บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 403 ดาบพิฆาตสุญตานภาโลหิต!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 403 ดาบพิฆาตสุญตานภาโลหิต!

บทที่ 403 ดาบพิฆาตสุญตานภาโลหิต!

ฟิ้ว!

สายตาของเฉินซีกับซูเฉินได้ปะทะกันที่กลางอากาศ แม้ว่าสายตาของพวกเขาจะแยกจากกันในทันที แต่ก็ทำให้บรรยากาศปกคลุมไปด้วยเจตนาฆ่าอันเข้มข้นในทันที

ทั้งสองคนไม่กล่าวอะไรสักคำ ก่อนที่จะหันไปทางสังเวียนสังหารปีศาจ

“หืม? ดูเหมือนชายหนุ่มสองคนนี้ จะมีอะไรแปลก ๆ หรือไม่?” มหาเสนาบดีรู้สึกงุนงงเล็กน้อย

ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนอื่น ๆ ก็สังเกตเห็นสิ่งนี้เช่นกัน จากนั้นจึงมองไปทางเป่ยเหิงอย่างต่อเนื่องและเอ่ยถามว่า “สหายเต๋าเป่ยเหิง เจ้าพอจะรู้เหตุผลหรือไม่”

เป่ยเหิงมองไปที่หวงฝู่ไท่อู่จากระยะไกล จากนั้นจึงถอนหายใจและกล่าวว่า “ทุกท่าน มีบางอย่างที่พวกท่านไม่รู้ ตระกูลของน้องร่วมสาบานของข้าได้ถูกทำลายลงเมื่อหลายปีก่อนและเขาต้องเผชิญกับความทุกข์ยากมาตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากน้ำมือของตระกูลซูของซูเฉินผู้นี้…”

ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีเหล่านี้เกือบทั้งหมดล้วนมาจากโลกแห่งการบ่มเพาะที่อยู่นอกดินแดนทางใต้ และได้ปลีกวิเวกเพื่อบ่มเพาะอย่างสันโดษตลอดทั้งปี ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ทราบถึงปัญหาระหว่างเฉินซีกับตระกูลซู

คิ้วของเป่ยเหิงขมวดแน่นขณะที่เขากล่าวด้วยความไม่พอใจว่า “หากน้องร่วมสาบานของข้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้ยิ่งใหญ่ เขาคงเสียชีวิตด้วยน้ำมือของตระกูลซูไปนานแล้ว ตอนนี้เหล่าสหายเต๋าคงจะเข้าใจเกี่ยวกับการเป็นปฏิปักษ์ระหว่างสองคนนี้แล้วใช่หรือไม่”

ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนอื่น ๆ ก็เข้าใจในทันที

“การจัดการของฝ่าบาทมีความหมายลึกซึ้งจริง ๆ”

“ใช่แล้ว ชายหนุ่มคู่นี้มีหนี้แค้นระหว่างตระกูล และความเกลียดชังของพวกเขาก็ลึกซึ้งยิ่งนัก การต่อสู้ครั้งนี้จะต้องยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน”

แต่มหาเสนาบดีดูเหมือนจะหลงอยู่ในห้วงความคิด ‘ความช่วยเหลือจากผู้ยิ่งใหญ่? หรืออาจเป็นตระกูลไป๋แห่งเทือกเขาหนามม่วงที่ครั้งหนึ่งพระองค์เคยตรัสถึงโดยไม่ได้ตั้งใจ? ไม่น่าแปลกใจที่เป่ยเหิงคนนี้จะกล้าพูดเรื่องนี้ในที่สาธารณะ โดยไม่คำนึงถึงใบหน้าของจ้าวขุนศึกหวงฝู่ไท่อู่’

ในอีกด้านหนึ่ง ริมฝีปากของหวงฝู่จิ่งเทียนเต็มไปด้วยรอยยิ้มเย็นชาเล็กน้อย “เจ้าเด็กเฉินซีคนนี้ เป็นดาวหายนะจริง ๆ ไม่ว่ามันจะไปที่ใดก็จะคอยสร้างปัญหาไปทั่ว อีกทั้งยังสร้างศัตรูไปซะทุกที มันช่างโง่เขลาและแสวงหาความตายอย่างแท้จริง!”

“ศัตรูของศัตรูคือมิตรของเรา ชิงซิ่วอี้และหวงฝู่ฉางเทียนจากฝั่งเรารวมทั้งซูเฉิน ตอนนี้เฉินซีมีศัตรูถึงสามคนการแข่งขันสิบอันดับแรก ข้าไม่จะเชื่อว่าเขาจะสามารถไปต่อได้จนจบ!” นักพรตเต๋าหลงเหอ ผู้เป็นบรรพจารย์ของนิกายกระเรียนพิสุทธิ์คิดเย้ยหยัน

ทันทีที่โม่หลานไห่และคนอื่น ๆ ได้ยินสิ่งนี้ พวกเขาก็แสดงสีหน้าอำมหิตทันที เนื่องจากพวกเขาเกลียดชังเฉินซีเข้ากระดูกดำ และไม่เต็มใจที่จะเห็นชายหนุ่มแสดงฝีมือไปมากกว่านี้!

สองคนในห้าอันดับแรกของการชุมนุมดาวรุ่งจะได้รับการตัดสินแล้ว

ระหว่างเฉินซีกับซูเฉิน มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะสามารถเข้าสู่ห้าอันดับแรกได้ และเมื่อใดที่พวกเขาสามารถเข้าสู่ห้าอันดับแรกได้ การที่พวกเขาจะใกล้สามอันดับแรกก็อยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว

“ผ่านมากี่ปีกันแล้วนะที่ข้าต้องอดกลั้น? ในที่สุดข้าก็มีโอกาสที่จะแก้แค้น!” สายตาของซูเฉินฉายประกายเย็นชาและปราศจากอารมณ์ความรู้สึก เมื่อเขานึกถึงเหตุการณ์อันน่าสลดใจที่ตระกูลถูกทำลายล้างเมื่อหลายปีก่อน ความเกลียดชังที่สะสมอยู่ภายในใจของเขาเป็นเวลาหลายปีจู่ ๆ ก็ระเบิดออกมาอย่างรุนแรงราวกับคลื่นยักษ์ที่ถาโถม และมันได้กระตุ้นเลือดในร่างกายของเขาจนแทบระเบิดออกมา!

“ถ้าหากบดขยี้เฉินซีได้ ก็เท่ากับการเข้าสู่ห้าอันดับแรก โอกาสนี้ยากที่จะเกิดขึ้นในอีกพันปี และข้าต้องคว้ามันไว้ให้ได้!” เสื้อผ้าของซูเฉินกระพือไปมา ในขณะที่เขาก้าวเดินเข้าไปในสังเวียนสังหารปีศาจและมองไปยังเฉินซีซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

“แน่นอนว่าหากไม่ดึงวัชพืชออกจากราก พวกมันก็จะสามารถงอกขึ้นมาใหม่เมื่อสายลมฤดูใบไม้ผลิพัดมาอีกครั้ง …ซูเฉิน คนผู้นี้สามารถบรรลุความสำเร็จดังกล่าวได้ในเวลาเพียงไม่กี่ปี หากข้าให้เวลาเขาไปมากกว่านี้ เขาอาจสร้างตระกูลซูขึ้นมาใหม่เพื่อสะสมกำลัง จากนั้นจะยึดตระกูลเฉินของข้าเป็นศัตรูคู่อาฆาตและจะทำให้เกิดการต่อสู้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด…” ทันทีที่เฉินซีตัดสินใจได้ เจตนาฆ่าก็แวบเข้ามาในใจของชายหนุ่มทันที “ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ปล่อยให้ซูเฉินเติบโตไปมากกว่านี้ไม่ได้เป็นอันขาด เขาต้องถูกทำลายลงที่นี่ในวันนี้!”

สายตาของพวกเขาปะทะกันจากระยะไกล

กระแสพลังที่ไร้รูปร่างได้ปะทะกัน ทุกคนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่เด็ดเดี่ยวระหว่างพวกเขาทั้งสองคน คล้ายกับว่าครั้งนี้ต้องมีใครสักคนที่ตาย!

ฟิ้ว! ฟิ้ว!

กระบี่และดาบปรากฏขึ้นในมือของพวกเขาตามลำดับ กลิ่นอายพลุ่งพล่านที่พวกเขาปล่อยออกมาได้ทะลวงผ่านก้อนเมฆจนเขย่าทั้งท้องฟ้า สวรรค์และผืนดิน การปะทะกันอย่างรุนแรงของกลิ่นอายระหว่างผู้บ่มเพาะกระบี่และผู้บ่มเพาะดาบได้ดึงความสนใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้น

เฉินซีถือยันต์ศัสตราสีดำสนิท ไร้ความมันวาว ทั้งยังดูโบราณและเรียบง่าย ในขณะที่ดาบในมือของซูเฉินนั้นยาวเกือบสี่ฉื่อ กว้างเท่าฝ่ามือ และมีสีแดงโลหิต อักขระยันต์พลุ่งพล่านไปจนถึงปลายดาบ ในขณะที่ประกายดาบปกคลุมอยู่รอบ ๆ และคุณภาพของมันก็ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง

“เฉินซี แกมันตัวซวยจากเมืองหมอกสนที่ทำให้ตระกูลข้าต้องถูกทำลาย ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลซูไม่เต็มใจที่จะทำให้เจ้าต้องลำบาก เจ้าคงถูกฆ่าในขณะที่ยังอยู่บนเปลไปแล้ว! เจ้ารู้หรือไม่? มันเป็นเพราะเจ้าที่ทำให้ชีวิตของปู่เจ้าต้องพินาศ!” ซูเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างแผ่วเบา แต่ทุกคำพูดนั้นชัดเจนราวกับเสียงฟ้าร้อง ขณะที่เขากล่าว คมดาบสีแดงเลือดที่แคบและยาวในมือก็ส่งเสียงพึมพำ และคลื่นความผันวนที่รุนแรงก็แผ่ออกมาจากคมดาบ

“ซูเฉิน นี่คือคำพูดสุดท้ายของเจ้าใช่หรือไม่?” เฉินซีตอบอย่างเฉยเมย

ทั้งคู่ปะทะกันด้วยคำพูดเพียงเพราะต้องการทำให้ดวงจิตแห่งเต๋าของอีกฝ่ายสั่นคลอน

เพราะในระดับการบ่มเพาะของพวกเขา การบ่มเพาะจิตใจก็ส่งผลต่อความแข็งแกร่งในการต่อสู้ และหากมีความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาวิกฤต ก็อาจทำให้คนผู้นั้นประสบกับความพ่ายแพ้ได้เช่นกัน

เมื่อเฉินซีกับซูเฉินสังเกตเห็นว่า ไม่อาจยั่วยุอีกฝ่ายได้ ทันใดนั้น พวกเขาจึงโจมตีอย่างดุร้ายโดยปราศจากความลังเลทันที

ฟิ้ว!

คมดาบสีแดงเลือดในมือของซูเฉินได้พุ่งผ่านท้องฟ้า ทำให้เกิดประกายดาบอันคมกริบที่ทรงพลัง รวดเร็วและไร้ความปรานี พลังเต๋ารู้แจ้งที่น่าสะพรึงกลัวที่ปกคลุมอยู่บนพื้นผิวของดาบ ทำให้เกิดสีแดงเลือดถาโถมออกมา ซึ่งย้อมท้องฟ้าและผืนดินให้กลายเป็นสีแดงฉาน

คมดาบนี้ขับเคลื่อนด้วยแรงบดขยี้ และปรากฏที่เหนือศีรษะของเฉินซีทันที ก่อนที่จะฟันลงมาอย่างดุเดือด!

“กระบวนยุทธ์ระดับเต๋า ดาบพิฆาตสุญตานภาโลหิต!”

ที่นอกสังเวียนประลอง

เมื่อเจิ้นหลิวชิงเห็นประกายดาบวาบผ่าน มันก็ทำให้นางรู้ว่าซูเฉินได้บ่มเพาะวิชาดาบพิฆาตสุญตานภาโลหิต ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาต่อสู้ที่จ้าวขุนศึกหวงฝู่ไท่อู่ได้สร้างชื่อให้แก่ตัวเอง และมีชื่อเสียงเลื่องลือเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้เป็นเคล็ดวิชาที่สืบทอดมาจากสมัยโบราณ แต่เป็นเคล็ดวิชาที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์เอกภพศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นคัมภีร์เคล็ดวิชาต่อสู้สูงสุดของราชวงศ์ซ่ง

เคล็ดวิชาดาบนี้มีความลึกล้ำของมหาเต๋าแห่งวิญญาณโลหิตและมหาเต๋าแห่งนภา ตามคำเล่าลือ ในการจะบ่มเพาะเคล็ดวิชาดาบนี้ จะต้องดำดิ่งเข้าไปในหลุมโลหิตที่อยู่นอกขอบเขตของโลก จากนั้นก็เข่นฆ่าวิญญาณโลหิตและดึงความแข็งแกร่งของวิญญาณโลหิตนับแสนตัวออกมาเพื่อบ่มเพาะ ทำให้มันเป็นการบ่มเพาะที่ยากมาก แต่หลังจากที่บ่มเพาะสำเร็จแล้ว มันก็จะทรงพลังยิ่งกว่ากระบวนยุทธ์ระดับเต๋าสูงสุดทั่วไป

ในแง่ของพลัง มันเทียบได้กระบวนยุทธ์ระดับเต๋าที่สมบูรณ์แบบ!

เมื่อซูเฉินฟันดาบลงไป ดาบของเขาได้กลายเป็นภาพลวงตา แต่ก็แฝงไปด้วยพลังทำลายและรวดเร็วอย่างไม่มีใครเทียบได้ ทำให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มืดสลัวลง ดวงดาวดับสิ้นความแวววาว และแสงทั้งหมดได้มาบรรจบกันที่คมดาบสีโลหิต

ครืนน!

เกิดเสียงดังกึกก้องที่ฟังดูเหมือนกับทะเลเลือดกำลังถาโถม ซึ่งดังก้องออกมาจากคมดาบสีแดงเลือดและสั่นสะท้านมิติโดยรอบ อีกทั้งยังมีพลังอันไร้ขอบเขตที่ไม่อาจต้านทานได้

ประกายดาบสีโลหิตได้พุ่งเข้าหาศีรษะของเฉินซี แต่ท่าทางของเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด ขณะที่ยันต์ศัสตราในมือของเขากลับเปล่งเสียงโหยหวนที่ชัดเจนพร้อมกับอักขระยันต์ที่พวยพุ่งขึ้นสู่ยอด จากนั้นยันต์เทวะทั้งห้าที่อยู่ภายในกระบี่ก็โคจรอย่างเต็มกำลัง ทำให้ธาตุทั้งห้าก่อตัวเป็นวง มันเปล่งแสงเจิดจ้าออกมาขณะที่เฉินซีฟาดออกไปในแนวนอนด้วยกระบี่เจิ้นแห่งสายฟ้า

เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!

ทันใดนั้น กระบี่และดาบของพวกเขาได้ปะทะกันเกือบร้อยครั้ง เจตจำนงกระบี่และดาบได้ทำลายมิติโดยรอบ อีกทั้งยังมีปราณกระบี่พุ่งออกไปอย่างรุนแรงและเกิดเสียงดังกึกก้องทั่วทั้งฟ้าดิน ทำให้ผู้บ่มเพาะบางคนซึ่งมีพลังอ่อนด้อย ที่กำลังรับชมอยู่ต่างก็ตกใจจนแทบหูหนวก พลังชีวิตและเลือดของพวกเขาพลุ่งพล่าน อีกทั้งยังอึดอัดจนแทบจะกระอักเลือดออกมา

“ช่างเป็นกระบวนท่ากระบี่ที่น่าเกรงขามเสียจริง!” ทันทีที่อาวุธพวกเขาปะทะกัน ซูเฉินจึงรู้สึกได้ว่าเฉินซีนั้นน่าสะพรึงกลัวเพียงใดในทันที เนื่องจากเต๋าแห่งดาบของเขานั้นทรงพลังและรุนแรงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่อีกฝ่ายกลับปัดป้องการโจมตีของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า และการปะทะกันแต่ละครั้ง ก็ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนของสายฟ้าที่น่าประหลาดใจออกมา!

ซูเฉินรู้สึกว่ามือของเขาชาเล็กน้อย และทำให้เขารู้สึกโกรธมากอยู่ภายในใจ จากนั้นเจ้าตัวก็กู่ร้องยาวออกมา ในขณะที่กระบวนดาบของเขาเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน “เคล็ดกระบี่หมื่นบรรจบนั้นทรงพลังอย่างแท้จริง แต่มันเป็นความฝันของคนโง่หากเจ้าต้องการเอาชนะข้าด้วยสิ่งนี้ ดาบพิฆาตสุญตานภาโลหิต ทลายมันซะ!”

ฟิ้ว!

ปลายดาบสีเลือดได้พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับเต๋ารู้แจ้งที่สั่นสะเทือน และปราณดาบก็ส่งเสียงครวญครางออกมา ในขณะที่กลิ่นอายนั้นยิ่งทรงพลังและสง่าผ่าเผยมากขึ้น ราวกับดาบเล่มเดียวสามารถสังหารได้ทุกสรรพสิ่ง

ทันใดนั้น ประกายดาบสีเลือดก็ห่อหุ้มเฉินซีอีกครั้ง

แต่เฉินซีกลับสงบนิ่งและมั่นคงขึ้นเรื่อย ๆ ร่างกายของเขาเป็นดั่งบ่อน้ำโบราณที่ไม่มีระลอกคลื่น กระทบกับดวงจันทร์อันสว่างไสวที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าโดยไม่เคลื่อนคล้อย ยันต์ศัสตราในมือของเขาฟันออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า ในขณะที่ชายหนุ่มใช้กระบวนกระบี่ทั้งแปดท่าของเคล็ดกระบี่หมื่นบรรจบ ตัวกระบี่พุ่งทะลุท้องฟ้าและปะทะกับปราณดาบสีโลหิตโดยไม่เสียเปรียบเลยแม้แต่น้อย

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อจังหวะของการต่อสู้ค่อย ๆ คลี่คลายลง เขาไม่เพียงแค่ตั้งรับอีกต่อไป แต่เริ่มตอบโต้กลับไปทีละนิด การตอบโต้นี้ซ่อนเร้นเป็นอย่างมาก แต่มันก็เพิ่มขึ้นทุกขณะ และบางทีอาจจะสามารถพลิกสถานการณ์ได้เมื่อมันสะสมถึงระดับหนึ่ง!

ที่นอกสังเวียน

เจิ้นหลิวชิง ฟ่านอวิ๋นหลาน ย่าชิง นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนและคนอื่น ๆ ต่างรู้สึกประหม่า

การต่อสู้ครั้งนี้อาจกล่าวได้ว่าน่าทึ่ง เพราะคนอื่น ๆ สามารถเพลิดเพลินไปกับการต่อสู้ในขณะที่รู้สึกตกใจและชื่นชม แต่พวกเขากลับแตกต่างออกไป เนื่องจากกังวลเกี่ยวกับเฉินซี จึงไม่มีใครสามารถรักษาความสงบได้

จ้าวขุนศึกหวงฝู่ไท่อู่ก็รู้สึกประหม่าเช่นกัน

ทันทีที่เฉินซีกับซูเฉินต่อสู้กัน พวกเขาได้ใช้กระบวนท่าที่อันตรายและไร้ความปรานี การโจมตีแต่ละครั้งดูจะต้องการล้างผลาญอีกฝ่ายหนึ่งไปตลอดกาล และพวกเขาก็ไม่ทิ้งโอกาสรอดชีวิตให้กับอีกฝ่ายเลย

“ฆ่าเขา ฆ่าเขา…” ในขณะที่หวงฝู่ไท่อู่กะพริบตา สายตาของเขาก็เผยให้เห็นแสงอันเยียบเย็นที่ปลดปล่อยเจตนาฆ่าอย่างไร้ขอบเขต และคาดหวังว่าซูเฉินจะทำลายเฉินซีภายใต้คมดาบให้สิ้น!

“โลหิตส่องสว่างไปทั้งท้องฟ้า กระบวนท่า ‘ฟันพิฆาตสุญตา’!” ที่บนสังเวียน ซูเฉินดูจะสังเกตเห็นแผนการของเฉินซี และทันใดนั้น ปราณดาบของเขาก็เคลื่อนไหวในทิศทางที่แตกต่างออกไปอีกครั้ง

“โอม!”

สีแดงของเลือดและเต๋าแห่งดาบที่อยู่โดยรอบได้มาบรรจบกันที่ปลายดาบ และแสงสีแดงเลือดที่ปลายดาบดูเหมือนจะดูดซับและกลืนกินกระแสลมและแสงที่อยู่ในพื้นที่โดยรอบ ทันทีที่ดาบเล่มนี้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าโดยมีคมดาบอยู่ตรงกลาง มิติก็ถูกทำลายจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ และมันได้กระจายไปสู่บริเวณโดยรอบ จนเกิดรอยแยกของมิติขนาดใหญ่!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท