บทที่ 373 การโต้กลับที่รุนแรง
บทที่ 373 การโต้กลับที่รุนแรง
เมื่อชื่อของเฉินซีถูกเอ่ยถึง ทั้งพระราชวังธารสายไหมก็ตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะ
หวงฝู่จิ่งเทียน นักพรตเต๋าหลงเหอ โม่หลานไห่ ชงซวี่ผู้ไร้ขอบเขต หลิวเสี่ยว และจ้าวจื๋อเหม่ยต่างก็มีสีหน้าค่อนข้างมืดมน ดวงตาของพวกเขาเป็นเสมือนกระบี่ขณะที่พวกเขาจ้องมองไปที่เป่ยเหิงอย่างเย็นชา
ยอดฝีมือขอบเขตเซียนปฐพีทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนเคยได้ยินชื่อของเฉินซี เหตุผลนั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายมาก เรื่องที่หวงฝู่จิ่งเทียนและคนอื่น ๆ มอบหมายให้ตำหนักตะวันดำทำหน้าที่ลอบสังหารเฉินซีโดยการซุ่มโจมตีนั้นเป็นที่เลื่องลือ และการปกปิดมันก็แทบเป็นไปไม่ได้แม้ว่าพวกเขาจะต้องการก็ตาม
ทุกคนล้วนเคยได้ยินเหตุผลของการลอบสังหารมาอยู่บ้าง เนื่องจากเฉินซีครอบครองสมบัติอมตะอยู่หลายชิ้น อีกทั้งยังได้รับสมบัติมากมายจากขุมสมบัติเฉียนหยวนในห้วงทะเลทรายมรณะ ซึ่งเดิมทีหวงฝู่จิ่งเทียนและคนอื่น ๆ ต้องการยึดครองมัน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่ทราบสาเหตุ ทำให้พวกเขาต้องกลับไปมือเปล่าในท้ายที่สุด
ทุกคนล้วนตระหนักถึงเรื่องนี้อยู่ในใจ แต่หากพวกเขากล่าวถึงมัน มันอาจจะทำลายชื่อเสียงของหวงฝู่จิ่งเทียนและคนอื่น ๆ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่อาจทำให้พวกเขาต้องขุ่นเคือง และคนพวกนี้ล้วนผ่านประสบการณ์ชีวิตมาอย่างยาวนาน ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าใจหลักการนี้ดี
ดังนั้นในระหว่างการสนทนาก่อนหน้านี้ พวกเขาจึงจงใจเลี่ยงชื่อของเฉินซีเพื่อไม่ทำให้ทั้งหกคนนี้ไม่พอใจ
แต่ในขณะนี้ เป่ยเหิงกลับกล่าวถึงชื่อของเฉินซีออกมาและไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันได้จี้ใจดำของคนทั้งหก จนเผยให้เห็นรอยแผลเป็นที่น่าอับอาย ดังนั้นบรรยากาศจึงเงียบลงไปโดยปริยาย
หัวใจของเป่ยเหิงบีบรัดเมื่อเขารู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศ และสีหน้าของเขาก็ดูไม่เป็นธรรมชาติอยู่เล็กน้อย แต่เขาไม่เสียใจเลยที่เอ่ยชื่อของเฉินซี
“เฉินซี? ข้าเคยได้ยินชื่อของเด็กคนนี้ด้วย”
มหาเสนาบดีกวาดสายตามองทุกคน ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้สังเกตเห็นบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงไป จากนั้นเจ้าตัวจึงกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “เขาเป็นยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่ได้รับชัยชนะหนึ่งร้อยครั้งติดต่อกันในการชุมนุมธารทอง และเป็นชายหนุ่มเพียงคนเดียวจากโลกแห่งการบ่มเพาะของดินแดนทางใต้ที่ได้รับความสำเร็จเช่นนี้ เขาไม่ธรรมดาจริง ๆ”
ทุกคนต่างมองหน้ากันแต่ไม่มีผู้ใดตอบกลับไป
ใบหน้าของหวงฝู่จิ่งเทียนและคนอื่น ๆ เริ่มมืดมนยิ่งขึ้น เห็นได้ชัดว่ามหาเสนาบดีจงใจทำเช่นนี้เพื่อให้พวกเขาอับอาย!
แต่เพราะเกรงต่อสถานะของมหาเสนาบดี พวกเขาจึงต้องฝืนเก็บความขุ่นเคืองไว้ในใจของตัวเอง
มหาเสนาบดีไม่ได้สนใจทัศนคติของทุกคนและรอยยิ้มของเขายังคงอยู่ ขณะที่เขาถามต่อไปด้วยความสนใจ “สหายนักพรตเต๋าเป่ยเหิง ท่านช่วยชี้ได้หรือไม่ว่าเฉินซีคือคนไหน? เพื่อที่ข้าจะได้เป็นสักขีพยานต่อความแข็งแกร่งของเขา”
เป่ยเหิงสังเกตเห็นอย่างเฉียบขาดว่า มหาเสนาบดีจงใจทำให้หวงฝู่จิ่งเทียนขุ่นเคือง และเขาอดไม่ได้ที่จะสงสัยในใจ ‘เหตุใดเขาถึงทำเช่นนี้? หรือว่ามหาเสนาบดีต้องการตีสนิทกับน้องร่วมสาบานของข้าหรือ?’
“ท่านมหาเสนาบดี โปรดดูนั่น ชายหนุ่มร่างสูงในชุดสีฟ้าคนนั้นคือน้องชายร่วมสาบานของข้า เฉินซี” แม้ว่าในใจของเขาจะสงสัย แต่เป่ยเหิงยังคงชี้ไปยังยอดเขาทะยานสวรรค์ที่อยู่ห่างไกลและตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ที่ระยะสิบห้าลี้หรือ?” มหาเสนาบดีกวาดสายตามองไปยังยอดเขาทะยานสวรรค์และตกตะลึง จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “แม้ว่าเขาจะขึ้นไปได้ไม่สูงเท่าคนอื่น ๆ แต่ความเร็วของเขาก็ลึกล้ำยิ่งนัก มันไม่เร็วและไม่ช้า มีระยะทางคงที่ และสีหน้าของเขาก็ผ่อนคลาย เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ทนทุกข์ทรมานจากแรงกดดันของเต๋ารู้แจ้งมากนัก และด้วยแรงผลักดันนี้ เขาจะสามารถเอาชนะคนอื่น ๆ ได้ในไม่ช้า” ขณะที่เขากล่าวมาถึงจุดนี้ น้ำเสียงของเขาเผยให้เห็นร่องรอยของการชมเชย
ยอดฝีมือขอบเขตเซียนปฐพีที่อยู่ในห้องโถงในขณะนี้ต่างก็มองไปที่เฉินซีทีละคน และพวกเขาค่อนข้างเห็นด้วยกับมุมมองของมหาเสนาบดี
สายตาของพวกเขาล้วนเฉียบแหลมเป็นอย่างมากและพวกเขาสามารถแยกแยะได้ว่า แม้ความเร็วในการเดินบนยอดเขาทะยานสวรรค์ของเฉินซีจะไม่รวดเร็วนัก แต่สีหน้าของเขาก็ผ่อนคลายในขณะที่เดินด้วยความเร็วที่ไม่เร็วหรือช้าเกินไป และเขาก็เดินขึ้นไปอยู่ตลอดเวลาโดยไม่หยุดนิ่งแม้แต่น้อย ซึ่งเมื่อเทียบสภาพที่ดูไม่ได้และยากลำบากของคนอื่น ๆ ในขณะที่กำลังเดินขึ้นไปบนยอดเขาทะยานสวรรค์อยู่นั้น เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มเหนือกว่าหลายเท่า
“ความแข็งแกร่งของเจ้าเด็กคนนี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ!”
ยอดฝีมือขอบเขตเซียนปฐพีเหล่านี้เคยได้ยินแต่ชื่อของเฉินซีเท่านั้น และพวกเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมากเมื่อเห็นชายหนุ่มในตอนนี้ แต่เพราะเกรงว่าจะทำร้ายใบหน้าของหวงฝู่จิ่งเทียนและคนอื่น ๆ จึงไม่มีใครกล่าวถึงเรื่องนี้
ปัง!
ทันใดนั้น เสียงโครมครามก็ดังขึ้นในห้องโถงและทำให้ทุกคนตกใจ เมื่อพวกเขาหันกลับไปมอง พวกเขาก็เห็นว่าเป่ยเหิงได้ทุบโต๊ะตรงหน้าเขาอย่างกะทันหัน และทั้งใบหน้าของเขาก็แดงก่ำราวกับว่ากำลังโกรธถึงขีดสุด
“ทุกคน ดูที่ความสูงสิบห้าลี้บนยอดเขาทะยานสวรรค์!” เป่ยเหิงชี้ไปที่ยอดเขาทะยานสวรรค์ที่อยู่ห่างไกลและกัดฟันแน่น “พวกมันมีทั้งหมดสิบสามคน แต่พวกมันกลับขัดขวางเส้นทางของน้องร่วมสาบานของข้า ซึ่งเห็นได้ชัดว่าพวกมันมีเจตนาร้ายและต้องการกระทำเรื่องเลวทราม วิธีการดังกล่าวทั้งน่ารังเกียจและสกปรกที่สุด!”
ทุกคนต่างมองไปที่นั่น เช่นเดียวกับที่เป่ยเหิงกล่าว มีศิษย์รุ่นเยาว์สิบสามคนกำลังยืนขวางเส้นทางของเฉินซีอยู่ และการเผชิญหน้าของทั้งสองฝ่ายที่พร้อมจะต่อสู้ได้ทุกเมื่อนั้น ใคร ๆ ก็สามารถสังเกตเห็นได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาจำตัวตนของศิษย์ทั้งสิบสามคนได้ ทุกคนก็เข้าใจทันทีว่าทำไมเป่ยเหิงถึงโกรธเกรี้ยว และถ้าเป็นพวกเขาเองละก็ พวกเขาก็อาจจะไม่สามารถควบคุมเปลวไฟแห่งโทสะในใจได้เช่นกัน เหตุผลนั้นก็ง่ายดายมากเพราะว่าทั้งสิบสามคนนี้ล้วนเป็นศิษย์ของหวงฝู่จิ่งเทียนและนิกายอื่น ๆ ซึ่งแม้แต่คนโง่เขลาก็สามารถแยกแยะได้ว่านี่เป็นแผนการแก้แค้นของกองกำลังทั้งหกที่เป็นศัตรูกับเฉินซี!
บางทีอาจจะเป็นหวงฝู่จิ่งเทียนกับคนอื่น ๆ ที่ทำให้ทั้งสิบสามคนต้องกระทำเช่นนั้น…
แม้แต่มหาเสนาบดีก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว แต่เขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เนื่องจากนี่คือการชุมนุมดาวรุ่ง และตราบใดที่ไม่มีใครฝ่าฝืนกฎ ก็จะไม่มีผู้ใดที่สามารถกล่าวอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้
“ฮ่า ๆ สหายนักพรตเต๋าเป่ยเหิง คำกล่าวของเจ้าผิดแล้ว หากใครต้องการผ่านการทดสอบของยอดเขาทะยานสวรรค์ ความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียวนั้นคงไม่เพียงพอ เนื่องจากมันทดสอบทั้งนิสัยใจคอและสติปัญญาในระดับสูง หากปรารถนาจะเหนือกว่าผู้อื่น มันจะเป็นไปได้อย่างไรหากปราศจากกลยุทธ์และสติปัญญา?” จู่ ๆ หวงฝู่จิ่งเทียนก็เริ่มหัวเราะเสียงดังในขณะที่เขากล่าวด้วยเสียงที่เหมือนฟ้าร้องดังก้องไปทั่วห้องโถง
“ฮึ่ม! ตั้งแต่เริ่มต้น การชุมนุมดาวรุ่งจะต้องเป็นการแข่งขันที่โหดเหี้ยม หากทุกคนยึดมั่นในกฎและมีความคิดที่ดีอยู่ในใจ แล้วการแข่งขันนี้จะคัดเลือกยอดฝีมือที่แท้จริงได้อย่างไร”
“ถูกต้อง ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกำลังและสติปัญญาของตนเอง ตราบใดที่ไม่ละเมิดกฎ การกระทำใด ๆ ก็สามารถทำได้ แม้ว่าเขาจะถูกฆ่าตาย เขาก็สมควรได้รับมัน และเขาไม่สามารถโกรธแค้นใครได้ เพราะมันก็เคยมีคนจำนวนมากที่เสียชีวิตอย่างน่าอนาถในการต่อสู้ของการชุมนุมดาวรุ่งครั้งก่อน!”
นักพรตเต๋าหลงเหอ โม่หลานไห่ จ้าวจื๋อเหม่ยและคนอื่น ๆ กล่าวออกมาอย่างต่อเนื่อง ดวงตาของพวกเขาเหมือนกระบี่ที่แฝงความหนาวเย็น และพวกเขาล้วนจ้องมองไปที่เป่ยเหิงด้วยท่าทางเย็นชาและดูถูกเหยียดหยาม
ใบหน้าของเป่ยเหิงแดงก่ำและโกรธจนตัวสั่น แต่เขาไม่สามารถโต้แย้งได้ เพราะสิ่งที่ไอ้เฒ่าพวกนี้กล่าวมาคือเรื่องจริง ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่คนนับสิบรุมล้อมคนคนเดียว แม้แต่คนนับร้อยรุมล้อมคนคนเดียวก็เคยเกิดขึ้นในการชุมนุมดาวรุ่งครั้งก่อนเช่นกัน
“ดูนั่นสิ! การต่อสู้เริ่มขึ้นแล้ว!” หนึ่งในยอดฝีมือขอบเขตเซียนปฐพีกล่าวออกมา และมันก็ดึงดูดสายตาของทุกคนไปยังยอดเขาทะยานสวรรค์ทันที
“น่ารังเกียจ!”
“ไอ้สารเลวพวกนี้ไร้ยางอายจริง ๆ แล้วยังรังแกคนอื่นด้วยจำนวน! พวกมันไม่มีความละอายเลย!”
“เฉินซีกำลังมีปัญหา และครั้งนี้เขาอาจจะตกอยู่ในอันตราย”
“แน่นอน พวกมันเป็นศิษย์ของกองกำลังทั้งหกเหล่านั้น ข้ารู้ว่าพวกมันจะไม่ปล่อยเขาไปอย่างง่าย ๆ”
ในนครหลวงธารสายไหม ย่าชิง อวิ๋นน่า เหยียนเยียนและคนอื่น ๆ ได้เห็นฉากนี้เช่นกัน พวกนางโกรธเกรี้ยวและกังวลเกี่ยวกับเฉินซีเป็นอย่างมาก
ณ ยอดเขาทะยานสวรรค์ ที่ระดับความสูงสิบห้าลี้
เฉินซียืนอยู่คนเดียวในขณะที่ถูกผู้บ่มเพาะทั้งสิบสามคนล้อมเป็นรูปพัด และเมื่อผู้บ่มเพาะคนอื่นเห็นสิ่งนี้ พวกเขาก็รีบหลบออกไปโดยพร้อมเพรียงกัน เนื่องจากพวกเขาเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อตัวเองหากไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ทัน
“ฮ่า ๆ คนผู้นี้จะต้องลำบากแน่ ๆ”
“ดูเหมือนความสัมพันธ์ของชายคนนี้กับคนอื่น ๆ จะไม่ค่อยดีนัก เขาจึงถูกคนมากมายล้อมและขัดขวางที่นี่”
“เฮ้อ อนิจจา รีบออกไปกันเถอะ เรื่องเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่เราจะสอดมือเข้าไปยุ่ง”
เมื่อพวกเขาได้ยินการสนทนาของทุกคน ศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งสิบสามคนจากกองกำลังทั้งหกก็เผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา และมองไปยังเฉินซีด้วยสายตาราวกับกำลังจ้องมองคนตาย
ท่าทางของเฉินซีนั้นนิ่งสงบขณะที่เขากำลังประเมินคนทั้งสิบสามคนอย่างไม่แยแส จากนั้นชายหนุ่มก็เคลื่อนไหวอย่างดุร้ายทันที!
แน่นอนว่าเขาไม่กล่าวอะไรออกมาเลยสักคำ
ในขณะนี้ ไม่จำเป็นต้องมีคำกล่าวใด ๆ สถานการณ์ตรงหน้าเขาได้ถูกกำหนดมาตั้งนานแล้วว่า การต่อสู้จะไม่จบลงหากไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียชีวิต และมันไม่มีที่ว่างสำหรับการพูดคุยอีกต่อไป
“ฆ่า!” ทันทีที่เฉินซีเคลื่อนไหว เขาก็กระตุ้นเจตนาที่จะฆ่าคนเหล่านี้ทั้งหมด ร่างของชายหนุ่มวาบไปโผล่ที่ตรงหน้าของหนึ่งในนั้นราวกับภูตผี จากนั้นยันต์ศัสตราก็พุ่งผ่านท้องฟ้าเหมือนสายรุ้งที่ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน และมันก็ทะลวงลำคอของคนผู้นี้ในทันที ทำให้สายเลือดพุ่งออกมา
หลังจากที่ฆ่าคนคนนี้แล้ว เฉินซีก็ไม่ได้หยุดเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่ร่างของเขาจะเอนไปด้านข้างและยืดตัวออกไป จากนั้นยันต์ศัสตราก็พลิกขึ้นและฟันอย่างรุนแรงไปยังผู้บ่มเพาะที่อยู่ด้านข้าง
ปัง!
ทันทีที่ผู้บ่มเพาะคนนั้นเพิ่งยกอาวุธในมือขึ้น อีกฝ่ายก็ถูกสับเป็นชิ้น ๆ โดยยันต์ศัสตราที่แหลมคมจนเทียบได้กับสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ และแม้แต่ร่างกายของคนผู้นั้นยังถูกผ่าออกเป็นสองส่วน ทำให้อวัยวะภายในสีสดใสที่ผสมกับเลือดสีแดงสาดกระจายไปทั่วพื้น
ในชั่วพริบตา ศิษย์ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์แบบสองคนก็สังหารพร้อมกัน และก่อนที่พวกเขาจะตาย ใบหน้าของพวกเขายังเต็มไปด้วยความประหลาดใจราวกับไม่เคยคิดมาก่อนว่าทุกอย่างจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ไม่ต้องกล่าวถึงพวกเขาสองคน แม้แต่สหายของพวกเขาก็ไม่เคยคาดคิดเลยว่าเฉินซีจะโหดเหี้ยมขนาดนี้ โจมตีด้วยความตั้งใจและไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ทำให้พวกเขาไม่ทันตั้งตัวและถูกโจมตีอย่างกะทันหัน!
อันที่จริง พวกเขาตื่นตัวและพร้อมรบอยู่ตลอดเวลา และไม่อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาไม่ทันตั้งตัว แต่สิ่งที่พวกเขาคาดไม่ถึงนั้นคือความเร็วของเฉินซีนั้นเร็วเกินไป และพลังโจมตีของชายหนุ่มก็น่าสะพรึงกลัวเช่นกัน ทำให้พวกเขาไม่มีเวลาแม้แต่จะโต้กลับและสูญเสียสหายไปสองคน
“เจ้าเด็กนี่มันไม่ธรรมดา ทุกคน ลงมือพร้อมกันเถอะ!”
“บัดซบ! ฆ่าไอ้สารเลวนี้ซะ!”
“ฆ่า!” คนที่เหลืออยู่เพียงสิบเอ็ดคนต่างตะโกนออกมาด้วยความโกรธ และพวกเขาได้ใช้กำลังทั้งหมดเพื่อที่จะปิดล้อมและสังหารเฉินซี
ทว่าเฉินซีกลับไม่ได้หวาดกลัวและดีใจเมื่อเห็นสิ่งนี้ เขากังวลว่าคนเหล่านี้จะหนีไปโดยไม่ต่อสู้ ซึ่งมันจะน่าเสียดายเป็นอย่างมาก แต่ในตอนนี้ พวกมันยังคงสามารถรวบรวมความกล้าที่จะบุกโจมตีได้ ดังนั้นเขาจะไม่รู้สึกดีใจได้อย่างไร?
“ฆ่า!” ปราณแท้ในร่างกายของเฉินซีได้พวยพุ่งขึ้นมาในขณะที่ก้าวไปข้างหน้า จากนั้นทั้งร่างกายของเขาก็เหมือนกลุ่มควันที่เคลื่อนตัวเข้าหาฝูงชน ยันต์ศัสตราในมือของชายหนุ่มบินออกไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาดและสง่างามเหมือนมังกร การโจมตีแต่ละครั้งที่ซัดออกไปนั้นจะทำให้เลือดต้องหลั่งไหล ชีวิตต้องถูกพรากอย่างแน่นอน
ฐานการบ่มเพาะของคนเหล่านี้อยู่ที่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์แบบ และพวกมันก็มีความแข็งแกร่งที่ยอดเยี่ยม หากเป็นในโลกภายนอกแล้ว แม้แต่เขาก็ยังไม่กล้ามั่นใจว่าจะสามารถจัดการกับพวกมันทั้งหมดได้ในระยะเวลาอันสั้น
แต่บนยอดเขาทะยานสวรรค์นี้ เฉินซีมั่นใจอย่างยิ่งว่าจะสามารถทำลายล้างพวกมันทั้งหมดได้ภายในระยะเวลาอันสั้น!
เหตุผลนั้นง่ายดายมาก เนื่องจากบนยอดเขาทะยานสวรรค์แห่งนี้มีแรงกดดันจากเต๋ารู้แจ้งอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทำให้คนเหล่านี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหันเหพลังไปมากกว่าครึ่งเพื่อต่อต้านแรงกดดันนี้ ดังนั้นพลังที่พวกเขาสามารถใช้ได้จึงอาจน้อยกว่าสามส่วนของพลังในยามปกติ
แต่เฉินซีกลับแตกต่างออกไป จนถึงตอนนี้ แรงกดดันจากเต๋ารู้แจ้งที่อยู่ในบริเวณโดยรอบนั้นไม่สามารถส่งผลกระทบต่อเขาแม้แต่น้อย และเขาสามารถใช้พลังได้อย่างเต็มที่
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การทำลายล้างคนกลุ่มนี้จึงทำได้ง่ายเหมือนการหั่นแตงหรือผัก และเขาไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอันตรายใด ๆ ที่จะเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
อันที่จริง เฉินซีไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดของเขาอย่างเต็มที่ เนื่องจากคนเหล่านี้ไม่คู่ควรที่เขาจะต้องต่อสู้อย่างเต็มกำลังด้วย
ฆ่า!
เฉินซีโจมตีโดยไม่แสดงความเมตตาแม้แต่น้อย และความเร็วของเขาก็ไร้เทียมทานราวกับสายฟ้าฟาด ชายหนุ่มพยายามที่จะทำลายล้างศัตรูทั้งหมดและจัดการกับกองกำลังทั้งหกนี้ให้อยู่หมัด!