บทที่ 364 เหตุการณ์เล็กน้อย
บทที่ 364 เหตุการณ์เล็กน้อย
เฉินซีโกรธเกรี้ยว!
เรือเหาะสมบัติโบราณนั้นเป็นสิ่งที่ราชาเต่าเฒ่ามอบไว้และอยู่คู่เขามาเป็นเวลาหลายปี แม้จะไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นสมบัติที่น่าเกรงขาม ทว่ามันก็ยังคงเป็นที่น่าอบอุ่นแสนสบาย ยิ่งไปกว่านั้นของชิ้นนี้ยังทิ้งความทรงจำเอาไว้ให้เขามากมาย และนั่นคือเหตุผลที่สำคัญที่สุด
ความตั้งใจเดิมของเขาคือหาเวลามาขัดเกลาเรือเหาะสมบัติอีกหนึ่งครั้งและเพิ่มพลังป้องกันให้กับมัน ด้วยวิธีนี้ มันจะกลายเป็นสิ่งคู่กายตลอดเส้นทางการบ่มเพาะ แต่ไม่คาดคิดคาดฝันว่าเรือเหาะสมบัติลำนี้จะไหม้เป็นจุณและเหลือไว้เพียงความว่างเปล่า!
ทันทีที่รู้เห็นเหตุการณ์นี้ แม้เฉินซีจะสุขุมเพียงใด ก็ยากจะยับยั้งแรงโทสะที่เดือดดาลขึ้นพุ่งขึ้นมาจุกอก มหันตภัยไร้ความยุติธรรมเยี่ยงนี้ไม่ใช่สิ่งที่น่าให้อภัยยิ่ง!
โครม!
ฟ้าดินสั่นคลอน สายลมกระโชก เฮ่อเหลียนจวินกับนกกระจอกเพลิงยังคงจดจ่ออยู่กับการต่อสู้ พวกเขาจึงไม่อาจให้ความสนใจกับทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว
ชายฉกรรจ์กับนกกระจอกงัดข้อกันอย่างไร้ท่าทีสงบ ทำให้ภายในพื้นที่รัศมีหมื่นลี้กลายเป็นสนามรบ พวกเขาไม่ใส่ใจว่าศึกครั้งนี้จะสร้างความเสียหายแก่สรรพสิ่งบนสวรรค์และโลกเพียงใดหรือจะนำความโกรธมาสู่เฉินซีมากแค่ไหน
มีผู้บ่มเพาะมากมายเดินทางสู่นครหลวงธารสายไหมและยังมีอีกส่วนที่เดินทางผ่านเส้นทางนี้เช่นกัน พวกเขาจึงไม่ค่อยพอใจกับการกระทำไร้ความสำนึกนี้ อีกทั้งมันยังเป็นการกระทำที่สนใจเพียงความโปรดปรานส่วนบุคคล ไม่ใช่ชะตาชีวิตของผู้อื่น
ทว่าเนื่องด้วยพลังต่อสู้ของเฮ่อเหลียนจวินและความเกรี้ยวกราดของนกกระจอกเพลิง… จะผู้ใดกล้าหยุดพวกเขากัน?
นอกเสียจากเฉินซี แต่เขาไม่เพียงแค่หยุดเท่านั้น ทว่ายังปลดปล่อยโทสะที่สะสมไว้จากการสูญเสียเรือเหาะสมบัติและทุบตีทั้งสองคนอย่างบ้าคลั่ง
ฮึ่ม!
เสียงกระบี่โหยหวนดั่งคลื่นอุทกภัยสั่นสะเทือนทั้งโลกา
เจตจำนงกระบี่ซึ่งบรรจุเต๋ารู้แจ้งแห่งการสังหารอันบริสุทธิ์กลายร่างเป็นลำแสงกระบี่ยาวสิบจั้งก่อนฟันไปยังคนทั้งสอง!
กระบี่อันน่าสยดสยองและเจตจำนงของมันสยบศึกโกลาหลนี้ จนทำให้ทั้งเฮ่อเหลียนจวินและนกกระจอกเพลิงถอยออกจากกันชั่วขณะ
พละกำลังการโจมตีเพียงครั้งเดียวนี้แฝงไปด้วยฤทธิ์เดชมหาศาล! เหล่าผู้บ่มเพาะซึ่งหยุดอยู่ไกลห่างพลันร้องตะโกนออกมาด้วยความตะลึงพรึงเพริด
“ผู้ใดอาจกล้าขัดขวางศึกของนายน้อย? หรือว่าเจ้าต้องการต่อกรกับนายน้อยผู้นี้?”
“โอหัง! เจ้าบ้าคนไหนทำสิ่งนี้?”
เฮ่อเหลียนจวินและนกกระจอกเพลิงระเบิดอารมณ์ พวกเขากำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดสุดหัวใจ ทั้งคู่ต่างคิดว่าจังหวะต่อไปก็จะสังหารอีกฝ่ายได้แล้ว ทว่าพวกตนกลับไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ากระบี่จู่โจมเพียงหนึ่งครั้งจะแยกทั้งสองออกจากกัน จนพวกเขาต้องหยุดการต่อสู้ชั่วคราว อีกทั้งยังเกลียดคนนอกที่เข้ามาขัดขวางศึกในครั้งนี้เข้ากระดูกดำ
ทั้งสองคนเงยหน้ามองเห็นชายหนุ่มในชุดสีฟ้า มือของเขาถือกระบี่ขณะกำลังบินมาทางนี้
“เป็นเจ้าหรอกรึ?” เฮ่อเหลียนจวินจดจำเฉินซีได้จึงรู้สึกตกตะลึง ก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ “สหายเต๋า นี่หมายความว่าอย่างไร? เป็นได้หรือไม่ว่าเจ้าต้องการร่วมทัพกับสัตว์ปีกตัวนี้เพื่อต่อกรกับข้า?”
“พูดไปเรื่อย! คิดว่าข้าเนี่ยนะจะต้องมีใครมาช่วย?” นกกระจอกเพลิงตะคอกเสียงดังไม่หยุดขณะจ้องเขม็งใส่เฉินซี “ข้ารู้ดีว่ามนุษย์ทุกคนนั้นเลวทราม แล้วเจ้ายังต้องการร่วมทัพและกลั่นแกล้งเขาอีก? คิดว่าข้ากลัวอย่างนั้นหรือ?”
คนทั้งสองไม่พอใจกับการขัดขวางการต่อสู้ของเฉินซีอย่างมาก หากไม่เป็นเพราะการโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวของกระบี่ก่อนหน้านี้ อาการของทั้งสองคนคงจะเข้าขั้นหนัก
เฉินซีสะบัดกระบี่ขณะกล่าวอย่างสุขุม “พวกเจ้าทั้งสองคิดผิดไป ข้าไม่ได้มาช่วยใครทั้งสิ้น ข้ามาที่นี่เพื่อมาสั่งสอนพวกเจ้า”
ทันทีที่กล่าวเสร็จ เขาก็พุ่งจู่โจมเสียแล้ว เจ้าของร่างพลิ้วไหวดั่งกระสวยพร้อมยันต์ศัสตราโอ่อ่าราวกับอัสนี ชายหนุ่มพุ่งมาถึงเฮ่อเหลียนจวินโดยพลันก่อนฟันลงไป
ฉึก!
‘ท่าร่ายรำกระบี่ของชายผู้นี้น่าเกรงขามยิ่งนัก…’ รูม่านตาของเฮ่อเหลียนจวินหดลง จากนั้นเขาก็ดึงพัดหยกซึ่งเต็มไปด้วยปราณวิญญาณ ก่อนจะพลิกมือทุ่มพัดใส่ยันต์ศัสตราที่กำลังจู่โจมเข้ามา
พัดใบนี้มีนามว่าพัดภูผาธาราเป็นสมบัติระดับปฐพีขั้นสุดยอดซึ่งส่งต่อลงมาจากนิกายอสูรลวง พื้นผิวของพัดประดับด้วยภูผาและแม่น้ำตลอดแนวตั้งและแนวนอน มีแสงสีกุหลาบระยิบระยับ ก้านพัดทั้งสิบสองก้านถูกปกคลุมด้วยยันต์ลี้ลับ ด้วยการหุบกางพัด มันสามารถสร้างเกราะป้องกันสำหรับทั้งเชิงรุกและเชิงรับ ควบคู่กับวิชากระบวนยุทธ์ระดับเต๋าอย่างวิชาพัดภูผาธาราของเขาจึงน่าเกรงขามยิ่งนัก
เรื่องนี้สามารถพิสูจน์ได้จริง เขาอาศัยพัดนี้ต่อกรกับผู้บ่มเพาะแห่งดินแดนรกร้างทางใต้และไม่เคยพ่ายแพ้แม้แต่ครั้งเดียว
เท่าที่เฮ่อเหลียนจวินทราบ พละกำลังของเฉินซีนั้นคู่ควรกับการเอาจริงเอาจัง แต่เห็นอย่างชัดเจนว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เฉินซีจะเอาชนะเขา
ทว่าในฉากถัดไปกลับทำให้เขาถึงกับแน่นิ่ง
ปัง!
พัดกับกระบี่ปะทะกัน ยันต์ศัสตรายังคงอยู่ในสภาพดี ทว่ากลับปรากฏรอยแตกร้าวบนใบพัด อีกทั้งก้านพัดสองก้านยังแตกหัก! เหตุการณ์นี้ทำให้เฮ่อเหลียนจวินแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง
อย่างไรก็ตาม เขาไม่มีเวลาครุ่นคิดในตอนนี้ เจตจำนงกระบี่ซึ่งปรากฏจากตัวกระบี่กลับทำให้เขาสั่นคลอนจนรู้สึกชาไปทั่วฝ่ามือ อีกทั้งยังรู้สึกทรมานคล้ายกับมีภูเขาทั้งลูกกดทับร่างเอาไว้ ทำให้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหลบหลีก
“บ้าจริง! ชายหนุ่มผู้นี้มากับเจ้าสัตว์ปีกตัวนั้นเป็นแน่! เขาทำลายสมบัติวิเศษของข้า!” เฮ่อเหลียนจวินรู้สึกเหมือนถูกหักอก อารมณ์ของเขาเดือดดาลจนดวงตาลุกขึ้นเป็นไฟ โชคยังดีที่เขาเตรียมสมบัติวิเศษอันน่าเกรงขามอีกหนึ่งชิ้นสำหรับการชุมนุมดาวรุ่งไว้โดยเฉพาะ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางเลือกนอกจากเสี่ยงประชันกับเฉินซีด้วยชีวิตตน
“หืม… เกิดอะไรขึ้น? หรือว่าหนุ่มผู้นั้นจะไม่ใช่พันธมิตรของเจ้าสัตว์ปีก?” จังหวะที่เฮ่อเหลียนจวินกำลังโต้กลับ เขาก็เห็นเฉินซีซึ่งบัดนี้ทอดทิ้งตนไว้ลำพังเพื่อหันไปจัดการกับนกกระจอกเพลิง การร่ายรำกระบี่ของเฉินซีนั้นดุดัน รวดเร็วและแกร่งไม่แพ้การโจมตีครั้งที่แล้วแม้แต่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้น เฮ่อเหลียนจวินยังสังเกตเห็นนกกระจอกเพลิงซึ่งเคยเป็นคู่ต่อสู้อย่างสูสี บัดนี้ไม่อาจต้านทานการโจมตีของเฉินซีและกำลังหลบหนีไป
ช่างน่ายำเกรงยิ่งนัก!
ชายหนุ่มผู้นี้มาจากที่ใดกัน? เหตุใดจึงไม่เคยได้ยินมาก่อน?
ใบหน้าของเฮ่อเหลียนจวินกลายเป็นเคร่งขรึม ในใจของเขารู้สึกว่าเฉินซีคือศัตรูอันร้ายกาจ
“เป็นไปได้อย่างไร! ความว่องไวของเจ้าเหนือกว่าของข้าอย่างนั้นรึ! เฮ้ย ๆ ทำไมจึงมาถอนขนของข้าเล่า!?” เสียงคร่ำครวญของนกกระจอกเพลิงไม่ขาดสายขณะที่ร่างเคลื่อนไหวดั่งอัสนีสีเลือด โบยบินไปทั่วหล้าด้วยความเร็วแสงจนสามารถมองเห็นประภาสีแดงได้อย่างชัดเจน
มันอาจรวดเร็วทว่าเฉินซีนั้นเหนือชั้นกว่า ยันต์ศัสตราผนวกกับกระบี่ข่านแห่งวารี ศัสตราทั้งสองชนิดถูกถักทอจนกลายเป็นตาข่ายแห่งกระบี่ซึ่งจำกัดพื้นที่ของนกกระจอกเพลิงเอาไว้ ทำให้อีกฝ่ายไม่อาจหนีไปได้
เฉินซีฉวยโอกาสนี้ถอนขนสัตว์ปีกตัวนี้อย่างไม่ลังเล เพียงช่วงเวลาหนึ่งผ่านไป ขนสีแดงเพลิงนับไม่ถ้วนลอยอยู่ในอากาศ ทำให้เฮ่อเหลียนจวินเกิดอาการวิงเวียนศีรษะอีกครั้ง
“หยุด! หยุด! หยุด! หยุดถอนได้แล้ว จะสังหารข้าย่อมทำได้เพียงแค่ปลายนิ้ว ไยจึงทำให้ข้าอับอายเช่นนี้? ข้าไปทำอะไรให้เจ้าขุ่นเคือง? โธ่เว้ย! ขนแสนสวยของข้า!!” นกกระจอกเพลิงดิ้นอยู่กลางอากาศในสภาพที่น่าสลดใจ การที่ขนถูกเฉินซีถอนจนหมดส่งผลให้มันโกรธจนแทบเป็นลม
เขาจะจินตนาการได้อย่างไรว่า เมื่อออกมาจากทะเลเพลิงปฐพี ยังไม่ทันได้โอ้อวดให้โลกแห่งบ่มเพาะได้เห็น มันก็ถูกผู้บ่มเพาะอันโหดเหี้ยมจับถอนขนราวกับหยิบของออกจากกระเป๋า?
“เหตุใดน่ะหรือ? เพราะการต่อสู้ของพวกเจ้าทำให้เรือเหาะสมบัติของข้าพังพินาศ ข้าจะระบายความขุ่นเคืองใจโดยไม่ถอนขนของเจ้าได้อย่างไร?” เมื่อระบายโทสะออกเกือบหมดแล้วชายหนุ่มจึงหยุดลง ความเป็นศัตรูที่เฉินซีมีต่อทั้งสองนั้นไม่ได้ใหญ่โตจนถึงกับต้องกำจัดพวกเขา
“เจ้าถอนขนข้าเพียงเพราะเรืออุบาทว์ ๆ นั่นเนี่ยนะ?” นกกระจอกเพลิงร้องด้วยเสียงแหลม ซึ่งแฝงไปด้วยความไม่พึงพอใจ
เฉินซีจ้องเขม็งจนทำให้อีกฝ่ายขนลุกขนพองและไม่กล้าพูดอะไรอีก เพราะห่วงว่าอีกฝ่ายจะมาถอนขนในครั้งต่อไป และนั่นคงเป็นเรื่องขายหน้าเกินกว่าจะรับไหว
สาเหตุที่เฉินซีทำลายพัดภูผาธารานั้นเป็นเพราะเรือเหาะสมบัติถูกทำลาย? เฮ่อเหลียนจวินเหลียวมองนกกระจอกเพลิงซึ่งมีขนเป็นหย่อม ๆ พร้อมกับรูปร่างน่าสมเพช เขาอดไม่ได้ที่จะสั่นเป็นเจ้าเข้า โชคยังดี! โชคยังดีที่เขาไม่ใช่สัตว์ปีก มิฉะนั้น หากถูกถอนขนจนล้านเลี่ยนก็ไม่ต่างอะไรไปกับการเปลืองผ้าจนหมด หากเป็นเช่นนั้นคงไม่มีที่ให้ไว้หน้าเสียแล้ว!
“เอาล่ะ พวกเจ้าทั้งสองสู้กันต่อได้” เฉินซีตบมือทั้งสองเข้าด้วยกันก่อนจะจากไป เขาเดินออกไปด้วยท่าทางสง่างามและไม่ลังเลแต่อย่างใด
ชายฉกรรจ์และนกกระจอกหน้ามองกันพลางส่งเสียงฮึดฮัดโดยพร้อมเพรียงกัน ทว่าไม่ได้กล่าวถึงการต่อสู้อีกต่อไป
หลังจากที่ถูกเฉินซีสยบ คนทั้งสองก็รู้แจ้งว่ามีผู้บ่มเพาะมากมายดั่งเมฆบนท้องฟ้าในการชุมนุมดาวรุ่งครั้งนี้ พวกเขาไม่อาจยอมหลวมตัวอีกต่อไป
ส่วนศึกระหว่างพวกเขาคงจะไม่เกิดขึ้นในช่วงจัดการชุมนุมดาวรุ่ง
ชายหนุ่มกับนกกระจอกรีบตั้งสติก่อนจะเดินทางสู่นครหลวงธารสายไหม ก่อนออกไปนั้น พวกเขาเหลือบมองเฉินซีด้วยความนึกสงสัยเป็นอย่างยิ่ง เขาเป็นใครกันแน่? พละกำลังของเขาจะไม่มากไปหน่อยหรือไร?
ก่อนออกเดินทางสู่นครหลวงธารสายไหม พลังต่อสู้ของเฮ่อเหลียนจวินและนกกระจอกเพลิงได้รับยกย่องจากเหล่ารุ่นพี่ ไม่ต้องกล่าวถึงว่าเป็นผู้ที่เก่งที่สุด ทว่าอย่างน้อยพวกเขาสามารถดูถูกดูแคลนผู้คนได้มากมายและแน่นอนว่าพวกเขาติดสามสิบอันดับแรกในการชุมนุมดาวรุ่ง หากพยายามเต็มที่ การเข้าสู่สิบอันดับแรกนั้นย่อมเป็นไปได้
ทว่าเฉินซีกลับข่มพวกเขาได้ นั่นไม่ได้หมายความว่าพละกำลังของเขาสามารถติดสิบอันดับแรกในการชุมนุมดาวรุ่งใช่หรือไม่?
แม้เฮ่อเหลียนจวินกับนกกระจอกจะไม่ชอบหน้ากัน ทว่ายังแบ่งปันความคิดเดียวกันและยังประมาณพละกำลังของเฉินซีได้พอสังเขป การคาดคะเนนี้ชวนให้พวกเขาขนลุก แม้จะไปถึงนครหลวงธารสายไหมแล้ว พวกเขาก็ยังไม่อาจฟื้นฟูจิตใจให้กลับคืนมาได้ดังเดิม
“ไปกันเถอะ พวกเราใกล้ถึงนครหลวงธารสายไหมแล้ว” เฉินซีทอดสายตามองจากที่ห่างไกล
ย่าชิง อวิ๋นน่า เหยียนเยียน และหวังเจิ้นเฟิงผงกศีรษะ ร่องรอยความตกใจยังแฝงอยู่บนใบหน้า สิ่งที่เฉินซีกระทำเมื่อครู่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
เหตุการณ์เล็กน้อยผ่านไปเช่นนี้
เฉินซีและพวกพ้องออกเดินทางอีกครั้งสู่นครหลวงธารสายไหม
ยิ่งใกล้นครหลวงมากเท่าใดยิ่งพบเห็นผู้บ่มเพาะมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ท้องฟ้าสีครามปกคลุมไปด้วยริ้วและสมบัติวิเศษหลากสีหลายรูปร่าง ยังมีแม้กระทั่งรถม้าลากสมบัติพุ่งไปข้างหน้าดั่งกระแสน้ำ
ท่ามกลางผู้คนเหล่านี้ไม่มีใครที่ไม่ใช่อัจฉริยะซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในพื้นที่นี้ ทุกคนต่างมีเอกลักษณ์ของตน หากไม่มีท่าทางโอ่อ่าก็สง่าผ่าเผย หรือไม่ก็มีเสน่ห์ ทุกคนอยู่ในช่วงวัยหนุ่มสาว เป็นที่สุดของที่สุดในบรรดาปวงชน
ทว่ายังมีผู้บ่มเพาะอีกจำนวนมากที่เดินทางมาสู่นครหลวงธารสายไหมเพื่อชมการชุมนุม เพราะอย่างไรแล้ว การชุมนุมดาวรุ่งก็เกิดขึ้นทุก ๆ หนึ่งร้อยปี และไม่มีผู้ใดยอมพลาดโอกาสนี้ไปได้
ผู้อาวุโสแห่งนิกายและตระกูลต่างพาลูกศิษย์มาพร้อมกับถือโอกาสนี้เพื่อปลุกใจของลูกศิษย์ในการแสวงหาเส้นทางแห่งเต๋าและปล่อยให้พวกเขาเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ในการต่อสู้