บทที่ 369 เปิดฉาก
บทที่ 369 เปิดฉาก
โลกแห่งดารา
จี้อวี๋ยืนเอามือไพล่ไปด้านหลัง สายตาดูลึกล้ำ ขณะมองไปยังร่างสูงซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ไกล ๆ
เมื่อไม่นานมานี้ เฉินซีได้เข้าสู่โลกแห่งดาราและพูดคุยกับเขาเพียงชั่วครู่ ก่อนจะเริ่มนั่งสมาธิ และเฉินซียังคงเงียบเชียบตั้งแต่ต้นจนจบ ราวกับว่ากำลังเข้าใจบางสิ่งบางอย่าง
จริง ๆ แล้ว สิ่งที่จี้อวี๋เป็นห่วงก็คือความแข็งแกร่งที่เฉินซีมีอยู่ในตอนนี้เทียบได้กับอัจฉริยะแห่งยุคแรกเริ่ม ซึ่งน่าเกรงขามยิ่งกว่าเทพอสูรโบราณที่ยังเล็กอยู่
การมีความแข็งแกร่งระดับนี้ทำให้นับว่ามีอันดับชั้นยอดในหมู่ผู้มีพลังบ่มเพาะเท่ากัน!
ทว่าเขาดูเหมือนจะยังไม่พอใจกระมัง?
จี้อวี๋ไม่ได้ไปรบกวนเฉินซี เพียงแค่มองเขาเงียบ ๆ เท่านั้น
“วารีเพลิงพิฆาต!” ผ่านไปหลายอึดใจ เฉินซีพลันลุกขึ้นยืนและชกหมัดธรรมดา ๆ ออกไป มันช้ามากแต่กลับรู้สึกราวกับไร้ที่ให้หลบหนี
ราวกับว่าโลกที่ไร้ขอบเขตและทุกอย่างภายในนั้นถูกปิดกั้นไว้ด้วยหมัดนี้
ตู้ม!
หมัดที่ธรรมดาหมัดนี้อาจเรียกได้ว่าเรียบง่ายไร้การขัดเกลา ทุกพื้นที่ที่มันเคลื่อนผ่านราวกับอากาศจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ คลื่นพลังกระจายออกไร้ทิศทาง
ในเวลาเดียวกันนั้น พลังน่าสะพรึงที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นจะทำลายทุกอย่างก็ระเบิดออกจากกำปั้นพร้อมกับเสียงดัง จากนั้นมันก็เปลี่ยนเป็นเส้นอากาศสองสาย เส้นหนึ่งกว้างใหญ่และพลุ่งพล่าน มันแฝงด้วยเต๋ารู้แจ้งแห่งสายน้ำ ส่วนอีกเส้นหนึ่งรุนแรงและดุดันและแฝงด้วยเต๋ารู้แจ้งแห่งไฟ ราวกับมังกรวารีและมังกรเพลิงเข้าปะทะพร้อมเสียงคำราม
ฟึ่บ!
ทันใดนั้น รอยฉีกขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ลากยาวไปถึงหกลี้ เมื่อมองจากระยะไกลจะดูราวกับว่ามีรอยแยกมิติถูกกรีดเปิดออก ขณะปล่อยลมปราณที่ทำให้ใจคนสะเทือน
นี่คือกระบวนท่าแรกของเพลงหมัดมหาทำลายล้าง ‘หมัดทลายพิภพ’ แต่เฉินซีผสมเต๋ารู้แจ้งแห่งสายน้ำและไฟไว้ เขาจึงเปลี่ยนชื่อมันเสีย
เป็นวิชาหมัดที่ดีจริง ๆ! แต่ความแข็งแกร่งที่เกิดจากการโจมตีครั้งนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่พลังที่แท้จริงของวิชาหมัดนี้…
ดวงตาของจี้อวี๋หรี่ลง จากนั้นเขาก็เข้าใจได้ในทันที ด้วยสายตาอันกว้างไกล เขาจึงแยกแยะได้ว่าเฉินซีเพียงใช้เต๋ารู้แจ้งในกระบวนท่าแรก ทว่าไม่ได้ใช้เต๋าแห่งการรู้แจ้งของตัวกระบวนท่า
ถึงกระนั้นพลังของกระบวนท่านี้ก็ค่อนข้างน่าตกใจทีเดียว เต๋ารู้แจ้งแห่งไฟและน้ำเป็นพลังงานสองประเภทที่ครอบครองพลังสุดขั้วซึ่งต่อต้านกันเอง ดังนั้นความสามารถในการปล่อยเต๋ารู้แจ้งแห่งน้ำและไฟด้วยวิธีพิเศษของท่าหมัดนี้จึงแยบยลหรือกล่าวได้ว่าน่าอัศจรรย์อย่างหาที่เปรียบมิได้
มีเพียงผู้ยิ่งใหญ่ผู้มีสติปัญญากว้างไกลเท่านั้นที่จะสามารถสร้างวิชาเช่นนี้ได้
“หมัดทลายโกลาหล!” ร่างของเฉินซีขยับอีกครั้งราวกับมังกรออกจากถ้ำ ขณะที่ร่างของเขารุดผ่านน่านฟ้าดูดุดัน เป็นหมัดที่ทำให้ใจคนสั่นคลอน
ฝั่งหนึ่งดำ ฝั่งหนึ่งขาว พลังอีกสองประเภทปกคลุมกำปั้นราวกับกำลังสร้างโลกขึ้นมา โลกที่มีชั้นฟ้าทั้งหลายอยู่เบื้องล่างและแผ่นดินอยู่เบื้องบนคล้ายกับโลกาที่ถูกพลิกกลับ และแม้แต่สิ่งมีชีวิตทั้งมวลที่อยู่ภายในนั้นยังกลับหัวกลับหาง ศีรษะอยู่บนพื้น เท้าชี้ขึ้นฟ้า
เพียงแค่เหลือบมองจากระยะไกลก็ทำให้รู้สึกแย่จนอยากจะกระอักเลือดได้
ตู้ม!
หมัดที่มีพลังสองอย่างนี้พลันระเบิดออกมาเสียงดัง ทันใดนั้น โลกก็พลิกคว่ำ หยินหยางอยู่ในความโกลาหล ห้วงอากาศไร้ขอบเขตถูกระเบิดจนแตกสลายและตกอยู่ในความวุ่นวายครั้งใหญ่
แต่การโจมตีครั้งนี้ไม่ได้ถูกปล่อยออกมาอย่างสมบูรณ์ พลังงานภายในยังไม่ทันได้ถูกปล่อยออกมาทั้งหมด ร่างของเฉินซีก็ซวนเซ หน้าซีดเผือด และเกือบจะล้มลงกับพื้น
‘เช่นนี้ไม่ได้แล้ว! ข้ายังมีพลังไม่พอ เต๋ารู้แจ้งแห่งหยินหยางแกร่งเกินไป ถ้าข้าไม่สามารถเข้าใจแก่นแท้ของกระบวนท่านี้ได้อย่างสมบูรณ์ ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถแสดงพลังของมันออกมาได้ มันยังอาจจะทำร้ายข้าได้… แต่ข้าพลาดจุดไปกันแน่?’ เฉินซีสูดหายใจเข้าลึก ๆ พลางมุ่นคิ้วครุ่นคิด เขานึกถึงตอนที่ซัดพลังออกมาก่อนหน้าอย่างละเอียด …ตกอยู่ในภวังค์อย่างสมบูรณ์
“พลังหยินหยางเป็นเต๋ารู้แจ้งที่แข็งแกร่งที่สุดท่ามกลางแก่นพลังทั้งหลาย หากสามารถหลอมรวมพวกมันได้ในหมัดเดียว ก็อาจเป็นประโยชน์ต่อการทำความเข้าใจมหาเต๋าแห่งหยินหยางในอนาคตได้” จี้อวี๋พยักหน้าเมื่อเห็นเช่นนั้น จากนั้นเขาก็หันหลังเดินจากไป
เขากำลังจะไปช่วยหลิงไป๋ซ่อมแซมร่าง ตั้งแต่หลอมรวมผลดอกบัวดวงจิตทองคำเข้ากับร่างของหลิงไป๋ สหายน้อยก็ยังคงไร้สติและไม่อาจตื่นขึ้นได้เป็นเวลานาน
ในด้านหนึ่งเป็นเพราะหลิงไป๋เป็นเสี้ยววิญญาณกระบี่ ซึ่งไม่ได้อยู่ในธาตุทั้งห้า ดังนั้นหากต้องการเปลี่ยนเป็นร่างกายที่แตกต่างกัน จึงยากกว่าสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในชั้นฟ้าและแผ่นดินทั้งหลาย
ทว่าเนื่องจากหลิงไป๋สละพลังชีวิตตนไปสองครั้ง ทำให้ร่างกายเสียพลังไปมาก หลังจากหลอมรวมกับผลดอกบัวดวงจิตทองคำแล้ว เขาจะเปลี่ยนเป็นอีกร่าง แต่หากต้องการฟื้นฟูแก่นพลังชีวิต มันไม่ใช่สิ่งที่สามารถฟื้นคืนในช่วงเวลาสั้น ๆ ได้ แต่จี้อวี๋มั่นใจอย่างยิ่งว่าวันที่หลิงไป๋ตื่นขึ้นมา ความแข็งแกร่งของเขาจะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นด้วยความเร็วอันน่าผวา และเมื่อรวมกับกายาดวงจิตทองคำ ถึงตอนนั้นอาจจะน่ากลัวกว่าเฉินซีก็เป็นได้
จี้อวี๋ตั้งตารอว่าวันนั้นจะมาถึงในเร็ววัน
…
สิบวันต่อมา แสงศักดิ์สิทธิ์ที่พร่างพราวพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือนครหลวงธารสายไหม มันดูไม่สมจริงเท่าไรนัก จากนั้นเสียงมังกรคำรามก็ดังสะเทือนชั้นฟ้าดังก้องออกมาพลางมีลำแสงจำนวนมากพุ่งออกมา
ทุกคนในนครหลวงธารสายไหมพากันตกใจ พวกเขารู้สึกราวกับว่ามังกรศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ใต้พิภพตื่นขึ้นจากการหลับใหล มันลืมตาที่เกรอะฝุ่นมาเป็นเวลาหลายปีขึ้นและคำรามอย่างภาคภูมิก้องไปทั่วทิศ ทำให้สายลมและก้อนเมฆล้วนสั่นสะเทือน
เป็นอึดใจหนึ่งที่มีปรากฏการณ์หลากหลายเกิดขึ้นบนท้องฟ้าเหนือนครหลวงธารสายไหม สายฟ้าฟาดฟันกัน เสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง แสงศักดิ์สิทธิ์แต่งแต้มนภา และเสียงมังกรคำรามที่พุ่งตรงไปยังสวรรค์ทั้งเก้าชั้น
“มันมาแล้ว! ยอดเขาทะยานสวรรค์กำลังจะปรากฏขึ้นแล้ว! การชุมนุมดาวรุ่งกำลังจะเปิดแล้ว!” ผู้อาวุโสภายในเมืองเบิกตามองพร้อมกับสีหน้าตื่นเต้น
ท้องฟ้าในนครหลวงธารสายไหมเดิมทีว่างเปล่า แต่ภาพเลือนรางที่เหมือนเทือกเขากำลังปรากฏให้เห็นได้ราง ๆ
ยอดเขาทะยานสวรรค์เป็นยอดเขาที่ราวกับเขาปาฏิหาริย์ ประวัติความเป็นมาไม่อาจหาศึกษาได้อีก สันนิษฐานว่ามันมีอยู่ก่อนจะสร้างนครหลวงธารสายไหม เป็นยอดเขาเก่าแก่มาก
มันสูงเกือบหกร้อยลี้และเต็มไปด้วยเต๋ารู้แจ้ง นับว่ามีมหาเต๋าและเต๋ารองทั้งหมดในใต้หล้าเลยทีเดียว
เมื่อผู้บ่มเพาะเดินไปบนนั้น หากบ่มเพาะเต๋ารู้แจ้งไม่มากพอ ก็จะถูกระเบิดออกจากภูเขาทันที
แม้ว่าจะเป็นผู้ที่มีพลังบ่มเพาะเต๋ารู้แจ้งสูงส่ง แต่จะขึ้นถึงยอดเขาก็ยากนัก ไม่ต่างกับคนธรรมดาปีนเขาสูงหกร้อยลี้ด้วยมือเปล่า
ด้วยเหตุนี้ การขึ้นสู่ยอดเขาทะยานสวรรค์จึงกลายเป็นการทดสอบครั้งแรกในการชุมนุมดาวรุ่ง ผู้บ่มเพาะที่เข้าร่วมต้องขึ้นให้ถึงยอดสูงสุดเพื่อผ่านการทดสอบครั้งแรก
ตู้ม!
บนท้องฟ้าเหนือพระราชวังธารสายไหมที่อยู่ไกลลิบปรากฏแสงสีขาวพุ่งขึ้นมาอย่างกะทันหัน มันรุดถึงขอบฟ้า ก่อนจะเปลี่ยนเป็นร่างหนึ่งที่ดูพร่ามัวและกำยำนัก รูปลักษณ์ของร่างนั้นไม่อาจเห็นได้ชัดเจน แต่ลมปราณโบราณและความรู้สึกว่างเปล่าที่เปล่งออกมาถึงกับสะเทือนโลกหล้าได้
“นายท่านวิญญาณศัสตราแห่งพระราชวังธารสายไหม! ผ่านไปหนึ่งร้อยปี ลมปราณยิ่งน่ากลัวมากขึ้น มีเขาเป็นประธานในการชุมนุมดาวรุ่งเช่นนี้ ใครในใต้หล้าจะกล้าก่อปัญหากัน?”
เหล่าผู้บ่มเพาะรุ่นเก่าร้องออกมาเสียงชื่นชม จากนั้นก็ส่งเสียงไปยังรุ่นน้องที่อยู่ข้างเคียง “จำไว้ว่าเมื่อเจ้าขึ้นสู่ยอดสูงสุดของยอดเขาทะยานสวรรค์ เจ้าต้องระมัดระวังตน นอกเหนือจากการต้านทานพลังเต๋ารู้แจ้งของยอดเขา เจ้าต้องระวังผู้อื่นด้วย ในการชุมนุมดาวรุ่งครั้งก่อนมีอัจฉริยะบางคนที่มีการบ่มเพาะสูงถูกบังคับให้ออกจากภูเขา และจากไปด้วยความเกลียดชังในใจ เจ้าต้องคอยระวังเรื่องนี้ด้วย”
ตู้ม!
ในที่สุด รูปลักษณ์ที่แท้จริงของยอดเขาทะยานสวรรค์ก็ปรากฏขึ้นมา นี่เป็นภูเขาโบราณที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว มันมีขนาดกว้างใหญ่และเป็นยอดเขาที่สูงส่งนัก พื้นผิวสีดำสนิท ทั้งยังเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์หลากสีสันออกมา
แสงศักดิ์สิทธิ์หลากสีสันเหล่านั้นคือเต๋ารู้แจ้งต่าง ๆ ที่ถูกปลดปล่อยออกมา เช่น ลม น้ำ ดิน ไฟ หยิน หยาง สายฟ้า ภูเขา หนองบึง แสงอาทิตย์ ดวงจันทร์ แค่มองจากระยะไกลก็ทำให้คนตกใจจนไม่อาจคุมตัวเองได้แล้ว
ทันทีที่ยอดเขาทะยานสวรรค์ปรากฏขึ้นมา นครหลวงธารสายไหมก็ปั่นป่วน ทุกคนในเมืองกำลังเคลื่อนไหวไปที่นั่นที่นี่ ยอดฝีมือรุ่นเยาว์จากดินแดนป่าเถื่อนทางตอนเหนือ ดินแดนทางใต้ ทะเลตะวันออก และที่ราบตอนกลางต่างพากันเคลื่อนตัว จนเกิดเป็นลำแสงที่มุ่งหน้าสู่ยอดเขาทะยานสวรรค์ที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศ
ส่วนผู้ไร้คุณสมบัติจะเข้าร่วมก็ลงมือเช่นกัน พวกเขาต่างจับจองสถานที่ที่ใช้ชมการแข่งขัน บ้างก็ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่อยู่โดยรอบยอดเขาทะยานสวรรค์
คนเหล่านี้มาที่นี่เพื่อเป็นกำลังใจให้บุคคลอันเป็นที่รัก มาส่งศิษย์ไปเก็บประสบการณ์และฝึกฝนขัดเกลา หรือแค่มาเห็นภาพผู้เยี่ยมยุทธ์ผู้สูงส่งรุ่นเยาว์ทั้งหลาย
ฟ้าว! ฟ้าว! ฟ้าว!
ชิงซิ่วอี้ จ้าวชิงเหอ หวงฝู่ฉางเทียนและคนอื่น ๆ พุ่งขึ้นไปก่อน พร้อมกับกลุ่มของคนอื่นที่ติดตามไปใกล้ชิด พวกเขาดูเหมือนฝูงตั๊กแตนที่มีมากกว่าสองพันตัวก็มิปาน นี่เป็นภาพที่งดงามมาก
ที่ตีนยอดเขาทะยานสวรรค์ถูกห่อหุ้มด้วยกำแพงแสงศักดิ์สิทธิ์
เกราะแสงศักดิ์สิทธิ์นี้มีอำนาจป้องกันเท่ากับผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสูง ซึ่งมีแต่ต้องใช้กำลังฝ่าไปเท่านั้นจึงจะสามารถขึ้นสู่ยอดเขาทะยานสวรรค์ได้
ครืน!
หลุมขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนเกราะแสงศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นชิงซิ่วอี้และคนอื่น ๆ ก็ผ่านไปได้อย่างง่ายดาย ก่อนที่เงาร่างพวกเขาจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“หลินโม่เซวียน เซียวหลิงเอ๋อร์ หลิวเฟิ่งฉือ หม่านหง เซวี่ยเฉิน… พวกเขาไปด้วยกันจริง ๆ หรือจะร่วมมือกันเพื่อเลี่ยงทำเหตุร้ายบนยอดเขาทะยานสวรรค์และถูกบีบให้ออกจากเขา?”
“เป็นเช่นนั้นแน่ ผู้บ่มเพาะเหล่านี้ล้วนหยิ่งผยอง ไม่อาจทนเห็นกันได้หรอก และส่วนใหญ่ก็มีข้อขัดแย้งและข้อพิพาทระหว่างกันด้วย ดังนั้นระหว่างขึ้นยอดเขาทะยานสวรรค์จะต้องมีปะทะกันเป็นแน่”
“ฮ่า ๆ มีแต่ต้องทำเช่นนี้ล่ะถึงจะน่าสนใจ!”
“แต่ก็โหดร้ายเช่นกัน มีคนที่เข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งครั้งนี้ทั้งหมดห้าหมื่นคน แค่เกราะนี่ก็กำจัดคนออกไปได้กว่าสี่ในสิบส่วนแล้ว!”
ในขณะนี้ ทั้งนครหลวงธารสายไหมเกิดเสียงพูดคุยกันอึกทึกครึกโครม
ที่มุมหนึ่งของฝูงชนทั้งหลาย เหวินเสวี่ยนขมวดคิ้วเอ่ยเสียงกังวลเล็กน้อย “เฉินซียังไม่มาอีกหรือ?”
มู่เหยา มู่เหวินเฟย เหยียนเยียน อวิ๋นน่า และเฟยเหลิ่งชุ่ยมองหน้ากัน ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเฉินซีจึงยังไม่ปรากฏตัว
ย่าชิงส่ายหัวพลางหัวเราะเสียงขื่น “ตั้งแต่เขาปิดด่านบ่มเพาะในวันนั้น ในห้องนั้นก็ไม่มีสัญญาณการเคลื่อนไหวใดอีก ให้ตาย สหายผู้นั้นนี่จริง ๆ เชียว ยังไม่ได้ไปลงทะเบียนกับกองเทพองครักษ์ต้าซ่งและรับป้ายหยกเข้าร่วมมาเลย หากไม่มีป้ายหยกก็อย่าแม้แต่จะฝันว่าจะได้ขึ้นสู่ยอดเขาทะยานสวรรค์เลย”
“ท่านแม่ ดูนั่นสิ! ท่านลุงมาแล้ว!” เฉินอวี่ที่มองหาคนมาตลอดพลันร้องออกมาเสียงดังเมื่อเห็นร่างสูงของเฉินซี
ทุกคนเงยหน้าขึ้นมอง จากนั้นจึงเห็นชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาหล่อเหลาในชุดสีฟ้ากำลังมุ่งหน้าเข้ามา นั่นมันไม่ใช่เฉินซีหรอกหรือ?
“ขออภัย ข้ามาช้าไปหน่อย” เฉินซีพูดด้วยน้ำเสียงขอโทษขอโพยเล็กน้อยหลังจากมายืนอยู่ต่อหน้าทุกคนในพริบตา ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เขาได้ทำความเข้าใจกระบวนท่าต่าง ๆ ของหมัดทลายโกลาหลและลืมเวลาไปเสียสนิท หากไม่ใช่เพราะจี้อวี๋เตือนก็เกือบจะพลาดเหตุการณ์สำคัญไปเสียแล้ว
“หยุดพูดไร้สาระแล้วรีบมาลงทะเบียนกับกองเทพองครักษ์ต้าซ่งกับข้าได้แล้ว! หากเจ้าไปสาย เจ้าจะไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันด้วยซ้ำ!” ย่าชิงจ้องเฉินซีเขม็ง ก่อนจะดึงมือเขารุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว