บทที่ 398 การประลองรอบแรก
บทที่ 398 การประลองรอบแรก
เวลาผ่านไปครึ่งวันอย่างรวดเร็ว
ในบรรดายี่สิบสี่คนที่ยังคงเหลืออยู่ล้วนเป็นตัวตนที่ทุกคนให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด แม้ว่าชิงซิ่วอี้ จ้าวชิงเหอและคนอื่น ๆ จะเปล่งประกายที่สุด แต่นอกจากพวกเขาแล้วคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้ด้อยกว่ามากนัก
หลังจากการต่อสู้ดำเนินมาถึงจุดนี้ คนส่วนใหญ่ยังคงมีพละกำลังอยู่อีกเหลือเฟือ การตัดสินจากผลงานที่ผ่านมาเพียงอย่างเดียวจึงไม่สามารถทำให้ตัดสินได้อย่างชัดเจนและแม่นยำว่า ใครเหนือกว่าใครด้อยกว่า!
“ได้เวลาแล้ว พวกเจ้าทั้งยี่สิบสี่คนจงตั้งใจฟังให้ดี” สูงขึ้นไปบนท้องฟ้า จักรพรรดิซ่งที่หลับตาและทำสมาธิอยู่ ก็ลืมตา มองลงมาแล้วพูดขึ้น
ในชั่วพริบตาทั่วทั้งเมืองเงียบสนิท สายตาของทุกคนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น การต่อสู้รอบที่สามกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้วใช่หรือไม่?
ขณะที่จักรพรรดิซ่งกะพริบตา เขาก็เหลือบมองไปทางเฉินซีและคนอื่น ๆ ก่อนจะพูดอย่างเฉยเมยว่า “พวกเจ้าทั้งยี่สิบสี่คนที่เหลือรอดจากการต่อสู้รอบที่สองอาจได้รับสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ที่ข้าขัดเกลาขึ้นด้วยตัวเอง”
“แต่เพื่อตอบสนองความต้องการทั้งหมดของพวกเจ้า ในการประลองรอบที่สามนี้ ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะเลือกใช้สมบัติวิเศษประเภทที่พวกเจ้าเชี่ยวชาญที่สุด เพื่อที่ข้าจะสามารถปรับแต่งสมบัติวิเศษให้เหมาะกับพวกเจ้าได้”
ทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ต่างก็อ้าปากค้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ ด้วยความอิจฉา ปรับแต่งสมบัติวิเศษให้เหมาะกับแต่ละคน? ช่างเป็นพรอันยิ่งใหญ่นัก!
“ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะสู้สุดความสามารถ จงอย่าขลาดเขลาในเวลาเช่นนี้” จักรพรรดิซ่งโบกมือ แล้วม้วนกระดาษก็บินออกมาม้วนหนึ่ง “มหาเสนาบดี ประกาศรายชื่อรอบที่สาม”
เฉินซีกับอีกทั้งยี่สิบสี่คนมีสีหน้าจริงจังขึ้นมาในทันใด พวกเขากลั้นหายใจและเฝ้ารอการประกาศ
“การประลองครั้งแรกในรอบที่สาม เฉินซีปะทะซูเจี้ยนคงจากนิกายสวรรค์ปฐพี” มหาเสนาบดีคลี่ม้วนกระดาษและกล่าวขึ้น
“ในที่สุด พี่ใหญ่เฉินซีก็จะสู้แล้ว!” มู่เหวินเฟยเงยหน้าขึ้นอย่างตื่นเต้นและจับจ้องไปที่สังเวียนปีศาจสังหารตาไม่กะพริบ ท่าทางของเขาดูตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าตัวเฉินซีเองเสียอีก
แต่ครั้งนี้ย่าชิงและหญิงสาวคนอื่น ๆ ไม่ได้เยาะเย้ยเขา ด้วยทุกคนต่างมีสีหน้าจริงจังและหนักหน่วงพอกัน
ในฐานะศิษย์ของนิกายสวรรค์ปฐพี ซูเจี้ยนคงนั้นถือว่าโดดเด่นกว่าผู้อื่นในนิกายและมีชื่อเสียงมาก แม้แต่หลินโม่เซวียนซึ่งเป็นศิษย์พี่ใหญ่ ก็ยังถูกบดบังเมื่ออยู่ต่อหน้าคนคนนี้ ดังนั้นความแข็งแกร่งของเขาย่อมทรงพลังและน่าเกรงขามอย่างไม่ต้องสงสัย
“ถึงเวลาแล้วที่สหายเฉินซีจะต้องแสดงความแข็งแกร่งของตัวเองออกมา มิฉะนั้นทุกคนที่อยู่ที่นั่นอาจไม่เข้าใจว่าความแข็งแกร่งของเขามีมากหรือน้อย และอาจสงสัยว่าที่สามารถมาถึงจุดนี้ได้เพราะเป็นเรื่องบังเอิญ” นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม พลางถอนหายใจด้วยความโล่งอก คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเฉินซี
“ท่านลุง พยายามให้เต็มที่!” เฉินอวี่น้อยเองก็ตะโกนขึ้นเสียงดังเช่นกัน
เฟยเหลิ่งชุ่ยเงยหน้าขึ้น มองไปที่เฉินซีด้วยความรู้สึกท่วมท้น “พี่ฮ่าว มันคงจะดีมากหากท่านได้มาที่นี่ และได้เห็นพี่ใหญ่ของท่านเปล่งประกายเจิดจรัสอยู่ท่ามกลางการชุมนุมดาวรุ่งเช่นนี้”
ฟึ่บ!
ทุกสายตาในนครหลวงธารสายไหมต่างจับจ้องไปที่เฉินซีกับซูเจี้ยนคงโดยพร้อมเพรียงกัน
เมื่อการชุมนุมได้เริ่มต้นขึ้น พวกเขายังมีอารมณ์สบาย ๆ ดื่มกินและพูดคุยกัน ทว่าตอนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเหลือผู้เข้าร่วมอยู่เพียงแค่ยี่สิบสี่คน คนทั้งหมดจึงสงบสติอารมณ์และตั้งสมาธิจดจ่อไปกับการประลองมากขึ้น
คนเหล่านี้ได้ผ่านการทดสอบแรกและยังคงยืนหยัดมาจนถึงรอบที่สามนี้ พวกเขาล้วนเป็นอัจฉริยะที่น่าทึ่ง เป็นมังกรและหงส์ในบรรดากลุ่มอัจฉริยะ ยิ่งกว่านั้นการชุมนุมดาวรุ่งครานี้ยังกล่าวได้ว่ายิ่งใหญ่กว่าครั้งก่อน ๆ ผู้ที่สามารถติดยี่สิบสี่อันดับแรกได้ ถือว่าแข็งแกร่งพอที่จะติดหนึ่งในสิบอันดับแรกในการชุมนุมดาวรุ่งของปีก่อนได้แล้ว!
อาทิเช่น หลิงอวี๋กับอวี๋เซวียนเฉินที่ได้รับการฝึกฝนมาจากตัวประหลาดเฒ่าที่อาศัยอยู่อย่างสันโดษบนภูเขา และพวกเขาไม่เคยคิดที่จะเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งครั้งก่อน ๆ เลย ครานี้พวกเขามาที่นี่ก็เพราะจำต้องปฏิบัติตามคำสั่งของอาจารย์ และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องมา
“ทักษะกระบี่ของซูเจี้ยนคงนั้นไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง และเขาก็เชี่ยวชาญในมหาเต๋าสวรรค์ปฐพีอย่างมาก คนผู้นี้เป็นอัจฉริยะจากนิกายสวรรค์ปฐพีที่ไม่มีใครเทียบได้ หรืออาจแข็งแกร่งกว่าหลินโม่เซวียนเสียอีก”
“เฉินซีเองก็ไม่ได้ด้อยกว่านักหรอก การทดสอบทั้งสามครั้งแรกของชุมนุมดาวรุ่งได้พิสูจน์แล้วว่า ความแข็งแกร่งของเขาเทียบได้กับผู้บ่มเพาะระดับแนวหน้าคนอื่น ๆ การต่อสู้ระหว่างเขากับซูเจี้ยนคงอาจกล่าวได้ว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างสิงโตและพยัคฆ์ ยากจะบอกได้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย”
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น ในที่สุดเฉินซีผู้เป็นม้ามืดที่เอาชนะผ่านมาตลอดตั้งแต่ต้นการแข่งขัน ก็กำลังจะได้ปะทะกับคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวจริง ๆ แล้ว!
…
ภายในสังเวียนปีศาจสังหาร
เฉินซีกับซูเจี้ยนคงยืนเผชิญหน้ากันอยู่ไกล ๆ บนลานประลองที่มีขนาดมหึมา
เมื่อก่อนตอนที่อยู่ในเมืองเฟิงเย่ เฉินซีเคยได้ยินชื่อเสียงของซูเจี้ยนคงมาหนหนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับอีกฝ่ายด้วยตัวเอง ชายหนุ่มผู้นี้สวมเสื้อผ้าที่ขาวยิ่งกว่าหิมะ มีท่าทางที่ไม่ธรรมดา ดวงตาที่ลึกล้ำ ลมหายใจของเขายาวและสงบ ทั่วร่างปลดปล่อยกลิ่นอายที่ดุร้ายและหยิ่งผยองซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของผู้บ่มเพาะกระบี่ออกมา
‘แม้แต่ในเวลาเช่นนี้ เขายังคงสามารถรักษาจิตใจที่สงบเอาไว้ได้ เมื่อเทียบกับหลินโม่เซวียนและศิษย์คนอื่น ๆ ของนิกายสวรรค์ปฐพีแล้ว คนผู้นี้พอจะเหนือกว่าคนเหล่านั้นอยู่บ้าง’ เฉินซีลอบมองและวิเคราะห์อีกฝ่ายอยู่ในใจ
ซูเจี้ยนคงเองก็กำลังตรวจสอบเฉินซีอยู่เช่นกัน… ชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ตรงหน้าเขาผู้นี้ ให้ความรู้สึกราวกับอากาศบริสุทธิ์ โปร่งใส และไร้ซึ่งการควบคุม ดั่งชิ้นแก้วบริสุทธิ์ที่ไม่เปื้อนฝุ่น ดูคล้ายผู้ไร้ความสามารถที่ไม่อาจแม้แต่จะหักคอไก่ แต่เขารู้ดีว่าการที่คนผู้นี้ผ่านมาจนถึงรอบนี้ได้ ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายย่อมไม่ง่ายอย่างท่าทางที่ปรากฏให้เห็นอย่างแน่นอน
ยิ่งกว่านั้น กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากทั่วร่างกายของชายหนุ่ม… ถึงจะดูบางเบา ทว่ากลับดูไร้ก้นบึ้งดุจเหวลึก ร่องรอยของพลังอันน่าเกรงขามที่ทำให้ใจสั่น ลอยล่องอยู่รอบ ๆ อย่างรางเลือน
นี่คือศัตรูที่น่ากลัวยิ่ง!
ซูเจี้ยนคงหรี่ตาลงเล็กน้อย ตัดสินใจแล้วว่าจะตั้งสมาธิและทุ่มออกไปอย่างสุดกำลัง!
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าขยะหลินโม่เซวียนตกตายด้วยน้ำมือของเจ้า? แม้ว่าข้าจะเกลียดมัน แต่เราก็ยังคงเป็นพี่น้องร่วมนิกายอยู่ดี ดังนั้นข้าย่อมต้องแบกรับความเกลียดชังของเขาเป็นธรรมดา เข้ามา ให้ข้าเห็นว่าเจ้าแข็งแกร่งจริง ๆ หรือมีเพียงชื่อเสียงที่ไม่สมควรได้รับกันแน่!”
หลังพูดจบ กระบี่โบราณที่เรียบง่ายและทอแสงแวววาวสีเหลืองหม่นก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา กระบี่เล่มนี้ถูกเรียกว่าเหนือปฐพี เป็นสมบัติวิเศษระดับปฐพีขั้นสูงที่สืบทอดกันมาในนิกายสวรรค์ปฐพีเป็นเวลานาน เมื่อรวมเข้ากับมหาเต๋าสวรรค์ปฐพีของซูเจี้ยนคง มันสามารถทำให้เกิดผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย์แสนหลากหลายขึ้นมา
ปัง!
ทันทีที่กระบี่ปรากฏขึ้น ราวกับว่าท้องฟ้ามีผืนดินหนาทึบสีเหลืองหม่นกำลังบดบัง เติมอากาศโดยรอบให้เต็มด้วยบรรยากาศที่กดดัน
“ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดพร่ำอีกแล้ว เรามาเริ่มกันเลยเถอะ” เฉินซีถือยันต์ศัสตรายืนเผชิญหน้ากับซูเจี้ยนคงที่อยู่ห่างจากเขาไปร้อยกว่าจั้ง พร้อมเสื้อผ้าที่โบกสะบัด
“ฆ่า!”
ซูเจี้ยนคงหยุดพูดเรื่องไร้สาระและพุ่งตัวออกไป กระบี่เหนือปฐพีของเขาพลิกกลับด้าน ดุจแม่น้ำดวงดาวที่ห้อยกลับหัววาดออกไป
ทันใดนั้นทั้งสังเวียนประลองก็เต็มไปด้วยควันและฝุ่นสีเหลืองหม่น อนุภาคของฝุ่นควันแต่ละก้อนมีน้ำหนักถึงหนึ่งจิน และแฝงไว้ด้วยเจตจำนงกระบี่สวรรค์ปฐพีที่ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เมื่อมองจากระยะไกล มันดูราวกับคลื่นยักษ์สีโคลนกำลังเคลื่อนตัวพุ่งเข้ามาพร้อมกับแรงกดทับอันหนักอึ้ง ที่เผยให้เห็นถึงความรุนแรงที่ไร้ขอบเขต
ฮึ่ม!
ยันต์ศัสตราส่งเสียงตอบรับดังก้องไปทั่วทั้งสวรรค์และปฐพีอย่างรวดเร็ว เฉินซีไม่สนใจควันฝุ่นสีเหลืองโคลนที่ตรงเข้ามาจู่โจม ร่างของเขาพุ่งตรงไปข้างหน้า ขณะที่ยันต์ศัสตราในมือของชายหนุ่มเปล่งประกายและวาดฟันออกไป
เคร้ง!
ประกายไฟพุ่งขึ้นปกคลุมท้องฟ้า ก่อนที่การโจมตีของซูเจี้ยนคงจะถึงจุดที่แสดงออกมาอย่างเต็มกำลัง ยังไม่ทันได้เข้าถึงตัวเฉินซีดี มันก็ถูกเฉินซีทำลายลงเสียแล้ว จังหวะการสวนกลับของเขาดียิ่งและบังเอิญเป็นช่วงเวลาที่อีกฝ่ายเพิ่งออกแรงและยังไม่ฟื้นตัวพอดี
“อาวุธของสหายผู้นี้ไม่เลวทีเดียว มันสามารถสกัดกั้นยันต์ศัสตราของข้าได้… ” หลังจากมีกระบี่แรกรุกนำ เฉินซีก็เริ่มลงมือเคลื่อนไหวต่ออย่างรวดเร็ว ยันต์ศัสตราในมือของเขาฟันออกไปทุกทิศทางด้วยท่วงท่าที่รวดเร็ว ดุดันและหนักหน่วง แสงดาบที่ดูเหมือนน้ำตกเป็นดั่งสายฟ้าที่ผ่าท้องฟ้าและวาบผ่านหมู่เมฆ ทุกท่วงท่าการเคลื่อนไหวของเฉินซีทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับว่าไม่อาจต้านทานพวกมันได้
ความแข็งแกร่งของซูเจี้ยนคงนั้นไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง แม้ว่าเฉินซีจะคว้าโอกาสรุกคืบเอาไว้และทำให้อีกฝ่ายตกอยู่ในตำแหน่งที่ต้องตั้งรับ แต่การป้องกันของซูเจี้ยนคงก็เรียกได้ว่าไร้ที่ติ
ชั่วพริบตา ทั้งสองก็ได้ปะทะกันไปกว่าร้อยกระบวนท่าแล้ว
พรึ่บ!
ร่างของซูเจี้ยนคงเปลี่ยนเป็นเส้นแสงสีดำถอยหลังอย่างรวดเร็วไปจนถึงขอบสังเวียนประลอง เขารู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อย ‘ข้าได้ยินมาว่า สหายผู้นี้มีทักษะขัดเกลาร่างกายที่ทรงพลังยิ่ง แต่ไม่ได้คิดมาก่อนเลยว่าแม้แต่ทักษะกระบี่ของเขาก็ไม่ธรรมดาเช่นนี้ ทั้งเฉียบคมและเต็มไปด้วยความดุดัน จนทำให้จังหวะการโจมตีของข้าถึงกับหยุดชะงักได้!’
“ในบรรดาคนรุ่นเดียวกันที่ข้าเคยได้พบเจอมา ทักษะกระบี่ของเจ้าเกินพอที่จะติดหนึ่งในสาม แต่การต่อสู้เป็นตายไม่ใช่เพียงการต่อสู้กันตรง ๆ เท่านั้น!” ซูเจี้ยนคงกดเสียงต่ำ สร้างความรู้สึกลึกลับในน้ำเสียงขึ้นเล็กน้อย
ฟุ่บ!
ทันทีที่พูดจบ ตัวเขาอีกคนก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเฉินซีราวกับภูตผี การเคลื่อนไหวของกระบี่เปลี่ยนจากที่เคยสง่างาม ทรงพลังและครอบคลุม กลายเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง มันเป็นเหมือนคลื่นแห่งภาพลวงตา เหมือนฝันร้ายที่ไม่สมจริงและสวยงาม
ฟิ้ว!
ที่ด้านบนอากาศเหนือศีรษะของเฉินซีปรากฏปราณกระบี่ขึ้นอย่างไร้เสียง ราวกับว่ามันสามารถเคลื่อนย้ายทางไกลได้ ก่อนจะฟาดลงมาโดยไม่ได้รับการต่อต้านแม้แต่น้อย
และดูเหมือนเฉินซีจะไม่ได้รับรู้ถึงปราณกระบี่บนศีรษะของเขาเลย!
เหตุการณ์เหล่านั้นแปลกประหลาดอย่างมาก!