บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 417 คลังสมบัติราชวงศ์

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 417 คลังสมบัติราชวงศ์

บทที่ 417 คลังสมบัติราชวงศ์

บนชั้นเก้าของพระราชวังธารสายไหมคือพื้นที่ที่แปลกประหลาด ซึ่งปกคลุมไปด้วยแสงและปราณมงคล ยังมีภูเขา น้ำตก และดอกไม้พืชพันธุ์หายาก ทำให้ทิวทัศน์ดูวิจิตรตระการตานัก

คลังสมบัติราชวงศ์ถูกสร้างขึ้นภายในเขตหวงห้ามที่งดงามและลึกลับแห่งนี้ ห้ามมิให้ใครเข้ามา เนื่องจากเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของราชวงศ์ซ่ง

เมื่อเขาเดินตามแม่ทัพใหญ่เพื่อเข้าไปในพื้นที่เหมือนสวรรค์ของเหล่าเซียนนี้แล้ว เฉินซีก็สังเกตเห็นได้ในแวบเดียวว่ามีอาคารโบราณขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า มันปลดปล่อยลมปราณโบราณออกมา และมีอายุมากราวกับว่าอยู่ที่นั่นมาชั่วนิรันดร์ ทนทรหดต่อสรรพสิ่งมานานนับไม่ถ้วน

อาคารหลังนี้สร้างขึ้นจากหินขนาดใหญ่ มันกว้างใหญ่และสูงมาก ในขณะที่กระเบื้องบนผนังราวกับแก้วที่เคลือบด้วยลำแสงสีทองไว้ชั้นหนึ่ง ซึ่งอาบด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์และปราณมงคลเหมือนวิหารเซียน เจือด้วยความศักดิ์สิทธิ์ชั้นบาง ๆ ที่ทำให้คนรู้สึกอยากบูชา

นี่คือคลังสมบัติราชวงศ์ คลังสมบัติที่กว้างขวางเป็นยิ่งนัก!

เมื่อหันหน้าไปทางอาคารกว้างใหญ่ซึ่งคล้ายวิหารเซียนแห่งนี้ สีหน้าของเฉินซี ชิงซิ่วอี้ และจ้าวชิงเหอก็ดูเคร่งขรึมราวกับว่าเกิดความรู้สึกเคารพและความเงียบสงบขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ราวกับว่าพวกเขากำลังเดินทางแสวงบุญเพื่อชำระล้างจิตวิญญาณ

แม้แต่สีหน้าของคนที่นำทางก็ยังมีร่องรอยความเคารพเมื่อเข้ามาถึงที่นี่

ที่นี่คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สูงสุดแห่งราชวงศ์ ไม่แปลกที่จะมีผู้เยี่ยมยุทธ์เฝ้ายามอยู่ บนบันไดหินก่อนถึงตัวอาคารยังมีชายชราคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่โดยไม่ขยับแม้แต่น้อย ราวกับเป็นรูปปั้นหิน

ชายชราลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นพวกเขาเข้าไป สายฟ้าสองสายเต้นระริกอยู่ภายในนัยน์ตา ก่อนเขาจะกวาดสายตามองไปทั่ว ทันใดนั้น ใจของเฉินซีและคนอื่น ๆ ก็สั่นสะท้าน รู้สึกถึงแรงกดดันที่หนักจนแทบหายใจไม่ออก

ชายชราผู้นี้เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่น่าสะพรึงกลัวเป็นยิ่งนัก! ส่วนเฉินซีและคนอื่น ๆ ยิ่งระมัดระวัง ไม่กล้าล่วงเกินแม้แต่น้อย

“สามสหายน้อยเหล่านี้คือสามอันดับแรกในการชุมนุมดาวรุ่งในครั้งนี้หรือ?” ชายชราพูดออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา ฟังดูเรียบเฉย ทั้งร่างไร้พลังใดเล็ดลอดออกมา ดูเหมือนคนธรรมดาที่ไม่รู้จักการบ่มเพาะ

เช่นนี้ทำให้เฉินซีเข้าใจว่า ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่แท้จริงนั้น บางครั้งดูจากรูปลักษณ์ภายนอกเพียงอย่างเดียวก็ไม่อาจตัดสินได้ เพราะยิ่งผู้บ่มเพาะน่าเกรงขามมากเท่าไร ก็ยิ่งมีทักษะในการเร้นปราณมากขึ้น ถึงขนาดที่เป็นเหมือนพืชเหมือนหินธรรมดา ไร้แรงกดดันใดแผ่จากกาย

“ขอรับ” แม่ทัพใหญ่โค้งคำนับ ดูยิ่งให้ความเคารพอีกฝ่ายมากกว่าตอนเข้าเฝ้าเจอจักรพรรดิซ่งเสียอีก

“ไม่เลวเลยจริง ๆ พวกเขาแข็งแกร่งกว่าศิษย์ที่ครองตำแหน่งสามอันดับแรกในการชุมนุมดาวรุ่งคราก่อนเสียอีก” ชายชรามองประเมินด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง ปราณทั้งหมดหายไปในพลัน ราวกับว่าเขาไม่เคยมีอยู่จริงอย่างไรอย่างนั้น

แม่ทัพใหญ่โค้งคำนับให้อีกครั้ง จากนั้นก็พาเฉินซีและคนอื่น ๆ เข้ามาในคลังสมบัติ

ทันทีที่เข้าไป เฉินซีก็ตกตะลึงกับภาพตรงหน้า ทุกที่ที่เห็นคือชั้นวางที่เต็มไปด้วยแผ่นหยกชั้นแล้วชั้นเล่าที่ปล่อยแสงสลัวออกมาไม่รู้จบ เหมือนมหาสมุทรแผ่นหยกโดยแท้!

“ด้วยมาตรฐานของเจ้า พวกเจ้าทุกคนอาจดูถูกวิชายุทธ์ธรรมดา ๆ ตามข้ามา” แม่ทัพใหญ่ออกปาก ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังภายในคลังสมบัติ

เฉินซีและคนอื่น ๆ รีบตามเขาไป ตลอดเส้นทางนั้น ไม่เพียงแต่จะได้เห็นวิชายุทธ์ประเภทต่าง ๆ วางเรียงรายกันกว้างใหญ่ดั่งมหาสมุทร พวกเขายังเห็นสมบัติวิเศษและสมบัติหายากหลายชิ้น ซึ่งล้วนมีคุณภาพสูงสุด เปล่งแสงหลากสีสัน ละลานตาไปหมด

หลังจากเดินไปรอบ ๆ อยู่ชั่วหนึ่งก้านธูป ก็มาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของคลังสมบัติ แม่ทัพใหญ่หยุดและชี้ไปที่โต๊ะด้านข้างพลางพูดว่า “กระบวนยุทธ์ระดับเต๋าและพลังอิทธิฤทธิ์ที่ดีที่สุดอยู่ที่นี่ พวกเจ้าทุกคนเลือกได้คนละวิชา แต่จงจำไว้ว่าได้แค่อย่างเดียวเท่านั้น!”

เฉินซี ชิงซิ่วอี้ และจ้าวชิงเหอพยักหน้า

ต่อมา สายตาของทุกคนก็มองไปยังโต๊ะที่ถูกปกคลุมไปด้วยแสงจ้า บนนั้นคือแผ่นหยกสีทองหม่นนับไม่ถ้วนที่มีกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าหรือพลังอิทธิฤทธิ์อยู่ มีอยู่อย่างน้อย ๆ ก็ร้อยวิชา

ก้าวย่างทองคำ

ศรเจ็ดสลัก

เพลิงวายุ

กรงเหล็ก

ชิงซิ่วอี้กำลังเลือกกระบวนยุทธ์ระดับเต๋า ในขณะที่เฉินซีและจ้าวชิงเหอกำลังมองหาพลังอิทธิฤทธิ์

หากไปวางขายข้างนอก พลังอิทธิฤทธิ์เหล่านี้ล้วนหายากและล้ำค่า ทุกวิชาล้วนน่าเกรงขามยิ่งกว่าวิชาใด แต่เมื่อเทียบกับพลังอิทธิฤทธิ์อื่นที่เขาบ่มเพาะแล้ว เฉินซีก็ไม่รู้สึกหวั่นไหวกับพวกมันเท่าไร

หลังจากมองหาอยู่นาน เฉินซีก็ส่ายหัวและหันไปหากระบวนยุทธ์ระดับเต๋าที่น่าสนใจกว่านี้

ไม่ใช่ว่าจู้จี้จุกจิกเกินไปหรอก แต่เขากำลังวางแผนระยะยาวต่างหาก เขาต้องเลือกกระบวนยุทธ์หรือพลังอิทธิฤทธิ์ที่มีศักยภาพและสามารถทำให้แกร่งขึ้นอย่างชัดเจนได้

เหนือสิ่งอื่นใดแล้ว เมื่อใครมีพลังบ่มเพาะได้เท่าเขา ย่อมต้องเข้าใจในสิ่งที่ตนต้องการได้แล้ว ไม่เช่นนั้นหากเลือกบ่มเพาะวิชาที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อตนเองก็คงไม่คุ้มค่าเสียเวลาเปล่า

ในขณะที่เฉินซียังเลือกอยู่ ชิงซิ่วอี้ และจ้าวชิงเหอก็เลือกวิชากันเสร็จแล้ว

ชิงซิ่วอี้เลือกกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าที่สมบูรณ์แบบมาวิชาหนึ่ง คือ วิชาแสงสูญเงามลาย ซึ่งมีมหาเต๋าแห่งเงาอยู่ มหาเต๋าแห่งเงากับมหาเต๋าแห่งแสงสว่างเติมเต็มและเอื้อประโยชน์กัน เห็นได้ชัดว่าชิงซิ่วอี้ชื่นชอบมันและเลือกวิชานี้มาก็เพราะเหตุผลนี้

ทว่าจ้าวชิงเหอกลับเลือกพลังอิทธิฤทธิ์มา เนตรทะลวง จากชื่อก็เห็นชัดว่านี่คือพลังอิทธิฤทธิ์ที่คล้ายกับเนตรเทวะแห่งความจริง สามารถมองผ่านการซ่อนเร้นต่าง ๆ เข้าใจความลึกล้ำของทุกสรรพสิ่ง

ส่วนเรื่องระหว่างเนตรเทวะแห่งความจริงหรือเนตรทะลวงวิชาไหนแกร่งกว่ากันนั้น ต้องบ่มเพาะก่อนจึงจะตอบได้

เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนเลือกวิชาได้แล้ว แม่ทัพใหญ่ก็อดพยักหน้าไม่ได้ เขาคอยเฝ้ามองจากด้านข้างอยู่ตลอด เห็นได้ชัดเจนว่าไม่ว่าจะเป็นวิชาแสงสูญเงามลายหรือเนตรทะลวงก็ล้วนเป็นหนึ่งในวิชาและพลังอิทธิฤทธิ์ที่ดีที่สุดในคลังสมบัติทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองวิชายุทธ์ยังเหมาะกับคนทั้งสองยิ่ง กล่าวได้ว่าสามารถนำไปเติมเต็มความสามารถในปัจจุบันได้

เป็นตอนนั้นเองที่เฉินซีเพิ่งจะเลือกเสร็จ แต่เมื่อแม่ทัพใหญ่เห็นวิชาที่เฉินซีเลือก ก็อดตะลึงไปเล็กน้อยไม่ได้ จากนั้นเขาก็พูดพร้อมขมวดคิ้วขึ้น “ส่วนแรกของวิชาหมื่นกระบี่เจ็ดทองคำนี้คือวิชาการบ่มเพาะปราณแท้ ในขณะที่ส่วนต่อมาคือวิชากระบี่ ทั้งสองส่วนเติมเต็มกัน ก่อเกิดเป็นหนึ่ง ดูเหมือนว่า… มันจะไม่เหมาะให้เจ้าใช้บ่มเพาะหรอกนะ”

เฉินซีพยักหน้ากล่าว “ข้ารู้”

แม่ทัพใหญ่ยิ่งมุ่นคิ้ว พลันกล่าวว่า “ถึงจะเป็นกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าที่ดี แต่เท่าที่ข้ารู้ กระบวนยุทธ์ระดับเต๋านี้เหมาะไว้ใช้สร้างรากฐานให้ผู้ที่เพิ่งจะเข้าสู่โลกแห่งการบ่มเพาะ เช่นเมื่อองค์หญิงน้อยเพิ่งจะเริ่มบ่มเพาะ นางก็บ่มเพาะวิชานี้เช่นกัน ระดับความแกร่งปัจจุบันของเจ้าไม่จำเป็นต้องเลือกวิชานี้หรอก”

เฉินซีรู้ว่าแม่ทัพใหญ่อาจเข้าใจผิด เขาจึงอธิบายทันที “ผู้อาวุโส ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะฝึกฝนวิชานี้เองหรอก มัน… เป็นของขวัญต่างหาก”

“ของขวัญหรือ?” เขาพลันเข้าใจ น้ำเสียงเผยแววตกใจและชื่นชม “ใจเด็ดจริง! วิชานี้เหมาะสำหรับการสร้างรากฐานที่สุด และยังเป็นกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าที่สมบูรณ์แบบ เป็นวิชาบ่มเพาะที่ล้ำค่านักสำหรับผู้ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่เส้นทางการบ่มเพาะพลัง หรือเจ้าจะนำไปมอบให้คนรัก?”

เฉินซียิ้ม “ใช่แล้ว”

เขาตั้งใจจะมอบมันให้ผู้อื่นอยู่แล้ว เพราะเมื่อครู่ที่ได้เห็นวิชาบ่มเพาะนี้ เขาก็เผลอนึกถึงบุตรชายที่เขายังไม่เคยพบหน้ามาก่อน นั่นคือเฉินอัน

ปัจจุบันเฉินอันมีอายุเพียงห้าหรือหกขวบเท่านั้น เหมาะจะฝึกฝนวิชานี้เป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งเฉินซียังมีโอสถทิพย์กำเนิดเต๋าที่มีมหาเต๋าแห่งโลหะอยู่ เขาจึงตัดสินใจได้ทันทีว่าจะมอบวิชาหมื่นกระบี่เจ็ดทองคำและโอสถทิพย์กำเนิดเต๋าให้เฉินอันยามได้พบหน้ากัน!

ที่ด้านข้าง ชิงซิ่วอี้ยืนอยู่ลำพัง ดูไม่สนสิ่งใด ทว่าเมื่อได้ยินคำตอบของเฉินซี นางก็เหมือนเดาบางอย่างได้ ส่งผลให้ร่างสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุม ก่อนจะกลับคืนสู่สภาพปกติ

จ้าวชิงเหอเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง เหลือบมองเฉินซีที ชิงซิ่วอี้ที ก่อนจะคิดในใจ ‘หรือว่านี่จะเป็นของขวัญที่เฉินซีเลือกให้ลูกชายที่ยังไม่ได้พบหน้ากัน?’

คิดได้เช่นนี้ จ้าวชิงเหอก็อดเกิดความรู้สึกชื่นชมเฉินซีในใจไม่ได้ เพราะอย่างไรนี่ก็เป็นคลังสมบัติที่ใหญ่ที่สุดในราชวงศ์ซ่ง หากมีวิชาใดปรากฏสู่สาธารณะ ทุกคนก็คงแย่งกันจนตายไปข้างแน่ แต่เฉินซียังคงไม่หวั่นไหว หมายจะเลือกวิชาดี ๆ ให้กับผู้เป็นที่รัก

เห็นความแน่วแน่เช่นนี้เขาจึงอดชื่นชมไม่ได้

เพราะในโลกแห่งการบ่มเพาะนั้น ยังมีเหตุนับไม่ถ้วนที่บิดากับบุตรชายตัดขาดความสัมพันธ์กันเพื่อกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าหรือสมบัติวิเศษ

“เอาล่ะ ฝ่าบาททรงส่งกระแสปราณมาให้ข้าแล้ว พระองค์จะเปิดสระมังกรแปลงในอีกหนึ่งเค่อ ตอนนี้เจ้าทั้งสามได้เลือกวิชากันแล้ว เช่นนั้นรีบมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทกับข้าเถอะ” แม่ทัพใหญ่พลันพูด

เปิดสระมังกรแปลงหรือ?

เฉินซีและคนอื่น ๆ พลันตาเป็นประกาย ในที่สุดก็เริ่มขึ้นแล้วหรือ?

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท