บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 378 ขึ้นสู่ยอดเขา

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 378 ขึ้นสู่ยอดเขา

บทที่ 378 ขึ้นสู่ยอดเขา

บนยอดเขาทะยานสวรรค์มีแท่นขนาดมหึมาที่ปกคลุมด้วยหมอกสีดอกกุหลาบ ซึ่งมีพื้นผิวเรียบเหมือนกระจกและสามารถรองรับผู้คนได้นับหมื่นคน

บนท้องฟ้าที่เหนือยอดเขาขึ้นไปสองลี้ มีน้ำตกขนาดมหึมาที่มีความกว้างถึงหนึ่งร้อยยี่สิบจั้ง ส่งเสียงดังกึกก้องขณะถาโถมลงมาด้วยแรงมหาศาล ราวกับทางช้างเผือกที่ถาโถมลงมาจากสวรรค์ทั้งเก้าและมันมีพลังมหาศาล

และที่ถาโถมลงมาจากน้ำตกอย่างรวดเร็วนั้นมิใช่แค่น้ำธรรมดาทั่วไป แต่มันคือละอองพลังงานของเต๋ารู้แจ้งต่าง ๆ ที่ก่อตัวเป็นกระแสพลังที่ถาโถมลงมา

เต๋ารู้แจ้งแห่งพฤกษาที่มีสีเขียว เต๋ารู้แจ้งอัคคีที่มีสีแดงเข้ม เต๋ารู้แจ้งแห่งพสุธาที่มีสีเหลือง… หรือมีแม้กระทั่งเต๋ารู้แจ้งบางส่วนที่มีสีคลุมเครือ แต่ก็ยังปล่อยกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวออกมามากมาย อีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะมีมหาเต๋าและเต๋ารองที่มีอยู่ทั้งหมดในฟ้าดินแห่งนี้ ทำให้มันมีหลากสีสันและเป็นภาพที่งดงามตระการตาจนทำให้หัวใจพองโตเมื่อได้เห็น

หลังจากที่พวกเขาเห็นฉากนี้ ผู้บ่มเพาะคนใดที่มีความตั้งใจที่จะแสวงหาเต๋าสวรรค์ จะไม่อาจละเว้นจากความตื่นเต้นและไม่อาจสงบสติอารมณ์ได้เป็นเวลาสักพัก

ครืนนน!

น้ำตกที่เหมือนทางช้างเผือกได้ถาโถมลงมา มัส่งเสียงดังกึกก้องเสมือนเสียงฟ้าร้อง แสงพร่างพราวและเจิดจ้าจำนวนมากก็มักจะเปล่งประกายออกมาจากละอองของกระแสเต๋ารู้แจ้ง

ซึ่งน่าตกใจยิ่งนัก เพราะหากลองมองอย่างตั้งใจแล้ว แสงสว่างไสวเหล่านั้นจะมีขนาดเท่าฝ่ามือและดูเหมือนป้ายสีขาวหยก พวกมันเสมือนกับปลาสีเงินจำนวนมากที่มองเห็นได้อย่างราง ๆ ภายในน้ำตก ซึ่งดูท่าทางพวกมันจะมีความเฉลียวฉลาดเป็นอย่างมาก

พวกมันคือป้ายคำสั่งแห่งการต่อสู้ เมื่อใดที่ผู้บ่มเพาะที่ได้ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดและสามารถคว้าป้ายเหล่านี้มาไว้กับตัวได้สำเร็จ พวกเขาก็จะสามารถเคลื่อนย้ายไปยังมิติประหลาด เพื่อรอการเริ่มต้นของการทดสอบในครั้งต่อไปได้

ซึ่งในขณะนี้ มีคนประมาณสองพันคนที่มาถึงจุดสูงสุดแล้ว และพวกเขามักรวมตัวกันเป็นกลุ่มที่มีสองสามคนหรือสี่ถึงห้าคน พวกเขาล้วนยืนอยู่ใกล้กับน้ำตกด้วยสีหน้าที่ระแวดระวัง

โดยดวงตาของแต่ละคนต่างก็ส่องประกายสะท้อนป้ายคำสั่งแห่งการต่อสู้จำนวนมากที่กะพริบไหวอยู่ภายในน้ำตก มันฉายชัดถึงประกายแห่งความมุ่งมั่นอย่างบ้าคลั่ง!

