บทที่ 411 เด็กคนนั้น
บทที่ 411 เด็กคนนั้น
เฉินซีชนะแล้ว!
เขาไม่ได้ใช้ปราณแท้ แต่กลับเอาชนะจ้าวชิงเหอที่ใช้ทักษะขัดเกลากายาจนเชี่ยวชาญที่สุดไปได้!
เมื่อพวกเขาเห็นภาพนี้ ทั่วทั้งนครหลวงธารสายไหมก็ตกอยู่ในความตื่นตะลึง ไม่มีใครกล้าเชื่อว่าเฉินซีจะร้ายกาจถึงขนาดปราบจ้าวชิงเหอที่ใช้ทักษะการขัดเกลากายาและกำชัยคราแรกของสามอันดับแรกไว้ได้
ตอนที่สู้กับซูเจี้ยนคงและซูเฉินก่อนหน้านี้ ทั้งคู่เป็นผู้บ่มเพาะปราณแท้ที่เชี่ยวชาญเต๋าแห่งกระบี่และเต๋าแห่งดาบ ในขณะที่เฉินซีก็ใช้ปราณแท้เพื่อต่อกรและเอาชนะพวกเขาไปได้ด้วยคมกระบี่
ทำให้ทุกคนคิดว่าเฉินซีเป็นผู้บ่มเพาะกระบี่สายบริสุทธิ์ที่เดินไปบนเส้นทางแห่งกระบี่เท่านั้น ใครจะคิดว่าทักษะขัดเกลากายาของชายหนุ่มเองก็น่าตกใจไม่แพ้กัน?
แม้แต่จ้าวชิงเหอยังพ่ายแพ้ไปอย่างหมดท่าด้วยน้ำมือเขา…
จ้าวชิงเหอคือใครน่ะหรือ? เขาคือศิษย์สายหลักแห่งหอหยกนภา อัจฉริยะหาตัวจับยากที่นักพรตเต๋าชราผู้เร้นกายฟูมฟักมากับมือ ทักษะขัดเกลากายาของเขาบรรลุสู่จุดสุดยอดแล้ว และมีผู้บ่มเพาะรุ่นเยาว์เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถนำมาเทียบได้
ก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้น คนส่วนใหญ่วาดภาพฝันของเขาเอาไว้ดีมาก ล้วนมั่นใจว่าคนคนนี้มีโอกาสคว้าอันดับแรกในการชุมนุมดาวรุ่งในครั้งนี้
ทว่าในขณะนี้ อัจฉริยะผู้เยี่ยมยอดและโดดเด่นเช่นนี้กลับต้องพ่ายแพ้ไปด้วยน้ำมือของเฉินซี นอกจากนี้เขายังแพ้ในด้านการขัดเกลากายาที่เขาเชี่ยวชาญที่สุดด้วย…
ความขัดแย้งระหว่างความเป็นจริงกับความคาดหวังทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีต่างก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก
“เขาชนะ! ฮ่า ๆ! พี่ใหญ่เฉินซีชนะด้วย! คนส่วนใหญ่มองจ้าวชิงเหอว่าเป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุดในการชิงอันดับหนึ่ง แต่กลับแพ้พี่ใหญ่เฉินซีเหมือนกัน!” มู่เหวินเฟยตื่นเต้นมากจนตะโกนออกมาเสียงดัง “ที่หนึ่ง ที่หนึ่ง คว้าอันดับหนึ่งในการชุมนุมดาวรุ่งมาเลย!”
“ชิงอันดับหนึ่งเลย” ย่าชิงและหญิงสาวคนอื่นเผยรอยยิ้มบนใบหน้าพลางร้องออกมาอย่างตื่นเต้น
“ท่านลุงเป็นคนที่น่าเกรงขามจริง ๆ ถึงกับฉีกร่างคนแยกจากกันได้” เฉินอวี่น้อยแลบลิ้น สีหน้าของเขาดูประหลาดใจ
เฟยเหลิ่งชุ่ยคลี่ยิ้ม นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนที่อยู่ข้าง ๆ ก็เริ่มยิ้มเช่นกัน
เจิ้นหลิวชิงมองเฉินซีที่เดินออกมาจากสังเวียนสังหารปีศาจอยู่ไกล ๆ ตอนนี้ ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีทั้งหมดกำลังจ้องมองไปยังเฉินซี ที่นับเป็นตัวตนโดดเด่นรุ่งโรจน์ทีเดียว
เจิ้นหลิวชิงรู้สึกตื่นเต้นแทนเฉินซีเช่นกัน
เหลือเพียงการต่อสู้ครั้งสุดท้ายแล้ว เจิ้นหลิวชิงพึมพำด้วยความคาดหวัง “หากเขาเอาชนะชิงซิ่วอี้ได้ เฉินซีจะกลายเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์อันดับหนึ่งในการชุมนุมดาวรุ่ง”
…
การต่อสู้ครั้งที่สอง ชิงซิ่วอี้ปะทะจ้าวชิงเหอ
หลังจากการต่อสู้กับเฉินซี จ้าวชิงเหอก็ใช้กำลังไปมาก ทว่าจักรพรรดิซ่งก็ลงมือทันที เติมปราณจ้าววิญญาณให้เขาฟื้นคืนโดยสมบูรณ์ และให้เวลาชายหนุ่มหนึ่งก้านธูปในการพักฟื้นพลัง
ตอนนี้เขายืนอยู่บนสังเวียนสังหารปีศาจ ทั่วร่างเต็มไปด้วยพลังงานและพละกำลังอีกครั้ง ตัวคนมีสีหน้าสงบ ไม่ได้สูญเสียจิตวิญญาณการต่อสู้เพราะแพ้เฉินซีในการต่อสู้ครั้งแรกไปแต่อย่างใด
ยิ่งไปกว่านั้น การเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่อย่างชิงซิ่วอี้กลับกระตุ้นความอยากต่อสู้ที่ไม่ยอมจำนนภายในร่างเขาขึ้นมาด้วย ทันทีที่การต่อสู้เริ่มขึ้น เขาก็ใช้พลังทั้งหมด ทั้งพลังอิทธิฤทธิ์ขั้นสูงและลมปราณอันน่าเกรงขามอย่างหาใครเทียบไม่ได้ เข้าต่อสู้กับชิงซิ่วอี้อย่างดุเดือด
ในเมื่อเขามาได้ถึงขนาดนี้แล้ว ความแข็งแกร่งของจ้าวชิงเหอย่อมไม่ได้ด้อยไปกว่าเฉินซีและชิงซิ่วอี้เลย อีกทั้งในฐานะผู้ขัดเกลากายา เขายังได้เปรียบกว่าผู้บ่มเพาะปราณแท้ด้วย แต่ในการต่อสู้ ความแข็งแกร่งไม่ใช่ตัวแปรเดียวที่กำหนดผลลัพธ์ ทั้งวิชาทั้งหลาย พลังอิทธิฤทธิ์ สมบัติวิเศษ การบ่มเพาะดวงจิตแห่งเต๋า… และตัวแปรอื่น ๆ ต่างก็สามารถส่งผลได้ทั้งนั้น
ยิ่งอยู่ในสถานการณ์ที่ความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายเกือบจะเท่าเทียมกันแล้ว การต่อสู้จึงไม่ใช่การแข่งด้านพลังบ่มเพาะ แต่เป็นการแข่งดวงจิตแห่งเต๋าว่าใครแกร่งกว่า หรือการบ่มเพาะวิชาและพลังอิทธิฤทธิ์ของใครแกร่งกว่ากัน
ศึกระหว่างจ้าวชิงเหอและชิงซิ่วอี้เองก็ดุดันไม่แพ้กัน แต่สุดท้ายก็ยังเป็นจ้าวชิงเหอที่ด้อยกว่าเล็กน้อย จนลงเอยด้วยการพ่ายแพ้เต๋ารู้แจ้งแห่งแสงของชิงซิ่วอี้ไปอย่างง่ายดาย
เมื่อเขาออกจากสังเวียนสังหารปีศาจมา จ้าวชิงเหอก็เหลือบมองเฉินซีและเหมือนกับจะพูดว่า ‘เจ้าเองก็เห็น หากอยากได้อันดับหนึ่งในการชุมนุมดาวรุ่ง เช่นนั้นชิงซิ่วอี้ก็เป็นอุปสรรคที่ยากจะก้าวข้าม’
เฉินซีมีสีหน้าสงบและไม่แสดงความคิดเห็น
จ้าวชิงเหอหัวเราะเยาะตัวเองพลางส่ายหัว จากนั้นก็กลับไปยืนด้านข้างอาจารย์ตน ก้มศีรษะลงแล้วเงียบไป เห็นได้ชัดว่าการแพ้ให้กับเฉินซีและชิงซิ่วอี้อย่างต่อเนื่องทำลายความมั่นใจของเขาไม่ใช่น้อย
นักพรตเต๋าเฒ่าผู้เฉื่อยชาถอนหายใจเบา ๆ แต่ก็ยิ้มบางออกมาและพูดว่า “ชิงเหอ ข้าพอใจมากแล้วที่เจ้าสามารถติดอยู่ในสามอันดับแรกได้ มันเป็นเพียงการแข่งขัน ไม่สามารถตัดสินอะไรได้มากนักหรอก ชัยชนะที่แท้จริงถูกกำหนดโดยผู้ที่สามารถเอาชนะทัณฑ์สวรรค์เพื่อขึ้นเป็นเซียนสวรรค์ได้ต่างหาก นั่นคือเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ที่กำหนดอนาคตของผู้บ่มเพาะได้เลย ผู้ที่เอาชนะได้ย่อมกลายเป็นเซียน ในขณะที่หากพ่ายแพ้จะถูกทำลายสิ้น!”
“ขอรับ ท่านอาจารย์ไม่ต้องห่วง ข้าจะบ่มเพาะพลังและกลายเป็นเซียนสวรรค์ได้ก่อนพวกเขาแน่นอน!” จ้าวชิงเหอพยักหน้าขณะลอบกำหมัดแน่น
…
จ้าวชิงเหอพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง จึงมาหยุดที่อันดับสาม ไม่มีโอกาสคว้าอันดับหนึ่งได้อีกต่อไป
ตอนนี้ เฉินซีและชิงซิ่วอี้กำลังทำสมาธิเพื่อฟื้นพลัง
การประลองในรอบสุดท้ายจะเริ่มขึ้นหลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้สิ้นสุดลง ก็จะได้ผู้คว้าอันดับหนึ่งมา ทำให้มันเป็นการต่อสู้ครั้งสำคัญนัก
ในขณะนี้ ทั่วทั้งนครหลวงธารสายไหมตกอยู่ในความเงียบโดยสมบูรณ์ แม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีต่างก็นิ่งเงียบราวกับกลัวว่าจะรบกวนการทำสมาธิกับฟื้นพลังของเฉินซีและชิงซิ่วอี้
บรรยากาศดูจะเงียบสงบมาก ทว่าก็มีความรู้สึกกดดันคล้ายพายุกำลังจะพัดกระหน่ำ
เฉินซีเป็นม้ามืดที่น่าทึ่งที่สุดในการชุมนุมดาวรุ่งครั้งนี้ทีเดียว เขาเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ มาตลอดและชนะทุกการประลองมาได้ สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือ ไม่เพียงแต่การบ่มเพาะปราณแท้ของเขาจะน่าเกรงขามเท่านั้น แม้แต่การขัดเกลากายาของเขาก็น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง เป็นผู้น่ายำเกรงที่ปกปิดความแข็งแกร่งได้มิดชิดทีเดียว
ในทางกลับกัน ชิงซิ่วอี้เป็นเซียนสวรรค์จุติคนแรกที่ปรากฏตัวขึ้นในแผ่นดินซ่ง เป็นเหมือนนางสวรรค์ดูสูงส่งห่างไกลจากใต้หล้า นางครอบครองความทรงจำชาติก่อนในฐานะเซียนสวรรค์ และคนที่น่าเกรงขามอย่างจ้าวชิงเหอก็ยังพ่ายแพ้ให้แก่นางอย่างง่ายดาย จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครบีบให้นางตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังได้
ตอนนี้ผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งสองที่ไม่ธรรมดา กำลังจะเปิดศึกต่อสู้ครั้งสุดท้ายของการชุมนุมดาวรุ่ง และตัดสินหาผู้ชนะกันแล้ว เช่นนี้จะไม่ให้ตั้งตารอชมได้อย่างไรกัน?
ในขณะนี้ ทุกสายตามาบรรจบยังที่เดียวกัน ล้วนพากันกลั้นหายใจขณะมองไปทางทั้งสองคนด้วยใจจดจ่อ
“การประลองครั้งที่สาม ชิงซิ่วอี้ปะทะเฉินซี! ทั้งสองคน ขึ้นสังเวียนสังหารปีศาจได้” หลังจากผ่านไปชั่วยามหนึ่ง จักรพรรดิซ่งก็ประกาศเริ่มการประลองด้วยตนเองจากที่นั่งสูงเสียดฟ้า ทำลายความเงียบในนครหลวงธารสายไหมลง
ฟิ้ว!
เฉินซีเหลือบมองชิงซิ่วอี้จากระยะไกล ก่อนจะรุดเข้าสังเวียนสังหารปีศาจไปก่อน ตอนนี้ใจของเขากระจ่างชัดและสงบเงียบ ไม่ได้รู้สึกว่าความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างคนทั้งคู่มารบกวนแต่อย่างใด
ชิงซิ่วอี้กระโดดเข้ามาราวกับฝนในม่านหมอก ก่อนเข้าสู่สังเวียนสังหารปีศาจ นางยืนอยู่ที่นั่นเพียงลำพังด้วยอาภรณ์พลิ้วไหวและรูปลักษณ์งดงามไร้ที่ติที่มองเห็นได้เพียงราง ๆ ดูจะลอยไปกับลม ทำให้นางดูเหนือจริง ราวกับเห็นได้แต่ไม่อาจสัมผัส
ตรงข้ามกับนางคือเฉินซีที่ยืนอยู่อย่างเปิดเผยในชุดสีฟ้าและผมสีดำที่พลิ้วไหว ดวงตาสีดำสนิทลึกล้ำดูไม่แยแสดั่งธารน้ำนิ่ง ไม่เย่อหยิ่งหรือหุนหัน ทว่าบริสุทธิ์และเป็นธรรมชาติ เขาเป็นดั่งศิลาที่เติบโตอยู่บนหน้าผาท่ามกลางหมู่เมฆา ไม่สุขไม่เศร้าต่อสิ่งรอบกาย
ตอนนี้ทุกคนต่างจับจ้องไปยังบุรุษและสตรีตาไม่กะพริบ ด้วยกลัวจะพลาดรายละเอียดใดไป ทำให้ต้องเสียใจไปชั่วชีวิต
“ในที่สุด ช่วงเวลาที่รอคอยมายาวนานก็มาถึง” ชิงซิ่วอี้พลันพูดออกมา เป็นคำกล่าวที่ดูประหลาดนัก
จากนั้นนางก็สบตากับเฉินซีก่อนจะพูดเสียงเรียบว่า “ก่อนที่เราจะประมือกัน ข้ามีเงื่อนไข”
“เจ้ามีอะไรก็ว่ามา” เฉินซีเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นช้า ๆ
“หากเจ้าแพ้ ก็จงจบชีวิตของตัวเองต่อหน้าข้าเสีย” ชิงซิ่วอี้ตอบโดยไม่คิด
เฉินซีชะงัก จากนั้นก็มุ่นคิ้วช้า ๆ “ด้วยเหตุใดหรือ?”
เฉินซีไม่ใช่คนเดียวที่สับสน ผู้บ่มเพาะที่เข้าชมทุกคนก็เช่นกัน เหตุใดทำให้ชิงซิ่วอี้ที่นิ่งดั่งสายน้ำร้องขอสิ่งที่โหดร้ายเช่นนี้ได้?
หรือจะมีความอาฆาตอะไรระหว่างนางกับเฉินซีที่ไม่อาจยอมกันได้?
ทุกคนอยากรู้เป็นอย่างยิ่ง
“นางทำเกินไปแล้ว!” ย่าชิงและหญิงสาวคนอื่นขมวดคิ้วไม่พอใจยิ่ง การประลองก็คือการประลอง ใครคิดจะเดิมพันชีวิตกันล่ะ? เงื่อนไขนี้ช่างไร้สาระยิ่ง!
มีเพียงฟ่านอวิ๋นหลานเท่านั้นที่จับสังเกตบางอย่างได้ราง ๆ ทำให้นางอึ้งไป แต่ก็ยังไม่มั่นใจนัก
ชิงซิ่วอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ดูเหมือนจะตัดสินใจครั้งใหญ่ได้แล้ว จากนั้นนางก็โบกมือเนียนขาว กระจกแห่งการแลกเปลี่ยนลอยขึ้นมาปรากฏกลางอากาศและเกิดเป็นภาพหนึ่งขึ้น
กระจกแห่งการแลกเปลี่ยนเป็นผลึกและโปร่งแสง ภาพที่ฉายออกมาดูเรียบง่ายนัก มันเป็นบ้านที่มีโต๊ะเครื่องแป้ง เตียง โต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นห้องนอนของสตรีคนหนึ่ง ดูสง่างามและเป็นระเบียบเรียบร้อยนัก
ทว่าทันทีที่เฉินซีมองกระจกแห่งการแลกเปลี่ยน เขาก็ราวกับถูกฟ้าผ่า ไม่อาจละสายตาไปจากมันได้อีก
เพราะภายในห้องนอนนั้นยังมีเตียงเล็กอีกหนึ่งหลัง ข้างเตียงยังมีกลองป๋องแป๋ง ดาบไม้ขนาดเล็ก และของเล่นเด็กอื่น ๆ อีกมากมาย สำคัญที่สุดคือ มีเด็กคนหนึ่งอายุราวสี่ห้าขวบ กำลังยกสองมือเท้าคางอยู่บนโต๊ะไม้ ดูกำลังเบื่อเต็มที่ และมองเหม่อมายังกระจกแห่งการแลกเปลี่ยน!
“นั่นมัน…” เฉินซีจ้องเด็กคนนั้นพลางอ้าปากค้าง ทั่วร่างอดสะท้านไม่ได้ ดูราวกับชะงักไป
“ก็แค่เด็กคนหนึ่งไม่ใช่หรือ? มันจะเอะอะอะไรกันได้?” ในขณะเดียวกันนั้น คนส่วนใหญ่ได้เห็นภาพกันแล้ว ล้วนพากันงุนงงเป็นยิ่งนัก เพราะไม่รู้ว่าเหตุใดเฉินซีจึงตกใจนัก
มีเพียงย่าชิงและคนเพียงไม่กี่คนที่มองไปยังเด็กแล้วก็มองไปที่เฉินซี จากนั้นความคิดอันน่าตกใจก็บังเกิดขึ้นพร้อมกัน
“เอ๋ หน้าตาน้องชายตัวเล็กนั่นเหมือนท่านลุงมากเลย!” เสียงที่กระจ่างฟังไพเราะดังขึ้น เป็นเฉินอวี่น้อยนั่นเอง เขาอายุเพียงห้าหรือหกขวบเท่านั้น ทำให้ไม่อาจซ่อนอะไรไว้ในใจได้ พูดทุกอย่างในใจออกมาสิ้น
สิ้นคำเขา ย่าชิง นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยน และคนอื่น ๆ ก็มองหน้ากัน ความคิดประหลาดพลันผุดขึ้นมา ‘หรือว่าเด็กคนนั้น… เป็นลูกชายของเฉินซีจริง ๆ?’
“เจ้าหนูนั่นดูเหมือนเฉินซีจริง… อ๊ะ เดี๋ยวก่อน! คงจะไม่ใช่ลูกชายของเฉินซีจริง ๆ หรอกกระมัง”
ในขณะเดียวกันนั้น ทุกคนก็สังเกตเห็นความน่าสงสัยนั่น และจ้องภาพนั้นตาโต เผยความรู้สึกตกตะลึงออกมา หากเขาเป็นลูกชายของเฉินซีจริง ทำไมถึงไปอยู่กับชิงซิ่วอี้เล่า? หรือว่า…
“หรือจะเป็นลูกที่เกิดจากเฉินซีกับชิงซิ่วอี้?”
ทันทีที่คิดได้เช่นนี้ ทุกคนก็ตกตะลึงพรึงเพริดจนอ้าปากค้าง รู้สึกมึนงงราวกับภาพตรงหน้าไม่ใช่เรื่องจริง