บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 407 การพิพากษา

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 407 การพิพากษา

บทที่ 407 การพิพากษา

ในขณะที่ผู้ประลองห้าคนที่เหลือต้องจับสลาก แต่เฉินซีกลับได้รับป้ายคำสั่งสีดำสำหรับการเข้าสู่สามอันดับแรก โดยที่เขาไม่ได้ทำสิ่งใดเลย ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างมึนงงและรู้สึกไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น

“ความลึกลับของโชคชะตานั้นไม่อาจคาดเดาได้จริง ๆ ผู้ใดจะคาดคิดว่าโชคของเฉินซีจะยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาห้าคนนี้” ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนอื่น ๆ พยักหน้าเห็นด้วยเป็นอย่างมาก

ใบหน้าของหวงฝู่ฉางเทียนหม่นหมองลง เนื่องจากเมื่อครู่เขาได้ป่าวประกาศว่าเฉินซีเป็นตัวซวย แต่อีกฝ่ายกลับได้รับป้ายคำสั่งสีดำโดยไม่ได้มีส่วนร่วมในการจับสลากใด ๆ ซึ่งไม่ต่างกับการตบหน้าตนเองกลางสาธารณะ จึงทำให้เขารู้สึกขมขื่นเป็นอย่างยิ่ง

ในขณะเดียวกัน เฉินซีได้ฟื้นตัวจากการบ่มเพาะ ทำให้จิตวิญญาณของเขาสดชื่น จากนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่าทุกคนจ้องมองมาที่ตนเองด้วยความอิจฉา จึงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง “เกิดอะไรขึ้น?”

ชายหนุ่มรู้สึกงุนงง จึงเอ่ยถามเจิ้นหลิวชิงที่อยู่ข้าง ๆ ถึงเรื่องนี้ และหลังจากที่รู้เรื่องทั้งหมด เขาก็รู้ไม่ว่าจะตอบสนองอย่างไรดี “ข้าได้เข้ารอบสามอันดับแรกจริง ๆ หรือ?

“โชคของเจ้าไม่เลวเลย” เจิ้นหลิวชิงหัวเราะเบา ๆ ขณะที่ถอนหายใจ

เฉินซีหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา เขารู้สึกได้อย่างเลือนรางว่าสิ่งที่เกิดขึ้นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับไป๋คุย เนื่องจากเจ้าตัวเล็กเป็นสัตว์มงคลอันดับต้น ๆ ของโลกที่สามารถรวบรวมโชคชะตาจากสวรรค์และโลกได้ และบางทีเขาอาจได้รับประโยชน์จากการเชื่อมโยงกับไป๋คุย ทำให้ได้ป้ายคำสั่งสีดำนี้มาโดยไม่ต้องทำอะไรเลย!

“การประลองในรอบที่ห้าเป็นรอบที่สำคัญที่สุด หลังจากการประลองในรอบนี้ ผู้เข้ารอบสามอันดับแรกจะถูกตัดสิน และจะมีสิทธิ์เข้าไปในคลังขุมสมบัติของราชวงศ์ พวกเจ้าสามารถเลือกวิชากระบวนยุทธ์หรือพลังอิทธิฤทธิ์วิชาใดก็ได้ตามต้องการ ข้าหวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะหลีกเลี่ยงความเย่อหยิ่งและลดความหุนหันพลันแล่นได้ นอกจากนี้พวกเจ้าต้องไม่ลดละความพยายาม” บนท้องฟ้าที่สูงขึ้นไป สุรเสียงของจักรพรรดิซ่งดังก้องออกมาทันที

ฟุ่บ!

เสียงโห่ร้องของผู้คนหายไปอย่างไร้ร่องรอย สายตาของพวกเขาต่างจับจ้องไปที่จักรพรรดิซ่งขณะที่ตั้งใจฟังด้วยความเคารพ

“ขณะนี้การจับสลากได้สิ้นสุดลงแล้ว ไม่จำเป็นต้องล่าช้าอีกต่อไป การแข่งขันเริ่มขึ้นได้แล้ว!” น้ำเสียงที่ทรงพลังของจักรพรรดิซ่งดังก้องทั่วท้องฟ้าและผืนดิน จากนั้นพระองค์ก็โบกมือ ส่งลำแสงสีทองอันไร้ขอบเขตให้พุ่งออกมาปกคลุมร่างของเฉินซีและคนอื่น ๆ ในทันที ซึ่งได้ฟื้นฟูพละกำลังที่อ่อนล้า ปราณแท้ และปราณจ้าววิญญาณของพวกเขา

“การประลองคู่ที่หนึ่ง ชิงซิ่วอี้ ปะทะ เจิ้นหลิวชิง!”

“การประลองคู่ที่สอง จ้าวชิงเหอ ปะทะ หลิงอวี๋!”

“เฉินซีจะเข้าสู่รอบสามอันดับแรกโดยตรง หลังจากการประลองในรอบนี้จบลง เขาจะเข้าสู่การแข่งขันเพื่อชิงอันดับที่หนึ่ง อันดับที่สองและอันดับที่สาม!”

มหาเสนาบดีเก็บกล่องหยกและประกาศรายชื่อผู้ประลองที่กำลังจะมีขึ้นด้วยน้ำเสียงชัดเจน “ตอนนี้ ชิงซิ่วอี้กับเจิ้นหลิวชิง เจ้าทั้งคู่มุ่งหน้าไปยังสังเวียนสังหารปีศาจ และเริ่มการประลองได้!”

“ทราบแล้ว” ชิงซิ่วอี้กับเจิ้นหลิวชิงมองกันและกันจากระยะไกล ก่อนที่จะทะยานไปยังสังเวียนสังหารปีศาจอย่างรวดเร็ว

“คนหนึ่งเป็นเซียนสวรรค์กลับชาติมาเกิด อีกคนเป็นศิษย์ของหอวารีหมอก ข้าสงสัยนักว่าใครแข็งแกร่งกว่ากัน และใครจะถูกหยุดก่อนที่จะได้เข้าสู่การประลองเพื่อชิงสามอันดับแรก”

“ข้าคิดว่าโอกาสชนะของชิงซิ่วอี้นั้นสูงกว่า เต๋ารู้แจ้งแห่งแสงสว่างของนางแข็งแกร่งยิ่ง และเมื่อรวมกับประสบการณ์ของเซียนสวรรค์กลับชาติมาเกิด ทำให้นางเหนือกว่าเจิ้นหลิวชิงอย่างเห็นได้ชัด”

“ใช่! ชิงซิ่วอี้แข็งแกร่งอย่างแน่นอน!”

ขณะที่พวกเขามองไปยังหญิงสาวทั้งสองคนที่เข้าสู่สังเวียนสังหารปีศาจ ทั้งผู้บ่มเพาะและผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีต่างก็กลั้นหายใจอย่างใจจดใจจ่อ ดวงตาของพวกเขาแทบไม่กะพริบแม้แต่น้อย เนื่องจากเกรงว่าจะพลาดรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไป

“ทุกคนดูเหมือนจะไม่ชอบแม่นางเจิ้น… แต่นางมักจะทำตัวลึกลับและไม่ให้เป็นที่สนใจของผู้อื่น จึงเป็นเรื่องปกติที่จะไม่มีใครชมชอบนาง” แต่สิ่งที่เฉินซีครุ่นคิดอยู่ในใจไม่เหมือนกับคนอื่น ๆ เขารู้สึกว่าเจิ้นหลิวชิงไม่ได้ด้อยไปกว่าชิงซิ่วอี้เลยแม้แต่น้อย และนี่เป็นสัญชาตญาณประเภทหนึ่ง

ภายในสังเวียนสังหารปีศาจ

ชิงซิ่วอี้กับเจิ้นหลิวชิงยืนเผชิญหน้ากันจากระยะไกล

“เจ้าเป็นคู่ต่อสู้ที่คู่ควรแก่การให้ข้าต้องเอาจริง ดังนั้นข้าจะทุ่มพลังทั้งหมดในการต่อสู้” ชิงซิ่วอี้ยืนอย่างภาคภูมิขณะที่กล่าวอย่างเฉยเมย และใบหน้างดงามที่ไม่มีใครเทียบได้ของนางก็ปรากฏอยู่เบื้องหลังหมอกซึ่งปกคลุมรอบตัว ทำให้มองเห็นได้อย่างเลือนราง

นับตั้งแต่เข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้กล่าวก่อนเริ่มการต่อสู้ เห็นได้ชัดว่านางจริงจังกับเจิ้นหลิวชิงมากแค่ไหน

“ข้าก็เช่นกัน” เจิ้นหลิวชิงยิ้มขณะที่กล่าวอย่างรวบรัด

บุคลิกที่ไม่ธรรมดาเหมือนเซียนสวรรค์ของชิงซิ่วอี้นั้น แตกต่างกับเจิ้นหลิวชิงที่ดูจะเรียบง่ายและบริสุทธิ์ นางมีความงามตามธรรมชาติที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกอบอุ่นและเงียบสงบ อีกทั้งบุคลิกของนางก็ไม่ได้ด้อยกว่าชิงซิ่วอี้เลยแม้แต่น้อย และแต่ละคนก็มีข้อได้เปรียบที่แตกต่างกัน

ปัง!

ชิงซิ่วอี้ไม่ได้กล่าวอะไรอีก มือขาวยื่นออกไป ทำให้เกิดแสงสว่างอันไร้ขอบเขตปกคลุมสังเวียนสังหารปีศาจทันที แสงนั้นกว้างใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งยังมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง เสื้อผ้าของนางพลิ้วไปมาขณะที่ตัวคนเคลื่อนไหวภายในแสง ร่างของนางก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจล่วงเกินได้

“ดาบแห่งแสงสว่าง จงกลายเป็นกรงกักขังศัตรูข้า!” ชิงซิ่วอี้ทะยานไปบนท้องฟ้า ขณะที่พลังงานแสงสว่างรวมตัวกันกลายเป็นดาบแสงนับไม่ถ้วน เรียงตัวกันอยู่ท่ามกลางอากาศ จากนั้นมันก็พุ่งใส่เจิ้นหลิวชิง

ฟิ้ว! ฟิ้ว!

ดาบไร้รูปร่างเหล่านี้แฝงไปด้วยเต๋ารู้แจ้งแห่งแสงสว่าง ซึ่งมีพลังแผดเผาที่น่าสะพรึงที่สุดอยู่ ทุกที่ที่มันผ่านไป แม้แต่มิติก็ดูจะกลายเป็นเตากลั่นที่ลุกโชนด้วยเปลวเพลิงแห่งแสง

“ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก! ดาบแสงที่กลายเป็นกรงไม่เพียงแต่กักขังศัตรูได้เท่านั้น แต่ยังสามารถสังหารได้อีกด้วย ชิงซิ่วอี้ยามนี้อาจเริ่มใช้กระบวนท่าสังหารที่แท้จริงของนางแล้ว!” ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ากระบวนท่านี้ของชิงซิ่วอี้น่าสะพรึงกลัวเพียงใด

ไม่ใช่แค่เฉินซีเท่านั้นที่สัมผัสได้ ผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ในปัจจุบันก็สัมผัสได้เช่นเดียวกัน ขณะนี้ชิงซิ่วอี้ได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน และแตกต่างจากที่นางเคยเป็นในการประลองในครั้งก่อน ๆ

พลังที่นางปล่อยออกมาด้วยการยกมือ ทำให้ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติบางคนถึงกับหวาดกลัว เป็นการยากที่จะจินตนาการว่า นางเป็นเพียงผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเท่านั้นจริงหรือ…?

ครืนนนนน!

เมื่อชิงซิ่วอี้เปิดฉากโจมตี เจิ้นหลิวชิงก็เคลื่อนไหวเกือบจะในเวลาเดียวกัน ร่างของนางทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ผมสีดำขลับปลิวไสว ใบหน้าที่ขาวและงดงามเผยกลิ่นอายที่สง่างามและอำมหิตที่หาได้ยากออกมา ดวงตาของนางปราศจากอารมณ์ความรู้สึกแม้เพียงนิด เงียบงันและลึกล้ำราวกับอเวจี อีกทั้งยังมืดสนิทและไม่แยแสจนทำให้ใจสั่นไหว

“โลกอันขุ่นมัวเต็มไปด้วยความดีและความชั่วในใจคน บาปของสวรรค์และโลกจะต้องพินาศในความมืด บาปของสรรพสัตว์จะต้องถูกพิพากษา!” ท่ามกลางเสียงที่สงบ ไม่แยแส แผ่วเบาและไร้อารมณ์ของนาง ทันใดนั้น ความมืดอันไร้ขอบเขตได้พุ่งออกมาจากร่างของเจิ้นหลิวชิง มันเหมือนกับม่านแห่งรัตติกาลที่ปกคลุมไปทั้งสวรรค์และโลก

ความมืดนั้นไร้เสียง ลึกล้ำและมืดมิด ซึ่งแฝงไปด้วยแรงกดดันที่ทำให้ใจต้องสั่นไหว

มันเป็นความมืดมิดสุดขั้วรูปแบบหนึ่ง ความมืดที่ทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดรู้สึกหวาดกลัวและตัวสั่นราวกับว่าวันพิพากษาได้มาถึงแล้ว

ครืนน!

ทันทีที่พลังงานแห่งความมืดที่เต็มไปด้วยความตายและการทำลายล้างปรากฏขึ้น มันเกือบจะทำลายพลังงานแห่งแสงในสังเวียนสังหารปีศาจไปกว่าครึ่ง ในขณะที่เจิ้นหลิวชิงเป็นเหมือนราชินีที่ก้าวเดินออกมาจากความมืดด้วยความตั้งใจที่จะพิพากษาโลก!

เหตุการณ์นี้น่าทึ่งมาก ชิงซิ่วอี้เป็นดั่งตัวตนแห่งแสงที่ศักดิ์สิทธิ์และสูงส่งจนทำให้ผู้คนไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการทุ่มเทภาวนาให้แก่นาง และไม่กล้าดูหมิ่นหรือทำให้นางต้องขุ่นเคือง ในทางกลับกัน เจิ้นหลิวชิงดูเหมือนกำเนิดมาจากความมืด อำมหิต สง่างาม ไม่แยแส และไร้ความรู้สึก ซึ่งกระตุ้นความหวาดกลัวและความรู้สึกกดดันภายในหัวใจของผู้คน

คนหนึ่งเจิดจ้าเหมือนกลางวัน อีกคนกลับมืดมิดเหมือนกลางคืน

ในขณะนี้ ฉากต่อสู้ที่แปลกประหลาดและยิ่งใหญ่ภายในสังเวียนสังหารปีศาจ ทำให้ผู้คนรู้สึกประหลาดใจจนแทบลืมหายใจไปโดยไม่รู้ตัว

“เต๋ารู้แจ้งแห่งความมืด นี่มันการพิพากษา!” จู่ ๆ ท่านแม่ทัพใหญ่ก็เบิกตาโพลง จากนั้นโพล่งคำสองสามคำออกมาเบา ๆ น้ำเสียงของเขาสั่นไหวอย่างหาได้ยาก

“พลังงานแห่งความมืด? ไม่แปลกใจเลยที่สหายเก่าจากหอวารีหมอกถึงตั้งชื่อนางว่า ‘หลิวชิง’*[1] อาจเป็นเพราะเขาหวังว่านางจะไม่ฆ่าฟันมากเกินไปและมีความเมตตาเมื่อยามที่คู่ควร…” มหาเสนาบดีครุ่นคิด

“มันเป็นเต๋ารู้แจ้งแห่งความมืดจริง ๆ! นี่เป็นมหาเต๋าอันลึกล้ำที่หาได้ยากเช่นกัน และยังเป็นเหมือนกับฝาแฝดของเต๋ารู้แจ้งแห่งแสงสว่างที่ชิงซิ่วอี้ครอบครองอยู่ อีกทั้งพลังของพวกมันยังสูสีกันอีกด้วย!”

“แสงสว่างและความมืดเป็นมหาเต๋าที่หาได้ยากยิ่ง แต่กลับปรากฏขึ้นพร้อมกัน… การชุมนุมดาวรุ่งครั้งนี้เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน!”

เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีอุทานด้วยความชื่นชมซ้ำแล้วซ้ำเล่า และรู้สึกว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าพวกเขาดูเหมือนกับปาฏิหาริย์ หรือเป็นเรื่องบังเอิญ? หรือเป็นประสงค์ของสวรรค์? มหาเต๋าที่หาได้ยากทั้งสองประเภทที่เป็นดั่งฝาแฝดได้ปรากฏขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน!

“ที่แท้นางแข็งแกร่งถึงเพียงนี้!” เฉินซีรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก เจิ้นหลิวชิงในขณะนี้แตกต่างกับเจิ้นหลิวชิงที่เขาเคยเห็นในอดีต ดูอำมหิต สงบนิ่ง ไม่แยแสเหมือนราชินีแห่งความมืด และไม่มีร่องรอยของความเป็นมิตร บริสุทธิ์ เรียบง่าย และสง่างามอย่างเช่นเคย ทำให้ผู้อื่นรู้สึกถึงผลกระทบทางสายตาที่รุนแรง

แน่นอนว่า มันเป็นเพียงพลังที่เกิดขึ้นจากวิชากระบวนยุทธ์ระดับเต๋าของนาง ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเจิ้นหลิวชิงเป็นคนเช่นนี้ แม้ว่านางจะเป็นดั่งผู้พิพากษาแห่งความมืดที่ปราศจากอารมณ์ แต่เฉินซีก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรให้ต้องกังวล เนื่องจากฟ่านอวิ๋นหลานก็ครอบครองเต๋ารู้แจ้งของนิกายอสูรเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกัน

“ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าทำให้ข้ารู้สึกว่าถูกคุกคามอย่างรุนแรง ที่แท้เจ้าก็หยั่งรู้เต๋ารู้แจ้งแห่งความมืด เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน แสดงให้ข้าดูหน่อยว่า เต๋ารู้แจ้งแห่งความมืดของเจ้าจะทรงพลังกว่าหรือเต๋ารู้แจ้งแห่งแสงสว่างของข้าเหนือกว่ากัน” ดวงตาของชิงซิ่วอี้พลันหรี่ลง เมื่อนางเห็นเต๋ารู้แจ้งแห่งความมืดของเจิ้นหลิวชิง ประกายแสงอันงดงามก็ส่องสว่างจากดวงตา จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของชิงซิ่วอี้ไม่ได้มีทีท่าที่จะลดลง แต่กลับทวีเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง และนางได้เปิดฉากโจมตีอีกครั้ง!

“ข้าจะสู้กับเจ้าจนถึงที่สุด” เจิ้นหลิวชิงตอบกลับอย่างเฉยเมย และก็ไม่ได้ชักช้าแม้แต่น้อย มือขาวคู่นั้นโบกสะบัดไปมา ทำให้พลังงานแห่งความมืดที่ไร้ขอบเขตแปรเปลี่ยนเป็นปรากฏการณ์มากมายที่ฉีกผ่านท้องฟ้า

ครืนนน!

หญิงสาวทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือด พลังงานแสงและความมืดเข้าปะทะกัน ทำให้พลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวปะทุขึ้น ในขณะนั้น ผู้คนที่อยู่ที่นั่นรู้สึกราวกับว่าสวรรค์กำลังจะพังทลายลง

แต่โชคดีที่การต่อสู้เกิดขึ้นในสังเวียนสังหารปีศาจ มิฉะนั้นผลที่ตามมาก็ยากจะคาดถึง

“แสงสว่างและความมืดเป็นมหาเต๋าลึกล้ำที่สุดขั้ว หากข้าสามารถควบคุมพวกมันและใช้คู่กับเพลงหมัดมหาทำลายล้าง บางทีพลังของมันอาจจะน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่านี้…” ดวงตาของเฉินซีจดจ่อไปที่สังเวียนขณะที่เขาดำดิ่งสู่ห้วงความคิด

“พลังแสงของชิงซิ่วอี้เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด”

“สำหรับข้าแล้ว ดูเหมือนว่าเต๋ารู้แจ้งแห่งความมืดของเจิ้นหลิวชิงจะมีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า”

ในขณะนี้เฉินซีกำลังเรียนรู้ประสบการณ์จากการต่อสู้และครุ่นคิดอย่างต่อเนื่อง…

ทันใดนั้น เจิ้นหลิวชิงซึ่งแต่เดิมเป็นดั่งอสุรีที่ดุร้ายและอำมหิต พลันหยุดมืออย่างกะทันหัน แล้วนางก็พุ่งออกมาจากสังเวียนทันที!

ในเวลาเดียวกัน ชิงซิ่วอี้ก็หยุดมือและมองไปที่เจิ้นหลิวชิงเช่นกัน เห็นได้ชัดว่านางก็สงสัยว่า เหตุใดเจิ้นหลิวชิงถึงหยุดต่อสู้และถอนตัวไป

“เดิมที ด้วยนิสัยของข้า ข้าจะสู้กับเจ้าจนถึงที่สุดอย่างแน่นอน แต่ครั้งหนึ่งข้าเคยสัญญากับใครบางคนไว้ว่า จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างพวกเจ้าทั้งสองคน ดังนั้น… เจ้าควรพักและฟื้นฟูพลังเพื่อจะได้ต่อสู้กับเขาอย่างเหมาะสม” เสียงที่ไม่แยแสและแผ่วเบายังคงลอยอยู่ในอากาศ เมื่อเจิ้นหลิวชิงได้ออกจากสังเวียนสังหารปีศาจแล้ว

ชิงซิ่วอี้ตกตะลึง จากนั้นนางก็ดูจะนึกอะไรบางอย่างได้ ทำให้นางรีบมองไปยังร่างสูงโปร่งของเฉินซีที่อยู่ไกลออกไป “นี่นางไม่คิดจะต่อสู้เพื่อเป็นหนึ่งในสามอันดับแรก ก็เพราะเขาหรือ?”

[1] 流晴 ในชื่อของเจิ้นหลิวชิง มีความหมายว่า ‘แสดงความเมตตา’

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท