บทที่ 372 พระราชวังธารสายไหม
บทที่ 372 พระราชวังธารสายไหม
ที่ด้านนอกของยอดเขาทะยานสวรรค์
ย่าชิงจ้องมองไปที่ยอดเขาทะยานสวรรค์ ขณะที่นางกวาดสายตาไปรอบ ๆ เพื่อหาร่องรอยของเฉินซี “ด้วยระยะเวลาที่ผ่านไปและความแข็งแกร่งที่มี เขาควรจะมาถึงยอดเขาทะยานสวรรค์ได้แล้ว แต่ทำไมข้าไม่เห็นเขาปรากฏตัวเลย?”
นางสามารถมองเห็นทุกสิ่งบนยอดเขาทะยานสวรรค์ได้อย่างชัดเจนจากตำแหน่งของนาง ภูเขา แม่น้ำ พืช และแม้แต่ร่างของผู้คนมากมาย ทุกอย่างได้เผยออกมาอย่างละเอียดที่สุด
หลังจากก้าวขึ้นไปบนยอดเขาทะยานสวรรค์ ผู้คนจะต้องทนรับแรงกดดันจากพลังงานของเต๋ารู้แจ้ง และยิ่งขึ้นไปบนภูเขาสูงเท่าใด แรงกดดันก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นจึงมีเพียงคนสองประเภทเท่านั้นที่สามารถมาถึงจุดสูงสุดได้
ประการแรกคือผู้บ่มเพาะที่หยั่งถึงเต๋ารู้แจ้งมากกว่าเก้าชนิด
และประการที่สองคือผู้บ่มเพาะที่บรรลุมหาเต๋าระดับที่หกของขอบเขตเริ่มต้น
ย่าชิงได้เฝ้าดูการต่อสู้ทั้งหมดของเฉินซีในระหว่างการชุมนุมธารทอง และนางก็รู้ว่าเต๋ารู้แจ้งที่เฉินซีได้หยั่งถึงนั้นมีมากกว่าเก้าชนิดอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ทุก ๆ ชนิดล้วนเป็นมหาเต๋าที่เกือบจะบรรลุระดับที่หกของขอบเขตเริ่มต้นหรือสูงกว่านั้น
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ เฉินซีจึงสามารถขึ้นไปถึงจุดสูงสุดได้และมันก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น
ย่าชิงจึงไม่ได้กังวลกับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย แต่นางก็กังวลว่าเฉินซีจะประสบกับเหตุร้ายที่ไม่คาดฝัน
เท่าที่นางทราบมา แม้ว่าเฉินซีจะมีสหายอยู่มากมาย แต่ศัตรูของเขาก็มีไม่น้อยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น ศัตรูของเขาทุกคนต่างก็เป็นยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่มีชื่อเสียง พวกเขาล้วนมาจากกองกำลังอันยิ่งใหญ่และเก่าแก่ที่แตกต่างกันไป ซึ่งล้วนมีผู้อาวุโสและศิษย์น้องจำนวนมากจากนิกายเดียวกัน หากกองกำลังเหล่านี้ร่วมมือกันเพื่อจัดการกับคนคนเดียวแล้ว ผลที่ตามมาก็ยากจะคาดถึง
“ท่านลุงอยู่ที่ใดหรือขอรับ?” ที่ด้านข้าง เฉินอวี่น้อยเบิกตากลมโตที่มีสีดำสนิทของเขาและจ้องมองไปยังยอดเขาสวรรค์ด้วยสีหน้าจริงจัง
“ไม่ต้องกังวล ท่านลุงของเจ้าจะปรากฏตัวอย่างแน่นอน” เฟยเหลิ่งชุ่ยยิ้มขณะที่นางปลอบบุตรชาย
“ข้าก็คิดเช่นนั้น พี่ใหญ่เฉินเป็นความภาคภูมิใจในโลกแห่งการบ่มเพาะของดินแดนทางใต้ของเราและเป็นผู้นำในกลุ่มคนรุ่นเยาว์ที่สามารถสร้างปาฏิหาริย์มานับไม่ถ้วน เขาจะปรากฏตัวอย่างแน่นอน อีกทั้งยังสามารถขึ้นไปสู่จุดสูงสุดได้อีกด้วย!” ดวงตาของมู่เหวินเฟยเป็นประกายในขณะที่เขามองไปยังยอดเขาทะยานสวรรค์ และกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นที่แฝงไปด้วยความรู้สึกเร่าร้อน
ณ ปัจจุบัน เฉินซีเป็นบุคคลในตำนานในหัวใจของเหล่าคนหนุ่มสาวในโลกแห่งการบ่มเพาะของดินแดนทางตอนใต้ เขาได้รับอันดับหนึ่งในการจัดอันดับมังกรซ่อน และได้รับชัยชนะถึงหนึ่งร้อยครั้งติดต่อกันในการชุมนุมธารทอง ซึ่งได้สร้างประวัติศาสตร์ให้กับโลกแห่งการบ่มเพาะทั้งหมดของดินแดนทางตอนใต้ บุคคลที่ทรงอิทธิพลเช่นนี้จะไม่สามารถผ่านแม้แต่การทดสอบครั้งแรกของการชุมนุมดาวรุ่งได้อย่างไร?
มู่เหวินเฟยยึดถือเฉินซีเป็นแบบอยู่เสมอ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเทิดทูนและเคารพเฉินซีอย่างบ้าคลั่ง ดังนั้นเขาจึงไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะไม่สามารถขึ้นไปบนยอดเขาทะยานสวรรค์ได้
สายตาของอวิ๋นน่า เหยียนเยียน และมู่เหยากวาดไปทั่วยอดเขาทะยานสวรรค์อย่างรวดเร็วและส่องผ่านทุกร่างบนนั้น
“ดูนั่นสิ” จู่ ๆ อวิ๋นน่าก็โพล่งออกมาขณะที่นางจ้องไปยังทิศทางหนึ่ง
เหยียนเยียนกับมู่เหยาต่างก็เบนสายตามองไปยังทิศทางนั้นในทันที และแน่นอนว่าที่มุมหนึ่งที่ตีนเขาทะยานสวรรค์ มีร่างสูงโปร่งกำลังปีนขึ้นไปบนภูเขา และเขาก็ปะปนอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่หนาแน่น ทำให้ชายหนุ่มเป็นที่สังเกตเห็นได้ยากมาก
“พี่ใหญ่เฉินซี!” ดวงตาของมู่เหยาเป็นประกาย
“ในที่สุดเจ้าหนุ่มขี้ขลาดคนนี้ก็ได้ปรากฏตัวแล้ว!” ความตื่นเต้นผุดขึ้นมาในใจของเหยียนเยียนด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่อาจทราบได้ แม้ว่านางจะรู้ว่าความแข็งแกร่งของเฉินซีนั้นแข็งแกร่งมากแค่ไหน แต่นางก็ยังอดไม่ได้ที่จะมองว่าเขาเป็นจอมขี้ขลาดคนนั้น และนางมักจะกล่าวถึงเฉินซีเช่นนี้ในใจอยู่เสมอ
นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนที่อยู่ใกล้เคียงก็สังเกตเห็นเฉินซีอย่างรวดเร็วเช่นกัน และเขายิ้มอย่างอบอุ่นในขณะที่ดวงตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
อันที่จริง ในขณะนี้ ผู้คนในนครหลวงธารสายไหมที่มาจากทั่วแผ่นดินซ่งต่างก็เงยหน้าขึ้นมองด้วยความตั้งใจที่จะค้นหาคนที่พวกเขารู้จัก พวกเขาทั้งหมดเฝ้ารออย่างเงียบ ๆ ว่าคนของพวกเขาจะสามารถมาถึงจุดสูงสุดของยอดเขาทะยานสวรรค์ได้อย่างปลอดภัย
…
ณ พระราชวังธารสายไหม
บัลลังก์ตรงกลางที่ประดับด้วยมังกรเก้าตัวนั้นว่างเปล่า แต่รอบ ๆ ห้องโถงกลับเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย
ที่ด้านหน้าของบัลลังก์นั้นมีชายวัยกลางคนสองคน คนหนึ่งสวมชุดเกราะสีดำ เขามีสีหน้าที่เย็นชาและเฉยเมย ส่วนอีกคนสวมชุดบัณฑิตซึ่งมีท่าทางที่สง่าและได้รับการสั่งสอนมาเป็นอย่างดี
คนเหล่านี้คือแม่ทัพใหญ่หลัวหุน และมหาเสนาบดีเจียงฉง ทั้งสองคนเป็นมือขวาและมือซ้ายของจักรพรรดิฉู่ ซึ่งทำหน้าที่สั่งการและควบคุมเหล่านักรบและขุนนางทั้งหมดในราชวงศ์ซ่ง นอกจากนี้สถานะของพวกเขาก็เป็นที่เคารพนับถือเป็นอย่างมาก จนแม้แต่พระญาติของจักรพรรดิบางคนก็ยังด้อยกว่าเล็กน้อย
ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองคนยังเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีซึ่งไม่อาจหยั่งถึงความแข็งแกร่งได้ ในหมู่พวกเขา แม่ทัพใหญ่หลัวหุนได้ผ่านทัณฑ์สวรรค์ระดับที่แปดมาแล้ว และเขาเหลือเพียงทัณฑ์สวรรค์อีกครั้งเดียวก็จะกลายเป็นเซียนสวรรค์!
มหาเสนาบดีเจียงฉงก็ไม่เลวเช่นกัน และเขามีฐานการบ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีระดับที่เจ็ด
ซึ่งในขณะนี้ จักรพรรดิฉู่ได้เสด็จลงมายังใจกลางโลกเพื่อเตรียมการเปิดสระมังกรแปลง ดังนั้นการชุมนุมดาวรุ่งจึงปล่อยให้พวกเขาจัดการ
ส่วนคนอื่น ๆ ที่อยู่ด้านล่างก็ถูกแบ่งออกเป็นสองแถว และทุกคนนั่งไขว่ห้างอยู่ตรงหน้าโต๊ะ
ผู้ที่อยู่ใกล้แถวหน้าที่สุดย่อมเป็นพระญาติของจักรพรรดิ จ้าวปัญญาหวงฝู่จิ่งเทียน จ้าวขุนศึกหวงฝู่ไท่อู่ จ้าวปกครองหวงฝู่ไท่ไหล และจ้าวทรงธรรมหวงฝู่เจิ้งหงล้วนนั่งอยู่ในตอนนี้
ที่ด้านหลังของพวกเขาคือยอดฝีมือขอบเขตเซียนปฐพีที่มาจากทั่วแผ่นดินราชวงศ์ซ่ง เช่น แดนเถื่อนทางตอนเหนือ ดินแดนทางใต้ ที่ราบตอนกลาง และทะเลตะวันออก ยอดฝีมือขอบเขตเซียนปฐพีเหล่านี้ถูกแบ่งออกเป็นสี่กลุ่ม
ในหมู่พวกเขา ยอดฝีมือขอบเขตเซียนปฐพีของที่ราบตอนกลางมีจำนวนมากที่สุด รวมแล้วมีมากกว่าสามสิบคน เช่น นักพรตเต๋าหลงเหอจากนิกายกระเรียนพิสุทธิ์ ชงซวี่ผู้ไร้ขอบเขตจากนิกายเตากลั่นเซียนนพเก้า และจ้าวจื๋อเหม่ยจากนิกายเซียนปฐพีล้วนอยู่ท่ามกลางพวกเขา
ถัดไปคือทะเลตะวันออกที่มียอดฝีมือขอบเขตเซียนปฐพีกว่าสิบคน เช่นโม่หลานไห่แห่งเกาะฉลามมังกร ท่านหญิงอิ่นฉยงแห่งเกาะบ่อหยกสวรรค์ และอื่น ๆ อีกมากมาย
หลังจากนั้นก็เป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนปฐพีทั้งแปดคนจากแดนเถื่อนทางตอนเหนือ และราชาหลิวเสี่ยวแห่งภูเขานภาลัยก็เป็นที่น่าประหลาดใจในหมู่พวกเขา
สุดท้ายก็เป็นยอดฝีมือเขตเซียนปฐพีของดินแดนทางใต้ ซึ่งมีเพียงบรรพจารย์สูงสุดเป่ยเหิงแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจรนั่งอยู่ที่นั่นเพียงลำพัง และสถานการณ์ของเขาดูเหมือนจะค่อนข้างอึดอัด
แน่นอนว่ามีเฒ่าประหลาดบางคนที่อาศัยอยู่อย่างสันโดษ แต่ใคร ๆ ก็สามารถแยกแยะมาตรฐานของโลกแห่งการบ่มเพาะของดินแดนต่าง ๆ ของราชวงศ์ซ่งได้จากสิ่งนี้ ที่ราบทางตอนกลางนั้นแข็งแกร่งที่สุด ดินแดนทางใต้นั้นอ่อนแอที่สุด ส่วนทะเลตะวันออกและแดนเถื่อนทางตอนเหนืออยู่ในระดับปานกลาง
ยอดฝีมือขอบเขตเซียนปฐพีเกือบหกสิบคนมารวมตัวกันที่พระราชวังธารสายไหม และนี่เป็นจำนวนที่พอจะทำให้ทุกคนต้องรู้สึกหวาดกลัวได้
ในขณะนี้ สหายเก่าเหล่านี้กำลังดื่มสุราและกล่าวคุยกันขณะที่พวกเขาเฝ้าดูสถานการณ์บนยอดเขาทะยานสวรรค์ที่อยู่ห่างไกลออกไป
“การชุมนุมดาวรุ่งครั้งนี้เรียกได้ว่าเต็มไปด้วยอัจฉริยะ แค่เฉพาะจำนวนผู้ลงทะเบียนก็มากถึงห้าหมื่นหกพันคนแล้ว ซึ่งถือได้ว่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังมีอัจฉริยะมากมายในหมู่พวกเขา มันยิ่งใหญ่อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนจริง ๆ” เสียงของขุนนางเจียงฉงนั้นอบอุ่นและไพเราะเหมือนเสียงระฆังยามเช้า ทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังอาบสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิ จากนั้นเขาก็กล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้มว่า “ดูสิ ชิงซิ่วอี้แห่งนิกายกระเรียนพิสุทธิ์ จ้าวชิงเหอแห่งหอหยกนภา หวงฝู่ฉางเทียนแห่งตำหนักจ้าวปัญญา เจิ้นหลิวชิงแห่งหอวารีหมอก และคนอื่น ๆ ได้มาถึงที่ความสูงเก้าสิบลี้ในเวลาเพียงครึ่งวัน ผลลัพธ์เช่นนี้หาได้ยากในการชุมนุมดาวรุ่งครั้งก่อน และการบ่มเพาะของพวกเขาก็น่าประทับใจ”
“ฮ่า ๆ ท่านมหาเสนาบดี ท่านชมเกินไปแล้ว”
“ฮ่า ๆ ศิษย์ของข้าไม่สามารถรับคำชมเชยเช่นนั้นจากท่านได้ ท่านมหาเสนาบดี”
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอขอบคุณท่านมหาเสนาบดีสำหรับคำอวยพรของท่าน”
เมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งนี้ นักพรตเต๋าหลงเหอแห่งนิกายกระเรียนพิสุทธิ์ นักพรตเฒ่าโสโครกจากหอหยกนภา จ้าวปัญญาหวงฝู่จิ่งเทียน และคนอื่น ๆ ต่างก็หัวเราะกันอย่างเต็มที่และยินดีเป็นอย่างยิ่ง
แม้ว่ายอดฝีมือเซียนปฐพีคนอื่นจะไม่ค่อยพอใจ แต่พวกเขาก็ต้องยอมรับว่าคำกล่าวของมหาเสนาบดีนั้นเป็นความจริง ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์ ต้นกำเนิด หรือรากฐาน อัจฉริยะที่ถูกกล่าวถึงเหล่านี้ได้บรรลุความสูงที่น่าสะพรึงกลัวแล้ว ซึ่งพวกเขาก็เป็นหนึ่งในหมื่น และมันก็สามารถทำให้พวกเขาถูกเรียกว่าสัตว์ประหลาดที่ไม่มีใครเทียบได้ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้สามารถเห็นได้จากการปรากฏกายของพวกเขาบนยอดเขาทะยานสวรรค์
“แล้วจากมุมมองของสหายนักพรตเต๋า ใครจะเป็นอันดับหนึ่งในการชุมนุมดาวรุ่งครั้งนี้หรือ?” มหาเสนาบดีเปลี่ยนหัวข้อสนทนาและถามพร้อมด้วยรอยยิ้ม
“ยอดเขาทะยานสวรรค์เป็นเพียงการทดสอบแรกในการชุมนุมดาวรุ่ง และดูเหมือนว่าจะยังยากที่จะสรุปว่าเป็นผู้ใด?” จ้าวขุนศึกหวงฝู่ไท่อู่เป็นคนแรกที่กล่าวออกมา
มหาเสนาบดีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มันเป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น ดังนั้นมันจึงน่าสนใจถ้าเป็นเช่นนั้น”
“ข้าคิดว่าน่าจะเป็นชิงซิ่วอี้ หญิงสาวคนนี้เป็นเซียนสวรรค์กลับชาติมาเกิดและได้บรรลุขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์แบบเมื่อนานมาแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะการเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่ง ด้วยพรสวรรค์ของนางคงจะสามารถบรรลุสู่ขอบเขตจุติไปตั้งนานแล้ว แม้ว่านางจะระงับการบ่มเพาะของตนเองตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ก็เป็นเพราะสิ่งนี้เองที่ทำให้นางพิเศษยิ่งขึ้นไปอีก” ใครบางคนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวออกมาช้า ๆ
นักพรตเต๋าหลงเหอลูบเคราของเขาและยิ้มเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขาก็รู้สึกภาคภูมิใจอย่างมาก จากนั้นเขาจึงประสานกำปั้นและกล่าวว่า “ขอบคุณสหายนักพรตเต๋าที่แสดงความกรุณาเช่นนี้”
“ฮึ่ม! ชิงซิ่วอี้นั้นไม่ธรรมดาจริง ๆ แต่จ้าวชิงเหอแห่งหอหยกนภาก็เกิดมาพร้อมกับบุคลิกที่สูงส่งและไม่ยอมใคร เพื่อประโยชน์ในการสั่งสอนศิษย์ของเขา นักพรตเฒ่าโสโครกได้ขัดเกลาร่างกายของศิษย์ด้วยแก่นโลหิตของเทพอสูรโบราณ และด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบัน แม้แต่ชิงซิ่วอี้ก็อาจพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของเขา” มีคนไม่เห็นด้วยและโต้เถียงออกไป
นักพรตเฒ่าโสโครกเหลือบมองด้วยท่าทางแปลก ๆ และหัวเราะเบา ๆ “เหตุใดน้ำเสียงของเจ้าถึงดูกระแนะกระแหนอย่างนั้นเล่า? เจ้าอิจฉานักพรตเฒ่าคนนี้หรือ? มอบสมบัติอมตะแปดสิบหรือร้อยชิ้นแก่ข้าสิ แล้วข้าจะให้เจ้าเป็นอาจารย์ในนามของลูกศิษย์ของข้า เป็นอย่างไรเล่า?”
ทุกคนต่างก็หัวเราะไม่หยุดเมื่อได้ยินสิ่งนี้ จากนั้นบรรยากาศก็ครึกครื้น
ยอดฝีมือขอบเขตเซียนปฐพีเหล่านี้ล้วนมองศิษย์ของพวกเขาในเชิงบวก และย่อมไม่มั่นใจเป็นธรรมดาว่าศิษย์ของคนอื่นจะพิเศษเพียงใด และพวกเขาก็เริ่มโต้เถียงกันในทันที
มีเพียงเป่ยเหิงเท่านั้นที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะและดื่มสุราอยู่ลำพัง ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากสนทนา แต่เป็นเพราะนอกจากเฉินซีแล้ว ก็ไม่มีอัจฉริยะที่ส่องประกายเฉิดฉายจากดินแดนทางใต้ที่เข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งเลย
ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากเฉินซีมีความเป็นปฏิปักษ์ค่อนข้างลึกล้ำกับศิษย์ของตำหนักจ้าวปัญญา นิกายเซียนปฐพีและกองกำลังอื่น ๆ มันจึงไม่เหมาะสำหรับเขาที่จะเอ่ยชื่อเฉินซีในขณะนี้
ดังนั้นเป่ยเหิงจึงทำได้เพียงแค่ปิดปากเงียบและฟังการสนทนาของคนอื่น ๆ
“สหายนักพรตเต๋าเป่ยเหิง ท่านมีบุคคลที่น่าเกรงขามในดินแดนทางใต้ของท่านหรือไม่” ในขณะนี้ มีเสียงหนึ่งดังก้องอยู่ที่ข้างหูของเขา และเมื่อเป่ยเหิงเงยหน้าขึ้นมอง เขาก็เห็นมหาเสนาบดีกำลังมองมาที่เขาพร้อมด้วยร้อยยิ้มไมตรี
เมื่อกล่าวถึงดินแดนทางใต้ สายตาของคนอื่น ๆ ในห้องโถงก็แปลกไปในทันที
เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าดินแดนทางใต้เป็นสถานที่ที่มีพลังอ่อนแอที่สุดในโลกแห่งการบ่มเพาะของแผ่นดินซ่ง และแทบไม่มีใครให้ความสนใจว่ามีผู้เยาว์ที่น่าเกรงขามจะปรากฏตัวในดินแดนทางใต้หรือไม่
ในการชุมนุมดาวรุ่งครั้งก่อนก็ไม่มีคนจากดินแดนทางตอนใต้ที่ติดหนึ่งร้อยอันดับแรกแม้แต่คนเดียว!
เป็นเพราะเหตุนี้เอง ยอดฝีมือขอบเขตเซียนปฐพีเหล่านี้จึงมักตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจที่จะมองข้ามผู้บ่มเพาะรุ่นเยาว์ของดินแดนทางใต้ เมื่อพวกเขากล่าวถึงอัจฉริยะรุ่นเยาว์ในการชุมนุมดาวรุ่งครั้งนี้
เป่ยเหิงคาดเดาไม่ออกว่าทำไมมหาเสนาบดีถึงถามเขาด้วยคำถามนี้ แต่เขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะรวบรวมความกล้าและกล่าวว่า “แน่นอน ข้าเชื่อว่าทุกคนย่อมเคยได้ยินชื่อของคนผู้นี้ น้องชายร่วมสาบานของข้า เฉินซี!”