บทที่ 405 ติดห้าอันดับแรก
บทที่ 405 ติดห้าอันดับแรก
ผู้บ่มเพาะที่เข้าชมทุกคนต่างตกตะลึง
การต่อสู้ที่อันตรายและน่าสะพรึงนี้จบลงด้วยชัยชนะของเฉินซี
ด้วยท่าทีซูเฉินในตอนแรกดูยิ่งใหญ่เกินต้านนัก จึงทิ้งความประทับใจไว้ในใจทุกคนได้อย่างลึกล้ำ ทว่าซูเฉินผู้หาญกล้ากลับแพ้เฉินซีไปเสียได้ ทุกคนจึงเผยความตกใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“เฉินซีเป็นม้ามืดอย่างแท้จริง แม้แต่ซูเฉินยังพ่ายแพ้ไป เขาติดหนึ่งในห้าอันดับแรกได้สำเร็จ!”
“น่าเสียดายที่ดวงจิตแห่งเต๋าของซูเฉินด้อยกว่าเล็กน้อย หากไม่ใช่เพราะเหตุนั้น บางทีเขาอาจจะรั้งอยู่ได้นานกว่านี้ก็ได้”
“พวกเจ้าทุกคนสังเกตหรือไม่ว่าวิญญาณของซูเฉินดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บสาหัส เส้นทางแห่งการบ่มเพาะพลังของเขาคงจะพังทลายแล้วกระมัง?”
การต่อสู้ระหว่างเฉินซีกับซูเฉินเพิ่งจบลง ทั่วทั้งนครหลวงธารสายไหมพลันตกอยู่ในความโกลาหล บางคนตกตะลึง บางคนรู้สึกสงสาร แม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพียังเดาะลิ้นด้วยความประหลาดใจ ล้วนรู้สึกว่าเฉินซียิ่งไม่ธรรมดา ปกปิดความแข็งแกร่งตนไว้ลึกล้ำ ไม่เผยออกมาอย่างสมบูรณ์
“เขาชนะ! พี่ใหญ่เฉินซีชนะด้วย!” มู่เหวินเฟยตื่นเต้นจนหน้าแดง เปล่งเสียงร้องออกมาดัง ๆ เพื่อระบายความประหม่าและความรู้สึกกดดันก่อนหน้านี้
ย่าชิงและหญิงสาวคนอื่น ๆ เหมือนภาระหนักถูกยกขึ้นจากอก ต่างมองไปที่เฉินซีด้วยตาเป็นประกาย
ที่กลางอากาศ ชิงซิ่วอี้ จ้าวชิงเหอ หวงฝู่ฉางเทียน และคนอื่น ๆ ล้วนตกตะลึงเช่นกัน ต่างมองว่าเฉินซีเป็นคู่ต่อสู้ที่ประมาทไม่ได้ไปแล้ว
“เฮ้อ!” เฉินซีกลับไปอยู่ข้างเจิ้นหลิวชิง ก่อนจะถอนหายใจยาวออกมาด้วยความโล่งอก สีหน้าซีดเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ เพื่อโจมตีจิตวิญญาณของซูเฉิน เขาใช้จิตสัมผัสเทพทั้งหมดออกไป ทำให้ทะเลจิตวิญญาณเหือดแห้งไปโดยสมบูรณ์และรู้สึกอึดอัดนัก
โชคดีที่เขามีเวลาก่อนเริ่มการต่อสู้ครั้งต่อไป หากใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดก็อาจฟื้นตัวกลับสู่สภาพเดิมได้อย่างสมบูรณ์
“ช่วยยืนเฝ้าให้ข้าหน่อย ข้าต้องนั่งสมาธิสักพัก” เฉินซีพูดกับเจิ้นหลิวชิงด้วยเสียงแผ่วเบา
“ไม่ต้องห่วง ไม่มีใครมารบกวนเจ้ากับข้าที่นี่ได้หรอก” เจิ้นหลิวชิงพยักหน้าตอบอย่างจริงจัง
เฉินซียิ้มและกำลังจะนั่งขัดสมาธิ
ทันใดนั้นเอง!
“ไอ้บัดซบ! นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน!” จ้าวขุนศึกหวงฝู่ไท่อู่ยืนอยู่บนสังเวียนสังหารปีศาจ มือโอบกอดซูเฉินที่หมดสติไปและตะโกนขึ้นมาอย่างโกรธเกรี้ยว เสียงดั่งฟ้าคำราม ความโกรธพลุ่งพล่านหนักหน่วงจนแม้แต่คนหูหนวกยังได้ยิน
ทันใดนั้น เสียงอึกทึกครึกโครมในนครหลวงธารสายไหมก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย มันเงียบสนิท แม้แต่บรรยากาศโดยรอบยังกดดัน ทุกคนพลันตกใจ พากันจับจ้องไปยังจ้าวขุนศึกผู้โกรธเกรี้ยว
“จิตวิญญาณของเขาแตกสลายเช่นนี้ต่างอะไรกับการตัดหนทางการบ่มเพาะพลังของเฉินเอ๋อร์กัน? เฉินซี! ก่อนหน้านี้การต่อสู้สิ้นสุดลงแล้วเห็น ๆ แต่เจ้ายังใช้วิชาโจมตีจิตวิญญาณโจมตีซูเฉิน เจ้าละเมิดกฎการแข่งขันอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้สมควรตาย! สมควรตาย!” ขณะที่ดวงตาของหวงฝู่ไท่อู่เบิกกว้าง ได้เผยให้เห็นสายฟ้าวาดผ่าน ก่อนที่เสียงฟ้าคำรามจะดังขึ้นพร้อมกับที่เขาตะโกนออกมาเสียงดังสนั่น
ร่างกำยำของเขาทั้งสูงและน่าประทับใจนัก ตอนนี้ ภายใต้การปะทุของโทสะ ทั่วร่างของเขาได้ปล่อยกลิ่นอายอันน่าสะพรึงออกมา สะท้านไปทั่วฟ้าดิน เมื่อมองจากระยะไกล ทั่วทั้งร่างเหมือนดวงอาทิตย์เปล่งประกาย ปล่อยแรงกดดันอันไร้ที่สิ้นสุดออกมา
เฉินซีรู้สึกหายใจไม่ออก ทั่วทั้งร่างแข็งทื่อ จิตสังหารอันน่าสะพรึงยิ่งของหวงฝู่ไท่อู่ได้ห่อหุ้มร่างของชายหนุ่มไว้โดยสมบูรณ์ เขารู้สึกราวกับตกอยู่ในห้วงมหาสมุทรลึก อาจจมน้ำสิ้นใจได้ตลอดเวลา!
แต่สีหน้าเขากลับดูสงบนิ่งเมื่อสบสายตากับหวงฝู่ไท่อู่โดยไร้ความกลัวแม้แต่น้อย เขารู้ว่าตราบใดที่จักรพรรดิซ่งยังอยู่ ตนย่อมไม่มีวันตกอยู่ในอันตรายแม้เพียงนิด ไม่ว่าหวงฝู่ไท่อู่จะโกรธแค้นเพียงใดก็ได้แต่ยอมรับผลก็เท่านั้น
“วิญญาณของเขาแตกสลาย! ไม่น่าแปลกใจเลยที่จ้าวขุนศึกจะเกรี้ยวกราดเช่นนั้น เช่นนี้ก็นับว่าซูเฉินพิการอย่างสมบูรณ์แล้ว”
“อนิจจา อัจฉริยะหาใครเทียบอีกคนกำลังจะล่มสลายแล้ว น่าเสียดายจริง”
“วิญญาณเป็นรากฐานเพื่อทำความเข้าใจเต๋าสวรรค์ หากได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก แม้จะได้รับการรักษา แต่ก็ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะในอนาคตมาก เขาดูโกรธนัก คงไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปเป็นแน่”
ในขณะเดียวกันนั้น ทุกคนก็พลันเข้าใจว่าจ้าวขุนศึกโกรธมากเพราะเฉินซีทำร้ายวิญญาณของซูเฉินอย่างหนัก
“ฝ่าบาท ก่อนหน้านี้พระองค์ทรงเห็นทุกอย่างแล้ว ได้โปรดอนุญาตให้ข้าสังหารเด็กคนนี้และคืนความยุติธรรมให้แก่เฉินเอ๋อร์ด้วย!” หวงฝู่ไท่อู่อ้อนวอนด้วยเสียงต่ำ
ทุกคนตกตะลึงนัก ไม่ได้หรอก ในเมื่อมันเป็นการต่อสู้ ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความตายได้ ซูเฉินไม่ได้ตายด้วยซ้ำ แล้วทำไมเฉินซีถึงต้องถูกฆ่าด้วยเล่า?
ไม่ต้องพูดถึงว่าถ้าเฉินซีละเมิดกฎการแข่งเลย หากเป็นเช่นนั้น ฝ่าบาทคงลงมือหยุดเขาไปนานแล้ว การกระทำของท่านจ้าวขุนศึกไม่ใช่ว่ามีอคติอยู่หรือ…?
มีเพียงหวงฝู่ฉางเทียนและคนอื่น ๆ เท่านั้นที่เผยรอยยิ้มเย็นชา แทบรอให้จ้าวขุนศึกลงมือสังหารเฉินซีระบายความแค้นไม่ไหว
“หยุดก่อน!” เหนือที่นั่งสูง จักรพรรดิซ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยคำสองคำออกมาเบา ๆ
เสียงของเขาไม่ดังนัก ทว่ากลับมีพลังไร้รูปร่างที่ลบล้างแรงกดดันที่จ้าวขุนศึกปล่อยออกมาจนหายไปอย่างสมบูรณ์ เฉินซีรู้สึกได้ทันทีว่าร่างกายผ่อนคลายขึ้น และเขาเดิมพันถูกแล้ว
“ฝ่าบาท…” หวงฝู่ไท่อู่รู้สึกไม่พอใจ
“เจ้าจะขัดความตั้งใจของข้าหรือ?” ทันใดนั้น จักรพรรดิฉู่ก็ลืมตาขึ้นและพูดเสียงเฉยเมย
หวงฝู่ไท่อู่รู้สึกกลัว ดูราวกับถูกสาดด้วยน้ำเย็นถึงหนึ่ง ทำให้ความโกรธในท้องพลันสลายไปโดยสมบูรณ์ ไม่กล้าพูดอะไรอีก เขาส่งสายตาเย็นชาให้เฉินซี ก่อนจะออกจากที่นั่นไปด้วยความโกรธ ไม่อยู่ดูการต่อสู้ต่ออีก
เหตุการณ์เล็กน้อยนี้ผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว
เฉินซีรู้สึกวางใจสนิท ไม่สนใจการต่อสู้ต่อมา นั่งทำสมาธิอย่างเต็มที่เพื่อฟื้นฟูความแข็งแกร่งกลับคืน
…
การต่อสู้ครั้งที่สี่ หวงฝู่ฉางเทียนปะทะหลิงอวี๋!
หลิงอวี๋เป็นศิษย์ที่ผู้เฒ่าประหลาดเก็บตัวสันโดษสอนสั่งมา ก่อนเขาจะเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่ง แทบไม่มีใครรู้ถึงตัวตนของคนคนนี้ แต่ความแข็งแกร่งของเขาเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนนัก!
ยิ่งไปกว่านั้น กระบวนยุทธ์ระดับเต๋าที่เขาฝึกฝนก็เป็นวิชาที่เกือบจะสูญหายไปจากใต้หล้า นั่นคือเกราะเต่าทมิฬ! พลังป้องกันของมันไม่อาจหาอะไรมาเทียบได้ ทำให้ร่างอวบของผู้ใช้ดูเหมือนขุนเขาที่ไม่อาจทะลวงผ่าน เป็นคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงกลัวซึ่งเก่งกาจด้านการป้องกัน
กลับกันนั้น หวงฝู่ฉางเทียนมีความเยือกเย็นและเย่อหยิ่ง การโจมตีนั้นกินพื้นที่มาก ทรงพลัง และหนักแน่น ทุกหมัดซัดโดนหลิงอวี๋ทั้งสิ้น ส่วนความดุดันในการโจมตี เขานับเป็นที่หนึ่งในหมู่คน
ในหมู่พวกเขา คนหนึ่งมีฝีมือด้านการป้องกัน อีกคนมีฝีมือด้านการโจมตี การต่อสู้ของพวกเขารุนแรงมาก ติดพันอยู่ในการต่อสู้ ไม่มีใครอาจรู้ผลการต่อสู้ได้
ทว่าสุดท้ายกลับเป็นหวงฝู่ฉางเทียนที่แพ้ไป!
เมื่อเห็นภาพฉากนี้ หวงฝู่จิ่งเทียนแห่งตำหนักจ้าวปัญญาก็เบิกตากว้าง ไม่กล้าเชื่อว่าบุตรชายคนโตของเขาจะแพ้เจ้าอ้วนนี่ได้
มันเกินคาดเหลือเกิน!
ไม่ต้องกล่าวถึงหวงฝู่จิ่งเทียน แม้แต่ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ก็ประหลาดใจเช่นกัน เจ้าอ้วนน้อยหลิงอวี๋ผู้นี้ดูเหมือนจะเริงร่าไปเรื่อย ทว่ากลับมีความแข็งแกร่งน่ากลัวมาก ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสเร้นกายท่านใดที่เป็นอาจารย์ของหลิงอวี๋
หวงฝู่ฉางเทียนรู้สึกไม่พอใจยิ่งที่ไม่สามารถติดห้าอันดับแรก แต่ที่ทำเขาโกรธแค้นมากที่สุดคือเขาไม่ได้แพ้เรื่องเคล็ดการต่อสู้ แต่เป็นเพราะเจ้าอ้วนน่ารังเกียจนี่ใช้วิชาป้องกันจนเขาใช้ปราณแท้หมด และไร้ทางเลือกจึงต้องยอมรับความพ่ายแพ้ไป!
‘บัดซบ! ไอ้สารเลวนี่เป็นแค่กระดองเต่าที่ทำลายไม่ได้ก็เท่านั้น ไม่กล้าตอบโต้ใด ๆ ช่างน่ารังเกียจยิ่ง!’ หวงฝู่ฉางเทียนยืนก้มหน้าอยู่ด้านหลังท่านพ่อ รู้สึกอายแต่ก็โกรธจนกัดฟันแน่น ในใจรู้สึกหดหู่และหงุดหงิดมาก
…
การต่อสู้ครั้งที่ห้า จ้าวชิงเหอปะทะอวี๋เซวียนเฉิน
นี่ก็เป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายแล้ว หลังจากจบรอบนี้ ห้าอันดับแรกแห่งการชุมนุมดาวรุ่งก็จะถือกำเนิดขึ้น
อวี๋เซวียนเฉินก็เหมือนกับหลิงอวี๋ เขาเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสคนหนึ่งที่เร้นกายสันโดษ มีนิสัยมั่นคงมาก ไม่มีวิสัยอย่างที่คนหนุ่มพึงมี แต่ก็เพราะเช่นนั้นเขาจึงยิ่งอ่านออกได้ยาก
วิชาที่เขาใช้นั้นคล้ายกับวิชากระบี่ แต่กลับเป็นค่ายกลกระบี่ที่หายากยิ่ง ซึ่งสร้างขึ้นจากกระบี่บินเจ็ดสิบสองเล่ม มีความเป็นไปของดวงดาราและจักรวาลอยู่ภายใน และมีค่ายกลพิฆาต ค่ายกลผูกมัด ค่ายกลลวงตา ค่ายกลป้องกันอยู่… พวกมันมีความหลากหลายที่เข้ากันได้อย่างลงตัว ทำให้มันลึกล้ำจนถึงขีดสุด
หากเฉินซีได้เห็นค่ายกลกระบี่นี้ เขาต้องสังเกตเห็นแน่ว่าวิชากระบี่ของอวี๋เซวียนเฉินมีมหาเต๋าแห่งดารากับยันต์อักขระอยู่
ยิ่งไปกว่านั้น ความสำเร็จของคนคนนี้ก็ลึกล้ำและน่าเกรงขามยิ่ง!
นอกจากนั้น การต่อสู้ของอวี๋เซวียนเฉินยังทำให้เกิดความรู้สึกเด่นชัด ราวกับเขากำลังร่างค่ายกลยันต์อักขระให้ดูก็มิปาน
ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีหรือการป้องกัน เขาล้วนมีความแม่นยำอย่างน่ากลัว
กลับกันนั้น ในฐานะศิษย์แห่งหอหยกนภา ความแข็งแกร่งในขัดเกลากายาเทพอสูรของจ้าวชิงเหอนั้นย่อมน่าเกรงขาม ทำให้ศึกระหว่างทั้งสองหนักหน่วงเป็นพิเศษ
ด้วยการต่อสู้ที่ใช้ความแม่นยำเกินเหตุของเขา อวี๋เซวียนเฉินจึงขาดความว่องไวและหลากหลาย ทำให้จ้าวชิงเหอใช้พลังมหาศาลทำลายค่ายกลกระบี่ ก่อนเข้าประชิดตัวแล้วโจมตีใส่ อวี๋เซวียนเฉินจึงไร้ทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับความพ่ายแพ้ไป
สุดท้ายแล้ว ผู้บ่มเพาะกายาก็นับว่าเหนือกว่าด้านการต่อสู้ระยะประชิด!
จ้าวชิงเหอจึงได้รับชัยชนะไปในการต่อสู้ครั้งนี้
จนถึงจุดนี้ ห้าอันดับแรกของการชุมนุมดาวรุ่งล้วนถูกกำหนดแล้ว พวกเขาคือชิงซิ่วอี้ เจิ้นหลิวชิง เฉินซี หลิงอวี๋ และจ้าวชิงเหอตามลำดับ
ในหมู่พวกเขา เฉินซีนับเป็นม้ามืดที่น่าทึ่งที่สุดในเวลานี้ เขาเผยให้เห็นพรสวรรค์และความฉลาดเกินธรรมดา ส่วนหลิงอวี๋ที่เป็นศิษย์ของผู้อาวุโสซึ่งเร้นกายสันโดษ ก็ทำให้ผู้คนตกตะลึงเช่นเดียวกัน ทั้งยังดึงดูดความสนใจของใครหลายคนด้วย
ส่วนชิงซิ่วอี้ เจิ้นหลิวชิง และจ้าวชิงเหอ เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ชั้นยอดที่มีชื่อเสียงลือนามมานานอยู่แล้ว ดังนั้นทุกคนจึงคิดไว้แล้วว่าทั้งหมดล้วนต้องสำเร็จได้เช่นนี้
แต่ก็ยังมีสิ่งที่เกินความคาดหมายเกิดขึ้น เช่น การถอนตัวของหวงฝู่ฉิงอิง ซูเฉินที่แพ้ไปอย่างน่าสมเพช วิธีการยอมรับความพ่ายแพ้อันน่าสลดของหวงฝู่ฉางเทียน และเรื่องอื่น ๆ
เดิมทีคนเหล่านี้มีโอกาสดีมากที่จะรุดเข้าสู่ห้าอันดับแรก แม้แต่สามอันดับแรกก็ตามที ทว่ากลับต้องคอตกจากไป นอกจากจะทำให้ทุกคนรู้สึกเสียใจแล้ว ยังอดตกใจกับจุดแข็งของคนที่เอาชนะพวกเขาได้ด้วย
สุดท้าย เมื่อคนเรามาถึงจุดหนึ่งได้เช่นเดียวกับคนเหล่านี้ เว้นเสียแต่ว่าจะมีความแกร่งขอบเขตเหนือกว่า ความแตกต่างทางพลังของแต่ละคนก็จะมีเพียงนิด นับว่ามองเมินไปก็ยังได้ แต่พวกเขาก็ยังคงพ่ายแพ้ไป นี่ก็พิสูจน์ให้เห็นถึงมุมมองหนึ่งได้ว่า แม้จะอยู่จุดสูงสุดของการบ่มเพาะพลัง แต่ก็ยังมีความแข็งแกร่งแตกต่างกัน ไม่อาจนำมารวมกันได้
…
นครหลวงธารสายไหมคึกคักเป็นอย่างมาก ทุกคนกำลังพูดคุยเรื่องการต่อสู้อย่างตื่นเต้น ทว่าบรรยากาศกลับตึงเครียดอยู่เล็กน้อย
เพราะตอนนี้ได้คัดเลือกห้าอันดับแรกแล้ว และขั้นตอนต่อไปคือการแข่งขันชิงสามอันดับแรก!
‘สามอันดับแรก…’ ดวงตาที่ปกคลุมไปด้วยหมอกควันของชิงซิ่วอี้ดูเปล่งประกายเล็กน้อย
‘ข้าต้องไม่ยั้งมือ!’ จ้าวชิงเหอกัดริมฝีปากตนเงียบ ๆ จิตวิญญาณหาญสู้ลุกโชนอยู่ในใจ
เจิ้นหลิวชิงและหลิงอวี๋ตกอยู่ในความเงียบเช่นกัน
มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่ดื่มด่ำกับการทำสมาธิ เขากำลังพยายามฟื้นฟูความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณในทะเลจิตวิญญาณอย่างหนัก จึงไม่ได้สังเกตเลยว่าบรรยากาศรอบกายนั้นค่อย ๆ ตึงเครียดขึ้นแล้ว
พร้อมกันนั้น มหาเสนาบดีก็ได้ถือกล่องหยกไว้ในมือแล้วเหินร่างเข้ามา จากนั้นก็กวาดตามองไปทางเฉินซีและคนอื่น ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจนขึ้นว่า “การแข่งขันรอบต่อไปกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว พวกเจ้าทั้งห้าคนออกมาจับสลากเถอะ”