บทที่ 401 ไร้เทียมทาน
บทที่ 401 ไร้เทียมทาน
ท่ามกลางความเงียบงัน ดวงตาของจักรพรรดิซ่งได้จับจ้องไปที่คนสองคน ก่อนจะกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ลู่เซียว ฟ่านอวิ๋นหลาน เจ้าทั้งคู่ไม่ต้องมีส่วนร่วมในการต่อสู้ต่อไปนี้”
เสียงของเขาชัดเจนและดังก้องไปทั้งฟ้าดิน ทำให้ผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นล้วนตกตะลึง แต่ก็ไม่มีผู้ใดที่กล้าส่งเสียงออกมา
ลู่เซียวเป็นศิษย์ของนิกายพฤกษาเทวะจากที่ราบตอนกลาง ตัวตนของเขาไม่เป็นที่รู้จักเช่นเดียวกับเฉินซีในอดีต และคนคนนี้ก็เป็นดั่งม้ามืดที่ปรากฏขึ้นในการชุมนุมดาวรุ่ง เนื่องจากสามารถเป็นหนึ่งในสิบสองอันดับแรก ดังนั้นความแข็งแกร่งของเขาจึงไม่อาจปฏิเสธได้
ในขณะนี้ เมื่อผู้คนได้ยินว่าเขาถูกตัดสิทธิ์ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสารในใจ
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าลู่เซียวจะตระหนักได้ถึงผลลัพธ์มาตั้งนานแล้ว การแสดงออกของเจ้าตัวจึงนิ่งสงบและไม่มีความไม่เต็มใจหรือความโกรธเกรี้ยวใด ๆ หลังจากนั้นเขาก็โค้งคำนับให้แก่จักรพรรดิซ่งและจากไปในที่สุด
เฉินซีไม่ได้สนใจคนผู้นี้ เนื่องจากทันทีที่ได้ยินว่าฟ่านอวิ๋นหลานถูกตัดสิทธิ์ ความรู้สึกไม่ยุติธรรมก็ผุดขึ้นในใจของเขาทันที และเท่าที่ทราบมา ความแข็งแกร่งของฟ่านอวิ๋นหลานนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าชิงซิ่วอี้ จ้าวชิงเหอและคนอื่น ๆ อย่างแน่นอน แต่เหตุใดนางถึงถูกตัดสิทธิ์ออกจากแข่งขันชุมนุมดาวรุ่ง?
“เรื่องนี้ช่างไม่ยุติธรรมยิ่งนัก!”
เขาอดไม่ได้ที่จะกระตุ้นความสงสัยที่มีต่อจักรพรรดิซ่ง
แต่ในช่วงเวลาต่อมา เขาก็เข้าใจทุกสิ่งหลังจากที่ได้ยินสิ่งที่พระองค์ตรัสออกมา
“ฟ่านอวิ๋นหลาน เจ้าควรเข้าใจว่าเหตุใดข้าถึงไม่อนุญาตให้เจ้าเข้าร่วมการต่อสู้ของสิบอันดับแรก” จักรพรรดิซ่งชำเลืองมองที่เฉินซีก่อนจะกล่าวกับฟ่านอวิ๋นหลาน
ฟ่านอวิ๋นหลานกัดริมฝีปากสีชมพูของตัวเอง แล้วพยักหน้าพร้อมกล่าวว่า “ข้าเข้าใจ”
“เช่นนั้นเจ้าก็ถอนตัวไปเสีย ไม่ต้องกังวล ข้าได้ให้คำสัญญากับนิกายของเจ้าแล้วว่า ข้าจะอนุญาตให้เจ้าได้เข้าสู่สมรภูมิบรรพกาลอย่างแน่นอน ทว่าสระมังกรแปลงและวิชากระบวนยุทธ์ในขุมสมบัติของราชวงศ์ ไม่ใช่สิ่งที่ตัวตนเช่นเจ้าจะคู่ควร” จักรพรรดิซ่งกล่าวอย่างเฉยเมย
เฉินซีเข้าใจถึงเหตุผลในทันที ฟ่านอวิ๋นหลานมาจากนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิต ซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจของโลกแห่งการบ่มเพาะทั้งหมด ดังนั้นการอนุญาตให้นางเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่ง อาจเป็นความยินยอมสุดท้ายที่จักรพรรดิซ่งพอจะสามารถยอมรับได้ และไม่มีทางเป็นไปได้ที่เขาจะยอมให้นางได้รับประโยชน์ไปมากกว่านี้
แต่สิ่งที่ทำให้เฉินซีรู้สึกสบายใจได้นั้นก็คือ ฟ่านอวิ๋นหลานยังคงมีโอกาสที่จะเข้าสู่สมรภูมิบรรพกาล ซึ่งก็เพียงพอแล้ว!
“เจ้าต้องระวังตัวด้วย” ก่อนที่ฟ่านอวิ๋นหลานจะจากไป นางได้ส่งเสียงผ่านกระแสปราณไปที่เฉินซีอย่างแผ่วเบา
เฉินซีพยักหน้าและไม่กล่าวอะไรออกมา เพราะการประลองของสิบอันดับแรกกำลังจะเริ่มต้นขึ้น
“จนถึงขณะนี้ การชุมนุมดาวรุ่งได้มาถึงช่วงเวลาที่สำคัญแล้ว พวกเจ้าสามในสิบคนจะสามารถเลือกวิชากระบวนยุทธ์หรือพลังอิทธิฤทธิ์จากขุมสมบัติของราชวงศ์ได้” มหาเสนาบดีเอามือไพล่หลังขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจน “และพวกเจ้าทั้งสิบคนสามารถเข้าไปบ่มเพาะในสระมังกรแปลงได้ ซึ่งนับเป็นโอกาสสูงสุดและเป็นของขวัญพิเศษจากฝ่าบาทที่มอบให้แก่พวกเจ้า ข้าหวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะแสดงความสามารถออกมาอย่างเต็มที่และไม่ทำให้พระองค์ต้องผิดหวัง!”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ/เพคะฝ่าบาท!” เมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งนี้ เฉินซีและคนอื่น ๆ ก็โค้งคำนับต่อจักรพรรดิซ่ง ผู้ลอยอยู่บนท้องฟ้า
จักรพรรดิซ่งเพียงยิ้มเล็กน้อย ขณะที่เขาพยักหน้าก่อนจะโบกมือ ทันใดนั้น ลำแสงอันเจิดจ้าสิบสองดวงก็ปกคลุมเฉินซีและคนอื่น ๆ ทำให้ปราณแท้ ปราณจ้าววิญญาณ และพละกำลังที่เหนื่อยล้าของพวกเขาได้ฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ ในขณะที่ผู้ได้รับบาดเจ็บก็ฟื้นตัวทันทีเช่นกัน ช่างน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง!
เพียงแค่เคล็ดวิชาอันยอดเยี่ยมที่อธิบายไม่ได้นี้ ก็เผยให้เห็นถึงการบ่มเพาะที่สูงส่งของจักรพรรดิซ่ง เนื่องจากแม้แต่ยอดฝีมือขอบเขตเซียนปฐพีคนอื่น ๆ ก็ยังไม่อาจบรรลุถึงขั้นนี้ได้ในปัจจุบัน
“มหาเสนาบดี จงประกาศรายชื่อสำหรับการประลองรอบที่สี่” จักรพรรดิซ่งสั่งก่อนหลับตาเพื่อทำสมาธิ
“การประลองของสิบอันดับแรกจะแบ่งออกเป็นการต่อสู้ห้ารอบ เพื่อตัดสินหาผู้ชนะห้าอันดับแรก โดยผู้ประลองจะถูกเลือกด้วยการจับสลาก” มหาเสนาบดีกล่าวด้วยเสียงที่ชัดเจน “การประลองคู่ที่หนึ่ง ชิงซิ่วอี้กับนายน้อยโจว”
เฉินซี เจิ้นหลิวชิง และคนอื่น ๆ ต่างก็ประหลาดใจอย่างมาก
“ชิงซิ่วอี้กับนายน้อยโจวหรือ?”
ความแข็งแกร่งของนายน้อยโจวนั้นน่าเกรงขามอย่างแท้จริง เขาไม่เคยหมดพลังเลยตั้งแต่การแข่งขันเริ่มขึ้น และความแข็งแกร่งก็เพิ่มพูนขึ้นมากกว่าครั้งที่อยู่ในการชุมนุมธารทองเสียด้วยซ้ำ
ส่วนชิงซิ่วอี้นั้นเป็นเซียนสวรรค์กลับชาติมาเกิด ความแข็งแกร่งของนางเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคน ทำให้ได้รับการยกย่องจากผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีเป็นอย่างมาก และดูเหมือนนางจะเป็นผู้แข่งขันที่ทรงพลังที่สุดในการชุมนุมดาวรุ่งครั้งนี้
แม้แต่จ้าวชิงเหอ หวงฝู่ฉางเทียน และคนอื่น ๆ ก็ยังมองว่าชิงซิ่วอี้เป็นเป้าหมายสุดท้าย และพวกเขาก็ไม่กล้าประมาทนางแม้แต่น้อย
แต่การประลองนี้อาจถูกจัดแจงโดยพระประสงค์ของจักรพรรดิซ่ง มิฉะนั้น หากชิงซิ่วอี้ได้ประลองกับจ้าวชิงเหอและยอดฝีมือระดับสูงคนอื่น ๆ ที่ได้รับความสนใจมากที่สุด การชุมนุมดาวรุ่งในครั้งนี้อาจถือได้ว่าไม่สมบูรณ์แบบ
เนื่องจากตามธรรมเนียมปฏิบัติในการประชุมดวงดาวครั้งก่อน การประลองระหว่างยอดฝีมือสูงสุดมักจะอยู่ในรอบสุดท้าย
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น รายชื่อผู้ประลองก็ได้ถูกระบุไว้แล้ว ดังนั้นชิงซิ่วอี้และนายน้อยโจวจึงไม่กล้าที่จะปฏิเสธ จากนั้นพวกเขาก็ใช้เคล็ดวิชาตัวเบา พุ่งไปยังสังเวียนสังหารปีศาจทันที
…
“ท่านมหาเสนาบดี การจัดการของฝ่าบาทดูไม่เหมาะสมไปหน่อยหรือ?” ที่กลางอากาศ โจวเซวียนถงผู้เป็นบรรพบุรุษของตระกูลโจวขมวดคิ้วพร้อมกับกล่าวด้วยความไม่พอใจว่า “ชิงซิ่วอี้ได้ฟื้นความทรงจำครึ่งหนึ่งจากชาติก่อนในฐานะเซียนสวรรค์ และนางคู่ควรกับการเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งท่ามกลางบรรดาอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่อยู่ในตอนนี้ การจัดการของฝ่าบาทที่ให้เจ้าเหลือขอจากตระกูลข้าไปสู้กับนางนั้น เห็นได้ชัดว่า…”
“สหายเก่า เจ้ายังไร้ระเบียบถึงเพียงนี้และยังกล้าสงสัยต่อประสงค์ของฝ่าบาทจริงหรือ?” ใบหน้าของมหาเสนาบดีนั้นนิ่งเฉย แต่ดวงตาของเขากลับเผยรอยยิ้ม เห็นได้ชัดว่าเขารู้ว่าอารมณ์ของโจวเซวียนถงจะเป็นเช่นนี้
“ฮึ่ม!” โจวเซวียนถงเพียงแค่ระบายความคับข้องเท่านั้น แต่อันที่จริง เขาพึงพอใจมากที่นายน้อยโจวสามารถติดอยู่ในสิบอันดับแรกได้ และก็ไม่ได้รู้สึกขุ่นเคืองในใจมากนัก
“ดูเหมือนเจ้ากังวลมากเกี่ยวกับนายน้อยโจว?” ในอีกด้านหนึ่ง เจิ้นหลิวชิงมองไปตามสายตาของเฉินซีที่จ้องไปยังสังเวียนสังหารปีศาจที่อยู่ในระยะไกล และนางก็ส่งเสียงผ่านกระแสปราณอย่างแผ่วเบา
“คนผู้นี้ดูหยิ่งยโสและเอาแต่ใจ แต่นิสัยของเขาก็ไม่เลว ครั้งหนึ่งข้าเคยบอกว่าข้าจะเลี้ยงสุราเขา แต่ข้าไม่อยากดื่มสุราที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกหลังจากที่เขาพ่ายแพ้” เฉินซีกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
เจิ้นหลิวชิงถอนหายใจและกล่าวว่า “น่าเสียดาย คู่ต่อสู้ของเขาคือชิงซิ่วอี้” เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ นางพลันเงยหน้าขึ้นและถามอย่างจริงจัง “ใช่แล้ว ชิงซิ่วอี้เคยไล่ล่าโดยหมายมั่นจะฆ่าเจ้า เจ้าต้องการให้ข้าแก้แค้นแทนหรือไม่ หากข้าเผชิญกับนางที่นี่?”
เฉินซีตกตะลึง จากนั้นเขาก็ส่ายศีรษะ “ความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างเรานั้นซับซ้อนเล็กน้อย จะดีกว่าถ้าข้าสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง และเจ้าไม่จำเป็นต้องเข้ามายุ่งเกี่ยว”
เจิ้นหลิวชิงกะพริบตาที่ใสกระจ่างและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ตกลง แล้วแต่เจ้าล่ะกัน”
หลังจากนั้นไม่นาน
“พวกเขาเริ่มกันแล้ว” เฉินซีจ้องไปที่สังเวียนสังหารปีศาจ และกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว “ความแข็งแกร่งของชิงซิ่วอี้นั้นน่าสะพรึงกลัวจริง ๆ และก่อนหน้านี้นางมักจะเก็บงำพลังเอาไว้อยู่เสมอ แต่ครั้งนี้นางกลับเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตี!”
ร่างกายของชิงซิ่วอี้ถูกปกคลุมด้วยหมอกจาง ๆ ทำให้ใบหน้าที่งดงามจนไม่มีใครเทียบได้มองเห็นได้อย่างเลือนราง ซึ่งทำให้นางดูอ่อนช้อยยิ่ง แต่ทันทีที่เคลื่อนไหว แก่นแท้ ปราณ และจิตวิญญาณของนางก็เปลี่ยนไปทันที ทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับว่ากำลังเดินจากสถานที่สวยงามทางตอนใต้ซึ่งปกคลุมไปด้วยฝนปรอย ๆ และสายลม มาเผชิญกับดินแดนน้ำแข็งและหิมะที่หนาวเหน็บอย่างฉับพลัน ซึ่งมันก็น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
ฆ่า!
กลุ่มหมอกที่ส่องแสงเป็นประกายพุ่งผ่านท้องฟ้าราวกับแสงที่พร่างพราวที่สุด และพวกมันก็เฉียบคมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ในขณะที่รูปร่างของนางเหมือนสายฝนที่หนาทึบซึ่งปกคลุมไปทั่วทุกหนทุกแห่งและแผ่ไปทั่วทั้งสังเวียน
เมื่อมองจากระยะไกล ชิงซิ่วอี้ดูเหมือนจะแยกร่างออกมานับพันนับหมื่น ทำให้สังเวียนถูกปกคลุมไปด้วยแสงอันเจิดจ้า และภายใต้การปกคลุมของแสงอันเจิดจ้านั้น ร่างอันงดงามของนางเลือนรางลงและจางหายเหมือนหมอกควันที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง
เมื่อเผชิญกับการโจมตีที่แทบทำลายท้องนภา นายน้อยโจวก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน เขาคำรามซ้ำแล้วซ้ำเล่าในขณะที่ร่างทะยานออกไปเหมือนมังกรและพุ่งผ่านสังเวียน พร้อมกับโจมตีอย่างบ้าคลั่งที่สุด
แต่ไม่ว่าจะพยายามมากสักแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถฝ่าการโจมตีของชิงซิ่วอี้ได้ และจนถึงตอนนี้ เขายังไม่อาจสัมผัสได้แม้แต่ชายเสื้อของหญิงสาวได้เลยสักนิด
“สิ่งนี้อาจเป็นมหาเต๋าที่ล้ำลึกซึ่งหาได้ยาก!” เฉินซีหรี่ตามอง ชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่าร่างกายของชิงซิ่วอี้ได้เปลี่ยนเป็นแสงสว่างที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง การโจมตีของนางรวดเร็วจนอยู่เหนือพันธนาการแห่งมิติเวลา ซึ่งหากมีคนตกอยู่ในการโจมตีนั้น ก็จะไม่สามารถหลุดพ้นไปได้เป็นแน่!
…
“มหาเต๋าแห่งแสงสว่าง! ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่า หญิงสาวคนนี้จะซ่อนความแข็งแกร่งของนางไว้อย่างลึกซึ้ง กระทั่งได้มาเห็นนางเปิดเผยกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าที่น่าสะพรึงกลัวในตอนนี้”
“ไม่ต้องสงสัยเลย มันคือมหาเต๋าแห่งแสงสว่าง! มันเป็นขั้วตรงข้ามกับมหาเต๋าแห่งความมืด และนำมาซึ่งราตรีอันเป็นนิรันดร์ …หากปราศจากแสงสว่างก็ไม่มีชีวิต และหากปราศจากความมืดก็จะไม่มีจุดจบ”
“อัศจรรย์! หยินและหยางแยกออกเป็นสวรรค์และโลก ขณะที่ธาตุทั้งห้าสร้างและเกื้อหนุนโลก แสงสว่างและความมืดได้ปกครองแดนดิน ความลึกล้ำของมหาเต๋าแห่งหยินและหยางนั้นเข้าใจได้ยากนัก อีกมันยังถูกจัดให้อยู่ในบรรดามหาเต๋าที่หายาก จนแม้แต่ในบรรดามหาเต๋ามากมายก็ยังมองว่าอยู่ในระดับสูงสุด และการหยั่งรู้ถึงมันก็เป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญยิ่ง”
“แต่ถ้านางสามารถบรรลุมหาเต๋านี้ได้ในระดับหนึ่ง การเอาชนะทัณฑ์สวรรค์เพื่อกลายเป็นเซียนสวรรค์ก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากอีก” ด้านนอกสังเวียนสังหารปีศาจ ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีต่างก็อุทานด้วยความชื่นชมซ้ำแล้วซ้ำเล่า เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า ชิงซิ่วอี้จะครอบครองมหาเต๋าแห่งแสงสว่างที่หาได้ยากเช่นนี้!
เมื่อการบ่มเพาะของคนคนหนึ่งได้บรรลุไปถึงระดับหนึ่ง ความเข้าใจเกี่ยวกับมหาเต๋าจะบรรลุถึงระดับสูงอย่างไม่น่าเชื่อ ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าใจทันทีว่ามหาเต๋าต่าง ๆ ในโลกจะถูกแบ่งออกเป็นสองประเภท
หนึ่งคือเต๋าที่เกี่ยวข้องกับการใช้เคล็ดวิชา เช่น เต๋าแห่งกระบี่ เต๋าแห่งดาบ เต๋าแห่งการกลืนกิน เต๋าแห่งการทำลายล้าง ทั้งหมดนี้เป็นประเภทของความเข้าใจและการควบคุมเคล็ดวิชา
อีกประเภทหนึ่งคือเต๋าที่เป็นแก่นแท้ เช่น หยิน หยาง ธาตุทั้งห้า ดาว ลม และอื่น ๆ ซึ่งได้มาจากแก่นแท้ของสรรพสิ่งในจักรวาล และเป็นการควบคุมพลังงาน
อย่างไรก็ตาม มหาเต๋าแห่งแสงสว่างไม่ได้มีเพียงพลังแก่นแท้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเข้าใจในเคล็ดวิชาด้วย
ทันทีที่แสงส่องออกไป มันก็จะแผ่กระจายและปกคลุมไปทุกหนทุกแห่ง ซึ่งนี่คือเคล็ดวิชาที่ใช้ประโยชน์จากแสง!
สิ่งที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงก็คือ ไม่ว่าจะเป็นเต๋าที่เกิดจากการใช้เคล็ดวิชา หรือเต๋าที่เป็นแก่นแท้ต่างก็ไม่ได้แยกออกจากกัน แต่กลับเติมเต็มกันและกัน
ตัวอย่างเช่น เต๋าแห่งกระบี่ต้องอาศัยเต๋ารู้แจ้งที่เป็นแก่นแท้ในการสำแดงพลัง เช่น กระบวนท่าทั้งแปดของกระบี่หมื่นบรรจบซึ่งประกอบด้วยเต๋ารู้แจ้งที่เป็นแก่นแท้ต่าง ๆ และเต๋ารู้แจ้งที่เป็นแก่นแท้ก็ต้องพึ่งพาวิชากระบวนยุทธ์เพื่อสำแดงพลัง มิฉะนั้นมันก็จะไร้ประโยชน์
…
“ช่างน่ากลัวเหลือเกิน! นี่คือความแข็งแกร่งที่แท้จริงของชิงซิ่วอี้หรือ?”
“สวรรค์! หรือว่าเต๋ารู้แจ้งที่นางสำแดงคือมหาเต๋าแห่งแสงสว่างในตำนาน”
“นางสมควรที่จะเป็นเซียนสวรรค์ที่กลับชาติมาเกิดจริง ๆ ผู้หญิงคนนี้อาจคว้าอันดับที่หนึ่งในการชุมนุมดาวรุ่งในครั้งนี้ก็ได้!”
หลังจากที่ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสังเวียนสังหารปีศาจ ผู้บ่มเพาะทุกคนในนครหลวงธารสายไหมก็ตกใจสุดขีด
ในขณะนี้ การโจมตีของชิงซิ่วอี้ที่เต็มไปด้วยมหาเต๋ารู้แจ้งแห่งแสงสว่างได้ถาโถมลงมาทุกที่ และไม่ว่านายน้อยโจวจะต่อต้านอย่างไร เขาก็ไม่สามารถหลบหนีการครอบงำของแสงได้
ปัง!
ท่ามกลางแสงที่พร่างพราว ร่างหนึ่งเดินโซเซถอยหลังไปสองสามก้าวด้วยสภาพที่ดูไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง
“ข้ายอมรับความพ่ายแพ้!” เสียงแหบพร่าดังขึ้น
ทันใดนั้น ประกายแสงที่ล้อมรอบสังเวียนก็กระจายออกไปอย่างสมบูรณ์ และสิ่งที่เกิดขึ้นภายในนั้นก็สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนในสายตาของทุกคนที่อยู่ตรงนั้น
บนสังเวียนประลอง…
ใบหน้าของนายน้อยโจวกลายเป็นซีดเซียวขณะที่หอบหายใจถี่รัว และมีคราบเลือดติดอยู่ที่มุมปาก ในขณะที่ชิงซิ่วอี้ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างภาคภูมิ ร่างที่เพรียวบางและสง่างามของนางถูกปกคลุมด้วยชั้นหมอกหนาทึบ ทำให้นางเป็นดั่งเทพธิดาที่ไร้เทียมทาน ซึ่งอยู่เหนือล้ำจากโลกใบนี้!!