บทที่ 381 บัลลังก์เทพเต๋าแห่งการต่อสู้
บทที่ 381 บัลลังก์เทพเต๋าแห่งการต่อสู้
ดินแดนเต๋าแห่งการต่อสู้เป็นสถานที่ที่ตัดขาดจากโลกภายนอก และไม่มีใครสามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในนั้นได้
มันเป็นพื้นที่แปลกประหลาด ใต้หล้ายิ่งใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด ในอากาศเต็มไปด้วยปราณโบราณอันไร้ขอบเขตและลึกลับ
เมื่อได้เข้ามาอยู่ภายในนี้ ราวกับได้ย้อนไปยังยุคแรกเริ่มเมื่อครั้งที่สัตว์ดึกดำบรรพ์พเนจรอย่างเสรี ทำให้ผู้คนตกใจยิ่งนัก
หลังจากขับไล่ชิวเซี่ยวเฟิง เฉินซีก็ชิงป้ายคำสั่งเต๋าแห่งการต่อสู้สองชิ้นจากภายในน้ำตกมาได้ เขาส่งชิ้นหนึ่งให้แก่ฟ่านอวิ๋นหลาน แล้วเขาก็หายตัวมาอยู่ในสถานที่ประหลาดแห่งนี้
ชายหนุ่มมองไปรอบทิศด้วยความมึนงง ไม่รู้ว่าจะไปทางใด เพราะที่นี่เป็นสถานที่เปิดและกว้างขวางนัก นอกจากฟ้าดินแล้วก็ไม่มีสิ่งใดอีก นับว่าว่างเปล่าและเงียบสงัดยิ่งนัก
“นี่คือดินแดนเต๋าแห่งการต่อสู้ ประวัติศาสตร์ของที่นี่ย้อนกลับไปได้ถึงการเริ่มก่อสร้างนครหลวงธารสายไหม เป็นสถานที่ที่ลึกลับที่สุดในราชวงศ์ซ่ง หลังจากมีคนได้ป้ายคำสั่งเต๋าแห่งการต่อสู้ทั้งสามพันหกร้อยชิ้นไปแล้ว บัลลังก์เทพเต๋าแห่งการต่อสู้ร้อยบัลลังก์ก็จะปรากฏขึ้นที่นี่” ฟ่านอวิ๋นหลานยืนอยู่ข้างเฉินซีอย่างงดงาม ทัดผมดำของนางไว้หลังหู ขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงชัดเจนและไพเราะ “เมื่ออาศัยป้ายคำสั่งเต๋าแห่งการต่อสู้ในความครอบครองแล้ว ก็จะมีสิทธิ์เข้าร่วมการต่อสู้ชิงบัลลังก์ได้ ตอนนั้น หากผู้บ่มเพาะไม่สามารถยึดบัลลังก์ได้ คนผู้นั้นก็จะถูกตัดออกจากการแข่งขัน”
เมื่อนางพูดถึงเรื่องนี้ น้ำเสียงของฟ่านอวิ๋นหลานก็จริงจังขึ้น “กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ผู้บ่มเพาะสามพันห้าร้อยคนจากสามพันหกร้อยคนจะถูกกำจัดในดินแดนเต๋าแห่งการต่อสู้นี้ล่ะ! เหลือไว้เพียงหนึ่งร้อยคน ซึ่งจะเป็นร้อยอันดับแรกของการชุมนุมดาวรุ่งในปีนี้ นี่เป็นการทดสอบครั้งที่สามของการชุมนุมดาวรุ่ง”
เฉินซีพยักหน้ารับ ข้อมูลที่เขาได้รับมาก็มีคำอธิบายเรื่องดินแดนเต๋าแห่งการต่อสู้ไว้แล้ว
การชุมนุมดาวรุ่งแบ่งออกเป็นสี่การทดสอบ
การทดสอบแรก: ขึ้นยอดเขาทะยานสวรรค์
การทดสอบที่สอง: ชิงป้ายคำสั่งเต๋าแห่งการต่อสู้
การทดสอบที่สาม: ชิงบัลลังก์เทพเต๋าแห่งการต่อสู้
การทดสอบที่สี่: แข่งขันความแข็งแกร่งระหว่างผู้บ่มเพาะ
ตอนนี้เขาอยู่ในดินแดนเต๋าแห่งการต่อสู้และกำลังทำการทดสอบที่สาม ชิงบัลลังก์เทพเต๋าแห่งการต่อสู้!
บัลลังก์เทพเต๋าแห่งการต่อสู้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ถูกสร้างขึ้นในดินแดนเต๋าแห่งการต่อสู้ ซึ่งก็เหมือนกับยอดเขาทะยานสวรรค์ นั่นคือไม่มีใครสามารถรู้ที่มาของมันได้ ทำให้มันลึกลับยิ่งนัก
แต่จากข้อมูลที่เฉินซีได้รับมามีคำอธิบายหนึ่งที่รู้กันทั่ว โดยผู้คนสันนิษฐานว่าบัลลังก์เทพเต๋าแห่งการต่อสู้เป็นสถานที่ที่นิกายในยุคบรรพกาลส่งต่อเคล็ดวิชาให้แก่เหล่าศิษย์
หากนั่งลงและบ่มเพาะบนบัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์นั่น พวกเขาก็จะได้รับกระบวนยุทธ์ระดับเต๋า วิชาที่ได้มานี้จะมีทั้งระดับสูงและต่ำ ทำให้มันดูน่าอัศจรรย์ใจนัก
“หนึ่งในจุดประสงค์ในการเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งของข้าในครั้งนี้คือการยึดบัลลังก์เทพเต๋าแห่งการต่อสู้และดูว่าข้าจะได้กระบวนยุทธ์ระดับเต๋าจากมันหรือไม่” ร่องรอยความหวังเป็นประกายอยู่ในนัยน์ตาของฟ่านอวิ๋นหลาน ขณะนางเอ่ยว่า “ตามที่ศิษย์พี่ในนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตว่ามา เคล็ดวิชาในบัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์มีแทบทุกวิชาในใต้หล้า มีวิชาบ่มเพาะอันน่าสะพึงกลัวที่เหมาะกับนิกายอสูรของข้าด้วย ข้ามีความสามารถเช่นนี้ ย่อมได้มาสักวิชาเป็นแน่”
สำหรับผู้บ่มเพาะแล้ว วิชากระบวนยุทธ์ระดับเต๋ามีแรงดึงดูดหาสิ่งใดเปรียบ มันไม่เพียงสามารถเสริมความแข็งแกร่งได้ แต่ยังสามารถทำความเข้าใจเต๋ารู้แจ้งผ่านวิชานั้น จึงนับว่าเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
“พอเจ้าว่าเช่นนี้ ข้าเริ่มจะสนใจบัลลังก์เทพเต๋าแห่งการต่อสู้พวกนั้นแล้วสิ” เฉินซียิ้ม การจะได้รับกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าจากการเข้าร่วมการแข่งขัน ไม่ว่าใครได้ยินก็ต้องอยากได้
แต่ตามความเข้าใจของเขา กระบวนยุทธ์ระดับเต๋าที่อยู่ภายในบัลลังก์เทพเต๋าแห่งการต่อสู้นั้นมีหลากหลายระดับ บ้างมีมหาเต๋า ในขณะที่บางวิชาอาจจะมีเต๋ารอง และความแข็งแกร่งของเต๋ารู้แจ้งของแต่ละวิชาก็แตกต่างกันด้วย
หากผู้ใดต้องการกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าที่ตนพอใจจากบัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์แล้ว นับว่าขึ้นอยู่กับเต๋ารู้แจ้งที่ตนเชี่ยวชาญ ในการชุมนุมดาวรุ่งครั้งก่อนเคยมีบุคคลไม่ธรรมดาบางคนที่ได้รับกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าชั้นยอดจากวิชามากมายภายในบัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์นี้ ไม่เพียงแต่วิชากระบวนยุทธ์ระดับเต๋าเหล่านี้จะมีมหาเต๋าอันลึกล้ำ แม้กระทั่งกระบวนท่าของมันก็ยังน่าเกรงขามอย่างไร้ที่ติ!
“การให้ได้บัลลังก์เทพเต๋าแห่งการต่อสู้มาไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายดายนัก มันมีเพียงหนึ่งร้อยที่เท่านั้น ทว่ากลับมีคนสามพันหกร้อยคนที่แข่งขันกัน” ฟ่านอวิ๋นหลานเตือนด้วยเสียงจริงจัง “ยิ่งไปกว่านั้น ผู้บ่มเพาะทุกคนที่มีความสามารถในการเข้าสู่ดินแดนเต๋าแห่งการต่อสู้ก็เป็นเหล่าหัวกะทิชั้นยอด ไม่มีผู้ใดอ่อนแอสักคน ดังนั้นจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการต่อสู้นองเลือดอันโหดร้ายได้เมื่อคิดหมายชิงบัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์”
เฉินซีย่อมเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ หากบัลลังก์เทพเต๋าแห่งการต่อสู้ทั้งร้อยที่ปรากฏขึ้นในการชุมนุมดาวรุ่งครั้งก่อน มันคงไม่ขาดการต่อสู้อันยิ่งใหญ่ที่สั่นสะเทือนไปถึงสวรรค์เป็นแน่ เพราะสุดท้ายก็ไม่มีใครเต็มใจจะมอบโชคดีเช่นนี้ให้คนอื่นโดยไม่คิดต่อสู้ได้หรอก!
ที่สำคัญที่สุดก็คือแม้จะไม่ได้รับกระบวนยุทธ์ระดับเต๋ามา แต่ทุกคนก็ต้องยึดบัลลังก์เทพเต๋าแห่งการต่อสู้ให้ได้ เพราะมันเป็นตัวกำหนดว่าจะสามารถเข้าสู่การทดสอบครั้งที่สี่ของการชุมนุมดาวรุ่งได้หรือไม่
การยึดบัลลังก์เทพเต๋าแห่งการต่อสู้ได้สำเร็จหมายความว่าพวกเขาได้ติดหนึ่งในร้อยอันดับแรกของการชุมนุมดาวรุ่งแล้ว และคงไม่มีใครเต็มใจละทิ้งความรุ่งโรจน์สูงสุดดังกล่าวได้อย่างง่ายดายหรอก
“ด้วยความแข็งแกร่งที่เจ้าเปิดเผยออกมาก่อนหน้านี้ การชิงบัลลังก์เทพเต๋าแห่งการต่อสู้คงไม่ใช่เรื่องยากนัก” ทันใดนั้น ฟ่านอวิ๋นหลานก็พูดออกมาพร้อมกับประเมินคร่าว ๆ
เฉินซีหัวเราะเสียงขื่น “พูดตอนนี้มันไม่เร็วไปหน่อยหรือ? ถึงตอนนั้น ผู้บ่มเพาะทั้งหมดที่มาถึงที่นี่ได้ก็คงเป็นผู้บ่มเพาะรุ่นเยาว์ระดับชั้นยอดแห่งราชวงศ์ซ่งเป็นแน่ ไม่ต้องกล่าวว่าข้ามีความเป็นปฏิปักษ์ต่อพวกเขาหลายคน ไม่แน่ว่าถึงตอนนั้นอาจเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นก็ได้”
เขาพูดออกไปตามความเป็นจริง ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงชิงซิ่วอี้ องค์ชายหวงฝู่ หลินโม่เซวียน เซียวหลิงเอ๋อร์ และศัตรูคนอื่น ๆ ของเขา แค่การประมือกับผู้เข้าร่วมคนอื่นก็มีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวแล้ว
ถึงอย่างไรเขาก็ตัวคนเดียว ในขณะที่คนอื่น ๆ มีกองกำลังสูงส่งคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ทำให้คนพวกนั้นอาจรวมกลุ่มกันได้ ดังนั้นชายหนุ่มที่มาเพียงลำพังโดยไร้แรงสนับสนุนใดจึงตกเป็นเป้าโจมตีของผู้อื่นได้ง่ายมาก
ฟ่านอวิ๋นหลานชะงักไป จากนั้นก็เอ่ยเสียงเครียดขึ้นมาว่า “ข้าจะช่วยเจ้าเอง!”
เฉินซีชะงัก เขาหันไปมองสตรีผู้สง่างามข้างกายตน ในใจอดรู้สึกถึงความอบอุ่นวาบขึ้นมาไม่ได้ รู้สึกว่าความเพียรที่ทุ่มเทไปก่อนหน้านี้มันคุ้มค่าแล้ว
ไม่ว่านางจะสงบนิ่งแค่ไหน เมื่อถูกเฉินซีจ้องตรง ๆ เช่นนี้ แก้มนุ่มของนางก็อดขึ้นสีไม่ได้ นางหลบสายตาเขาด้วยความตื่นตระหนก ก่อนจะลอบหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ จุดที่เราอยู่ตอนนี้เป็นเพียงชายแดนของดินแดนเต๋าแห่งการต่อสู้เท่านั้น พวกเรารีบไปยังจุดศูนย์กลางโดยเร็วน่าจะดีที่สุด”
เฉินซีพยักหน้า เขารู้ว่าบัลลังก์เทพเต๋าแห่งการต่อสู้มักจะปรากฏอยู่ที่จุดศูนย์กลางของดินแดนเต๋าแห่งการต่อสู้ ก่อนเขาจะพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาและเอ่ยถามขึ้นว่า “อาการบาดเจ็บเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ต้องให้ข้าอุ้มหรือไม่?”
สิ่งที่นางนึกออกดูเป็นปริศนานัก แต่ความอึดอัดที่ไม่อาจมองเห็นได้แวบผ่านนัยน์ตาของหญิงสาว จากนั้นนางก็รีบส่ายหน้า “ไม่จำเป็นหรอก ข้าฟื้นตัวมานานแล้ว ดังนั้นรีบเดินทางเถอะ”
พูดจบ อาภรณ์นางก็พลิ้วไสว ร่างนางดีดขึ้นฟ้า วาบหายไปไกลราวกับหวาดกลัวนักว่าเฉินซีจะไม่สนใจทุกสิ่งแล้วแบกนางขึ้นหลัง เช่นนั้นมันน่าอายเกินไป…
‘โชคดีที่ดูเหมือนความเป็นศัตรูที่นางมีต่อข้าได้หายไปเกือบหมดแล้ว ส่วนความสัมพันธ์ของเราจะพัฒนาไปถึงระดับใดนั้นเป็นเรื่องของอนาคต…’ ขณะที่ครุ่นคิด เฉินซีก็ไล่ตามนางไป