ทว่ากลับมีเพียงไม่กี่คนที่เคลื่อนไหว เหตุผลนั้นธรรมดามาก นั่นเป็นเพราะการจะยึดตราคำสั่งจากน้ำตกนั้นไม่ง่ายดายอย่างที่คิด และอาจกล่าวได้ว่ายากเย็นเป็นอย่างยิ่ง

น้ำตกที่ก่อตัวขึ้นจากพลังงานของเต๋ารู้แจ้งชนิดต่าง ๆ มีความแข็งแกร่งอย่างน่าสะพรึงกลัว ซึ่งทุก ๆ กระแสน้ำจากน้ำตกสามารถเทียบเท่าได้กับการโจมตีของผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ในขณะที่น้ำตกมีความกว้างทั้งหมดหนึ่งร้อยยี่สิบจั้งและสูงถึงสองลี้ ดังนั้นมันจึงมีกระแสน้ำจำนวนมาก ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันยังก่อตัวอย่างหนาแน่นและไม่มีที่สิ้นสุดอีกด้วย!

ด้วยเหตุนี้ หากความแข็งแกร่งของผู้บ่มเพาะไม่เพียงพอและหากพวกเขาฝืนบุกเข้าไปเพียงลำพัง มันจะเหมือนกับกำลังเผชิญหน้ากับกองทัพที่ก่อตัวขึ้นจากผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ทำให้คนเหล่านั้นถูกบดขยี้ทันทีก่อนที่จะถูกกระแทกออกจากยอดเขาทะยานสวรรค์และถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์ในท้ายที่สุด

แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะคว้าป้ายคำสั่งแห่งการต่อสู้จากภายในน้ำตก ทุกคนจึงล้วนยืนอยู่ที่นั่นและสังเกตเป็นเวลานาน อย่างน้อยพวกเขาก็สามารถค้นพบวิธีในการผ่านมันไปได้สามวิธี

อย่างแรกคือการใช้ความเร็วที่เหนือชั้นเพื่อพุ่งผ่านม่านน้ำ แต่ม่านน้ำที่ไหลออกมานั้นรวดเร็วและหนาแน่นมาก ดังนั้นผู้บ่มเพาะที่สามารถทะยานผ่านพวกมันโดยอาศัยความเร็วชั้นเลิศนั้นจึงเป็นหนึ่งในอัจฉริยะอันดับต้น ๆ เท่านั้น

ไม่ว่าพวกเขาจะใช้วิธีใด อัจฉริยะชั้นยอดเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนสามารถผ่านเข้าสู่น้ำตกได้ ยิ่งไปกว่านั้น วิธีการที่อัจฉริยะชั้นยอดเหล่านี้ใช้ก็ไม่สามารถทำตามได้ เพราะตราบใดที่ไม่มีความแข็งแกร่งเพียงพอ พวกเขาก็จะไม่สามารถทำมันได้สำเร็จ!

ตัวอย่างเช่นชิงซิ่วอี้ จ้าวชิงเหอ หวงฝู่ฉางเทียน และยอดฝีมือชั้นยอดคนอื่น ๆ ได้อาศัยความแข็งแกร่งที่น่าเกรงขามของพวกเขาเพื่อคว้าป้ายคำสั่งแห่งการต่อสู้ และเข้าสู่มิติประหลาดไปก่อนแล้ว

วิธีที่สองคือการใช้ความสามารถในการป้องกันของตัวเองเพื่อต้านทานมันอย่างเต็มที่ วิธีนี้ต้องเป็นผู้บ่มเพาะที่ได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาป้องกันที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ยิ่งกว่านั้น เคล็ดวิชาการป้องกันก็ต้องมีระดับที่สูงมาก มิฉะนั้น หากเคล็ดวิชามีระดับที่ต่ำเกินไปและมีการฝึกฝนไม่เพียงพอ มันก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถผ่านน้ำตกนี้ไปได้

ส่วนวิธีที่สามคือการใช้เคล็ดวิชาที่ทรงพลังเพื่อระเบิดม่านน้ำออกจากกัน วิธีนี้ต้องเป็นผู้บ่มเพาะที่ได้ฝึกฝนกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าที่ทรงอานุภาพเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังต้องมีสายตาที่เฉียบแหลมและมีประสบการณ์ที่สูงลิ่ว เพราะความประมาทเลินเล่อเพียงเล็กน้อยอาจทำให้พวกเขาถูกกระแสพลังอันไร้ขอบเขตซัดปลิวไปได้

ด้วยเหตุนี้เอง นอกจากวิธีแรกที่มีข้อกำหนดที่รุนแรงเกินไปสำหรับผู้เข้าร่วมแล้ว ผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่จึงเลือกวิธีที่สองและสาม หากลองเทียบดูแล้ว การใช้วิธีเหล่านี้ทั้งปลอดภัยและเชื่อถือได้มากกว่า

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!

เสียงของอากาศที่ถูกฉีกออกดังก้องออกมา ผู้บ่มเพาะอย่างน้อยแปดคนไม่สามารถหยุดยั้งได้และพุ่งเข้าหาน้ำตกอย่างต่อเนื่อง

ทั้งแปดคนนี้เลือกตำแหน่งที่แตกต่างกัน ซึ่งไม่กระทบกระเทียบกันและกัน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว เพราะหากพวกเขาเลือกตำแหน่งเดียวกัน พื้นที่ที่พวกเขาต้องใช้ในการเคลื่อนที่และหลบหลีกจะลดลงอย่างมาก ซึ่งมันเป็นผลเสียต่อความพยายามในการคว้าป้ายคำสั่งแห่งการต่อสู้ของพวกเขาอย่างมาก

ซู่! ซู่! ซู่!

ทว่าเมื่อทั้งแปดคนเพิ่งมาถึงที่น้ำตก พวกเขาก็ตกลงไปในกระแสน้ำที่ถาโถมอย่างรุนแรง และเพียงชั่วพริบตาก็มีเจ็ดคนถูกซัดกระเด็นออกไป มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่พึ่งพาการโจมตีที่ดุร้ายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ของเขาในการเปิดม่านของกระแสน้ำ และโชคดีที่สามารถคว้าเอาป้ายคำสั่งแห่งการต่อสู้ไว้ได้ คนจึงถูกเคลื่อนย้ายออกไปทันทีและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

คนทั้งเจ็ดที่ถูกซัดกระเด็นออกไปก็ถูกเคลื่อนย้ายออกไปเช่นกัน แต่พวกเขาถูกเคลื่อนย้ายออกจากยอดเขาทะยานสวรรค์และตกรอบไป

เมื่อพวกเขาเห็นภาพนี้ หัวใจของทุกคนก็บีบรัดแน่นขึ้นและพวกเขาไม่กล้ากระทำโดยผลีผลาม

การถูกซัดกระเด็นออกไปซึ่งจะถูกตัดสินให้ตกรอบในทันทีและหมดสิทธิ์เข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งนั้น เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถทนได้!

เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องรับมืออย่างระมัดระวัง ตั้งสติและพยายามหาโอกาสที่ดีที่สุดเพื่อลงมือ

ในขณะนี้ เฉินซีได้ขึ้นไปถึงยอดเขาโดยมีฟ่านอวิ๋นหลานอยู่บนแผ่นหลัง

หลังจากที่เขามาถึงที่นี่ แรงกดดันจากเต๋ารู้แจ้งรอบตัวก็หายไปทันที และความรู้สึกผ่อนคลายที่เขาสัมผัสได้ มันก็เกือบทำให้เฉินซีรู้สึกผ่อนคลายจนถึงจุดที่รู้สึกราวกับว่ากำลังจะลอยขึ้นไปในอากาศและเหินทะยานออกไป

“เจ้านี่แบกคนขึ้นมาที่ยอดเขาจริง ๆ หรือ?”

“สวรรค์! นั่นเป็นสองเท่าของแรงกดดันจากเต๋ารู้แจ้ง สหายคนนี้ทำได้อย่างไร?”

“อัศจรรย์! อัศจรรย์ยิ่งนัก!”

มีบางคนได้สังเกตเห็นเฉินซีกับฟ่านอวิ๋นหลาน พวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะร้องออกมาด้วยความตกใจ

เมื่อพวกเขาได้ยินการสนทนาเหล่านี้ คนอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้เคียงก็หันไปมองที่เฉินซีอย่างพร้อมเพรียงกัน และเมื่อพวกเขาเห็นฟ่านอวิ๋นหลานอยู่บนแผ่นหลังของชายหนุ่ม ความรู้สึกที่แปลกประหลาดและตกตะลึงก็ปรากฏขึ้นในดวงตาพวกเขา

“วาง…วางข้าลง! ข้า…ข้าทำเองได้…” เมื่อถูกเพ่งเล็งจากทุกคนที่อยู่ตรงหน้า ฟ่านอวิ๋นหลานก็รู้สึกอึดอัดอย่างมาก เสียงของนางแผ่วเบาดั่งยุงที่กำลังบินขณะที่กล่าวอย่างติดอ่าง และนางก็อดไม่ได้ที่จะฝังใบหน้าที่บอบบางและงดงามไว้ในแผ่นหลังของเฉินซี เพื่อหลีกเลี่ยงจากการจ้องมองของคนเหล่านี้

เฉินซีไม่กล่าว เขาเพียงส่ายศีรษะและไม่สนใจการจ้องมองจากคนรอบข้าง ก่อนจะเดินตรงมาถึงหน้าน้ำตกและสังเกตอย่างเงียบ ๆ

“แรงกดดันที่นี่ไม่หนาแน่นเกินไป ในตอนนี้ ข้าไม่ต้องหันเหความสนใจเพื่อต้านทานแรงกดดันจากเต๋ารู้แจ้ง และพลังของข้าก็สามารถใช้ออกมาได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นข้าควรจะ…”

‘เขากำลังคิดจะทำอะไร? หรือว่าเขาต้องการอุ้มข้าขณะที่คว้าเอาป้ายคำสั่ง?’ จู่ ๆ ความรู้สึกที่ไม่ดีก็ผุดขึ้นในใจของฟ่านอวิ๋นหลาน แต่ก่อนที่นางจะกล่าวอะไรออกมาเพื่อหยุดยั้งเฉินซี ชายหนุ่มก็เหยียบย่ำพื้นอย่างหนักหน่วงโดยมีนางอยู่บนแผ่นหลังของเขา และทันใดนั้นเขาก็ทะยานออกไป กลายเป็นลำแสงที่พุ่งเข้าน้ำตกอย่างรวดเร็ว

“คนผู้นี้คือผู้ใดกัน? เขาช่างหยิ่งผยองและต้องการคว้าป้ายคำสั่งแห่งการต่อสู้ทันทีที่เพิ่งมาถึง?”

“อนิจจา คนผู้นี้ช่างโง่เขลาเสียเหลือเกิน ความสามารถในการขึ้นสู่ยอดเขาในขณะที่แบกคนไว้นั้นบ่งบอกว่าความแข็งแกร่งของเขานั้นเพียงพอ ถ้าเขาลงมือเพียงผู้เดียว การจะได้รับป้ายคำสั่งแห่งการต่อสู้ก็คงเป็นไปได้ แต่ตอนนี้เขายังแบกหญิงสาวคนนั้นไว้บนแผ่นหลังอยู่ เขาช่างไม่รู้จักขีดจำกัดของตัวเองเอาเสียเลย”

“ใช่แล้ว การขึ้นไปที่ยอดเขานั้นต้องการพลังที่จะต้านทานแรงกดดันจากเต๋ารู้แจ้งได้ ตราบใดที่เชี่ยวชาญเต๋ารู้แจ้งอย่างเพียงพอแล้ว มันก็จะไม่มีเหตุผิดพลาดใด ๆ เกิดขึ้น แต่การคว้าป้ายคำสั่งแห่งการต่อสู้เหล่านี้แตกต่างออกไป เนื่องจากความประมาทเลินเล่นเพียงเล็กน้อยอาจทำให้ถูกบดขยี้ได้ การกระทำของคนผู้นั้นค่อนข้างบุ่มบ่ามเกินไป”

บททดสอบของการคว้าเอาป้ายคำสั่งแห่งการต่อสู้นี้เต็มไปด้วยอันตรายและยากเป็นอย่างยิ่ง จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่มีใครกล้าประมาทเลยสักคนเดียว

อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์ที่น่าสะพรึงเป็นอย่างยิ่งนี้ พวกเขาเห็นว่าเฉินซีเพิกเฉยต่อทุกสิ่งและพุ่งเข้าใส่น้ำตกในขณะที่แบกคนไว้บนแผ่นหลัง ทุกคนจึงส่ายหัวไปมาขณะที่รอดูชายหนุ่มทำให้ตัวเองต้องอับอาย ซึ่งดูเหมือนว่าพวกเขาต้องการใช้สิ่งนี้เพื่อสนองอารมณ์ที่หดหู่จากการไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าเลยสักนิด!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท