ้น นางสามารถเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย อีกทั้งยังมีชีวิตที่มั่นคงและเป็นอิสระได้จนถึงปัจจุบัน ชีวิตของอวิ๋นน่านั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ
เขาตัดสินใจทันทีว่าเขาจะไปที่ตระกูลอวิ๋นกับอวิ๋นน่า
หลังจากที่พวกนางทราบถึงการตัดสินใจของเฉินซี ทั้งย่าชิงและเหยียนเยียนก็เห็นชอบเช่นกัน ในขณะที่อวิ๋นน่าเต็มไปด้วยรู้สึกยินดีที่คาดไม่ถึง และแม้แต่สายตาที่นางมองไปยังเฉินซีก็เปลี่ยนไป มันเป็นการจ้องมองด้วยความซาบซึ้งที่มอบความสุขอย่างสุดจะพรรณนา
กลุ่มของพวกเขาออกจากหอขุมทรัพย์สวรรค์ทันที แต่เมื่อพวกเขาเพิ่งเดินออกมา ก็เห็นหวังเจิ้นเฟิงซึ่งสวมชุดคลุมงดงามรออยู่ที่นั่นนานแล้ว
“เหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่?” คิ้วที่สวยงามของย่าชิงขมวดเข้าหากันด้วยความรู้สึกเกลียดชัง ‘คนผู้นี้กวนใจข้ามาหลายวันแล้ว และเขายังสั่งให้คนอื่นคอยสร้างปัญหาให้กับเฉินซีในระหว่างงานเลี้ยงเมื่อวานนี้ ตอนนี้เขายังมีหน้าโผล่มาให้เห็นอีกหรือ? ข้าสงสัยจริง ๆ ว่าใบหน้าของเขานั้นหนาแค่ไหน?’
“ข้ามาเพื่อขอโทษพี่เฉิน” หวังเจิ้นเฟิงยิ้มอย่างเขินอาย จากนั้นเขาก็เดินไปข้างหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและกล่าวว่า “ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้เป็นความผิดพลาดของข้า ข้าหวังว่าพี่เฉินจะไม่เก็บมาใส่ใจ”
เฉินซีอดคิดไม่ได้ว่าทำไมทัศนคติของคนผู้นี้ถึงเปลี่ยนไปอย่างมาก แล้วเขาก็ส่ายศีรษะ “เรื่องที่ผ่านไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงหรอกพี่หวัง”
ทันทีที่เขากล่าวจบ เขาก็พาอวิ๋นน่ามุ่งหน้าไปยังตระกูลอวิ๋น เพราะเขาไม่ต้องการอยู่ร่วมกับชายที่คอยสร้างปัญหาคนนี้
ย่าชิงกับเหยียนเยียนก็ไม่ได้สนใจหวังเจิ้นเฟิงอีกต่อไปเมื่อพวกนางเห็นสิ่งนี้ จากนั้นพวกนางก็ติดตามเฉินซีไปอย่างใกล้ชิด
แต่เฉินซียังคงประเมินความหนาบนใบหน้าของหวังเจิ้นเฟิงต่ำไป หลังจากที่เขาถูกเฉินซีเพิกเฉย ไม่เพียงแต่หวังเจิ้นเฟิงจะไม่โกรธเกรี้ยว แต่เขายังแสดงสีหน้าที่ไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อยและท่าทีของเขาก็ดีขึ้นอย่างผิดปกติ ในขณะที่ไล่ตามพวกเฉินซีอีกครั้งและกล่าวว่า “พวกเจ้ากำลังจะไปที่ใดกันหรือ? ข้าจะไปกับพวกเจ้าด้วยเพราะไม่มีที่ไหนในนครอสนีบาตที่ข้าไม่รู้จัก”
เฉินซีเม้มริมฝีปากและนิ่งเงียบ
ส่วนย่าชิงและหญิงสาวคนอื่นไม่ได้คิดที่จะพูดคุยกับเขา
หวังเจิ้นเฟิงที่เห็นดังนั้นจึงหัวเราะเสียงดังเพื่อคลายความกังวล ในขณะที่เขากล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่จริงใจว่า “ข้ารู้ว่าบางสิ่งจากเมื่อวานได้สร้างปัญหาให้แก่พี่เฉิน และทั้งหมดนี้เป็นความผิดของข้า…”
เฉินซีและคนอื่น ๆ ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาตลอดทาง และมีเพียงหวังเจิ้นเฟิงเท่านั้นที่กล่าวไม่หยุดอยู่ที่ด้านข้างราวกับลูกสมุนตัวน้อยที่ทำผิดพลาด
เมื่อผู้คนเห็นภาพนี้ ทุกคนที่พวกเขาเดินผ่านก็รู้สึกตกตะลึงและเกือบจะคิดว่าพวกเขาเห็นอะไรบางอย่างผิดไป เพราะท้ายที่สุดแล้ว นั่นก็คือนายน้อยหวังซึ่งมีความน่านับถืออย่างมากแห่งจวนจ้าวอัสนี และเขาก็มีชื่อเสียงในนครอสนีบาต ดังนั้นเขาจะถ่อมตัวเช่นนี้ได้อย่างไร?
ในขณะที่หวังเจิ้นเฟิงกำลังกล่าวจนถึงจุดที่น้ำลายของเขาแทบจะฟูมปากและริมฝีปากของเจ้าตัวกำลังแห้งผาก ในที่สุดกลุ่มของเฉินซีก็ได้เห็นจวนที่ตระกูลอวิ๋นอาศัยอยู่
จวนของตระกูลอวิ๋นนั้นกว้างใหญ่เป็นอย่างมาก แต่ก็ธรรมดาและอยู่ในระดับที่ด้อยกว่าตระกูลเฉินในปัจจุบัน มันไม่อาจเทียบได้กับอาคารที่สูงใหญ่ที่เฉินซีเคยเห็นมาระหว่างทาง ในภาพรวมของนครอสนีบาตนั้น ตระกูลอวิ๋นเป็นตระกูลเล็ก ๆ ที่ไม่โดดเด่นเท่าไรนัก
แม้แต่หวังเจิ้นเฟิงที่เติบโตในนครอสนีบาตก็ประหลาดใจเมื่อเขาเห็นจวนของตระกูลอวิ๋นเป็นครั้งแรกและถึงขนาดพึมพำออกมาว่า “ตระกูลอวิ๋น? นครอสนีบาตมีตระกูลเยี่ยงนี้ด้วยหรือ?” สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าทรัพยากรและเงินทุนของตระกูลอวิ๋นนั้นอ่อนแอและธรรมดาเพียงใด
เมื่อพวกเขาเข้าใกล้ประตูทางเข้าของจวน สีหน้าของอวิ๋นน่าก็ดูซับซ้อนขึ้น นางสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะเคาะประตู
คนรับใช้วัยกลางคนเดินออกมาและตกตะลึงเมื่อเห็นอวิ๋นน่าอยู่ที่นอกประตู จากนั้นเขาก็คำรามอย่างเย็นชาด้วยความดูถูกเหยียดหยาม “โอ้ เจ้ายังมีชีวิตอยู่อีกหรือนังแพศยา เหตุใดเจ้าถึงคิดกลับมาอีก”
เมื่อนางได้ยินคำว่า ‘นังแพศยา’ สีหน้าของอวิ๋นน่าก็เคร่งเครียดทันทีและมือของนางก็กำแน่นโดยไม่รู้ตัว จากนั้นนางก็กล่าวด้วยเสียงเย็นชาว่า “ไสหัวไปซะ! ข้าจำเป็นต้องรายงานให้เจ้าทราบหรือว่าจะข้าจะกลับมาหรือไม่? เจ้าเป็นเพียงคนรับใช้ที่ถูกตระกูลอวิ๋นเลี้ยงดูมาเท่านั้น ดังนั้นเจ้าควรดูแลปากเหม็นเน่าของเจ้าให้ดีกว่านี้!”
คนรับใช้คนนั้นตกตะลึง จากนั้นเขาก็ระเบิดความโกรธออกมา “เจ้ากล่าวว่าอะไรนะ?”
ในขณะเดียวกัน เขาก็สังเกตเห็นกลุ่มของเฉินซีและสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปขณะหัวเราะอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถกลับมาแสดงพลังที่ยิ่งใหญ่เพียงเพราะเจ้าเป็นสหายกับเศษขยะเหล่านี้หรือ? …เจ้าประเมินความสามารถตัวเองสูงไปจริง ๆ!”
อวิ๋นน่าโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมากและดวงตาของนางแทบจะพ่นไฟออกมา
เฉินซีขมวดคิ้วเช่นกัน แม้แต่คนรับใช้ก็ยังกล้าแสดงท่าทีดุร้ายเช่นนี้ ทัศนคติของตระกูลอวิ๋นที่มีต่ออวิ๋นน่าจึงชัดเจนนัก!
เพียะ!
เสียงที่ชัดเจนดังออกมา เมื่อหวังเจิ้นเฟิงพุ่งไปตบคนรับใช้อย่างรุนแรง จนอีกฝ่ายจนกระเด็นไปไกลกว่าสิบสองจั้ง ทำให้เลือดไหลออกมาจากปากของคนรับใช้มากมาย
“เจ้าหมาโสโครก! เจ้ากล้าเรียกข้าว่า ‘ขยะ’ จริง ๆ หรือ? หากเป็นที่อื่นข้าจะฟันเจ้าให้ขาดออกจากกันเป็นแน่!” หวังเจิ้นเฟิงถ่มน้ำลายอย่างรุนแรงด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม ความเย่อหยิ่งโดยกำเนิดและรัศมีอันสูงส่งที่เขาปล่อยออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจทำให้คนรับใช้วัยกลางคนคนนี้ตกใจจนลืมส่งเสียงร้อง
“แม่นางอวิ๋น ข้าอดไม่ได้ที่จะลงมือเนื่องจากความชอบธรรมของข้าไม่อาจรับสิ่งนี้ได้ คงมิเป็นอะไรใช่หรือไม่?” เมื่อหวังเจิ้นเฟิงหันกลับไปมองทางอวิ๋นน่า ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นที่น่าพึงพอใจ ซึ่งทำให้คนคนหนึ่งรู้สึกราวกับว่ากำลังอาบสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
ทว่าในขณะที่หวังเจิ้นเฟิงกล่าวนั้น เขากลับมองไปที่เฉินซีแทน และเมื่อเห็นว่าเฉินซีไม่ได้แสดงท่าทีใด ๆ ออกมา เขาก็เข้าใจทันทีว่าตนเองได้วางเดิมพันถูกในครั้งนี้
‘หรือว่าพวกเขามาที่ตระกูลอวิ๋นในครั้งนี้เพื่อต้องการต่อสู้?’ หวังเจิ้นเฟิงอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นในใจ การต่อสู้เป็นความสามารถพิเศษของเขา และถ้าตนเองทำได้ดี เขาอาจจะทำให้เฉินซีให้อภัยแก่ความข้องใจระหว่างพวกเขาได้!
“ข้าเพิ่งพบว่าวันนี้เจ้าดูสบายตาขึ้นมาก” ย่าชิงมองไปที่หวังเจิ้นเฟิงและกล่าวด้วยความประหลาดใจ
หวังเจิ้นเฟิงหัวเราะเสียงดัง “หัวใจของข้าพึงพอใจกับคำกล่าวเหล่านี้ของแม่นางย่าชิงนัก”
กลุ่มของเฉินซีไม่สนใจคนรับใช้ที่กระอักเลือดไม่หยุดบนพื้น ขณะที่พวกเขาเดินตรงไปที่ทางเข้า
“ช่วยด้วย! มาเร็วเข้า! นังแพศยาอวิ๋นน่าเจอกลุ่มผู้ช่วยและกลับมาสร้างปัญหาแล้ว!” หลังจากนั้นครู่หนึ่ง คนรับใช้ก็คลานขึ้นจากพื้นอย่างงุ่มง่าม จากนั้นเขาก็ตะโกนออกมาด้วยเสียงร้องโหยหวนอันน่าสมเพช และเสียงนั้นก็กระจายออกไปรอบ ๆ ทำให้ทั้งตระกูลอวิ๋นตื่นตระหนกในทันที