บทที่ 422 จุดสิ้นสุดการแข่งขัน
บทที่ 422 จุดสิ้นสุดการแข่งขัน
“สู้เขา!”
“สู้เขา!”
“สู้เขา!”
ผู้คนพากันตะโกนอย่างบ้าคลั่งราวไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย พูดซ้ำแล้วซ้ำอีกโดยไม่สนใจเสียงที่เริ่มแหบแห้งของพวกเขาเลย
ชายที่อยู่ในสระมังกรแปลงเหมือนจะได้ยินความคาดหวังและความวิตกกังวลในเสียงของพวกเขา ร่างกายของเขาเริ่มดิ้นรนและขยับเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ กระดูกสันหลังที่โค้งงอเนื่องจากความเจ็บปวดอย่างรุนแรงค่อย ๆ ยืดตรงขึ้นทีละนิด…
ทุกครั้งที่เขาขยับยืดตัวให้ตรงขึ้น ดวงตาของผู้คนก็สดใสขึ้น เมื่อหลังของเขาตั้งตรงตระหง่านและไม่สั่นราวกับกำลังจะล้มลงอีกต่อไป ทุกคนก็เริ่มโห่ร้องและโบกมืออย่างบ้าคลั่งราวกับว่ากำลังฉลองชัยชนะ
ในเวลาเดียวกันนั้น แสงแรกแห่งรุ่งอรุณที่พร่างพรายก็ได้ส่องผ่านความมืดในคืนอันมืดทึบ และวันที่เจ็ดก็มาถึง!
เสื้อผ้าของเฉินซีก่อนหน้านี้ขาดวิ่นจากการปะทะกันของพลังงานที่รุนแรง ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเลือดและสะเก็ดแผล ทำให้ชายหนุ่มดูน่าสมเพชและโดดเดี่ยวยิ่ง อย่างไรก็ตาม เมื่อมองไปยังร่างตั้งตรงของเขาที่อาบด้วยแสงแรกของยามเช้าในยามนี้ ไม่มีใครรู้สึกว่าเขาดูน่าอับอายและหัวเราะเยาะเลยแม้แต่ผู้เดียว สายตาของพวกเขาต่างเต็มไปด้วยความเคารพและความชื่นชมที่มาจากก้นบึ้งหัวใจ
ชายหนุ่มจากดินแดนทางใต้ผู้นี้ได้ใช้เจตจำนงอันแน่วแน่ที่ไม่มีใครเทียบได้ ยืนกรานที่จะฝึกฝนและบ่มเพาะอยู่ในสระมังกรแปลงเป็นเวลาเจ็ดวัน ซึ่งสร้างความตกตะลึงให้กับคนทั้งเมือง และสร้างปาฏิหาริย์ที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ขึ้นมา!
ชื่อเสียง ความมุ่งมั่น การกระทำของเขา… นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ชื่อของเฉินซีจะต้องเป็นที่เลื่องลือไปทั่วโลกการบ่มเพาะและสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งแผ่นดินของราชวงศ์ซ่ง
…
ในวันที่เจ็ด
จักรพรรดิซ่งลากเฉินซีออกจากสระมังกรแปลงด้วยตัวของพระองค์เอง ไม่ว่าผลกระทบของแก่นแท้ต้นกำเนิดมังกรจะน่าตกใจเพียงใด มันก็ช่วยเฉินซีได้อีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น การยังคงอยู่ในสระต่อไปก็ไม่ต่างอะไรจากการทำร้ายตัวเองและเป็นการกระทำที่ไร้ความหมาย
ในที่สุด การชุมนุมดาวรุ่งครั้งนี้ก็ได้มาถึงบทสรุปแล้ว
ไม่ว่างานรื่นเริงจะยิ่งใหญ่และน่าตื่นเต้นเพียงใดก็ต้องมีช่วงเวลาที่ดนตรีจบลง ในวันเดียวกันนั้น ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างทยอยออกจากนครหลวงธารสายไหม โดยไม่เสียใจหรือฝืนทนเลยแม้แต่น้อย พวกเขาต่างกลับไปพร้อมกับจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่เปี่ยมล้น
หลังจากที่ได้เห็นทุกสิ่งในการชุมนุมดาวรุ่งนี้ ราวกับว่าพวกเขาถูกกระตุ้นให้โหยหาและกระตือรือร้นที่จะแข็งแกร่งให้มากยิ่งขึ้น บางทีนี่อาจเป็นความหมายที่แท้จริงของการชุมนุมดาวรุ่ง เพื่อให้ผู้คนมีความหวังและแรงจูงใจในการก้าวไปสู่ความสำเร็จ
…
บนชั้นสองของพระราชวังธารสายไหมคือ สถานที่ที่จักรพรรดิซ่งมักจะมาใช้ฝึกฝน
ยามนี้ ชิงซิ่วอี้กำลังยืนอยู่ที่นี่อย่างเงียบ ๆ
หลังจากการชุมนุมสิ้นสุดลง จักรพรรดิซ่งก็ได้เรียกตัวนางมาที่นี่เพียงลำพัง ซึ่งนางก็พอจะคาดเดาเจตนาขององค์จักรพรรดิได้คร่าว ๆ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธมัน
“เจ้าเป็นคนฉลาด ดังนั้นคงจะพอเดาเจตนาของข้าออกบ้างแล้วใช่หรือไม่?” คลื่นความผันผวนก่อตัวขึ้นบางเบาก่อนที่ร่างกำยำของจักรพรรดิซ่งจะปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว เขามองไปที่ชิงซิ่วอี้ผู้ยืนอยู่ลำพังและกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
ชิงซิ่วอี้พยักหน้า และไม่ได้ปฏิเสธ
เมื่อเห็นเช่นนั้น จักรพรรดิซ่งก็ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ แต่ไม่นานนักพวกมันก็คลายออก หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหัวและพูดว่า “อันที่จริง เรื่องระหว่างเจ้ากับเฉินซี ในฐานะคนนอก ข้าย่อมไม่ควรเข้าไปยุ่ง…”
“อย่ากังวลเลยฝ่าบาท ข้ารู้วิธีแยกแยะน้ำหนักของสิ่งต่าง ๆ ดี ก่อนที่จะเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬข้าจะไม่โจมตีเขาอีก” ชิงซิ่วอี้ขัดจังหวะจักรพรรดิซ่งขึ้นในทันใด หากมีคนอื่นได้เห็นฉากนี้ขากรรไกรของพวกเขาคงจะค้างเพราะความตกตะลึงเป็นแน่
แต่องค์จักรพรรดิดูจะไม่แปลกใจกับปฏิกิริยาที่รุนแรงของนาง และก็ดูไม่ได้โกรธเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงแอบถอนหายใจเบา ๆ อย่างอดไม่ได้ ช่างเป็นคู่หนุ่มสาวที่โดดเด่นอะไรอย่างนี้ จะดีแค่ไหนหากพวกเขาเลิกทะเลาะแล้วญาติดีต่อกัน น่าเสียดายนัก… ความเกลียดชังระหว่างคนทั้งสองดูจะไม่ใช่เรื่องที่สามารถแก้ไขได้ แม้แต่ตัวพระองค์ที่ทรงภูมิก็ยังมิอาจช่วยได้ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าชิงซิ่วอี้เกลียดชังเฉินซีมากแค่ไหน
“เช่นนั้นแล้วเจ้าวางแผนที่จะส่งลูกชายของเจ้าให้กับเฉินซีเมื่อใด?” ไม่นานนัก จักรพรรดิซ่งก็หยิบยกเรื่องอื่นขึ้นมาแทน
“หลังจากที่ข้ากลับไปยังนิกาย ข้าอยากจะเห็นลูกชายของข้าด้วยตาของตนเองอีกครั้งก่อน” ชิงซิ่วอี้ตอบกลับอย่างใจเย็นยิ่ง จากการแสดงออกของนาง จึงบอกได้ยากว่ากำลังคิดอะไรอยู่ในขณะนี้
ความชื่นชมสายหนึ่งวาบผ่านดวงตาของจักรพรรดิซ่ง หากเป็นผู้หญิงอื่น พวกนางคงไม่เต็มใจที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาเช่นนี้ และเกรงว่าคงจะโอดครวญ สร้างปัญหาหรือใช้ข้ออ้างที่ยุ่งยาก เช่น ‘ข้ากล่าวว่าจะยอมคืนเด็กให้ แต่ไม่เคยบอกว่าจะคืนให้ตอนไหน’
นี่คือจุดที่ชิงซิ่วอี้แตกต่างจากคนอื่น นางมีความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรีเป็นของตัวเองดั่งนางเซียนสวรรค์ แม้ว่าหญิงสาวจะไม่สามารถยอมรับความพ่ายแพ้ในเรื่องของนางกับเฉินซี แต่นางจะไม่กลับคำพูดเพราะเหตุนี้
หรือบางทีทั้งชีวิตของนางคงจะไม่เคยคิดที่จะกลับคำพูดเลยแม้แต่น้อย
…
เฉินซีตกอยู่ในสภาวะมึนมัว จิตใจของเขาว่างเปล่า ทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นความมืดมิด ไร้ซึ่งเสียงของสิ่งใด
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ในที่สุดตาของเขาก็ค่อย ๆ สว่างขึ้น ชายหนุ่มได้ยินเสียงบางอย่างแว่วมาอย่างแผ่วเบา แต่จิตใจของเขายังคงสับสนและว่างเปล่า
หลังจากนั้นอีกครู่หนึ่ง การมองเห็นของเขาก็เริ่มสว่างขึ้นอีกหน่อย แต่ภาพต่าง ๆ ก็ยังพร่ามัวไปหมด เสียงที่เข้าหูของเขาเองก็ดูจะดังขึ้นเล็กน้อย แต่เหมือนพวกมันจะอยู่ห่างมาก ทำให้เขาได้ยินไม่ค่อยชัด
สภาวะนี้กินเวลานานเท่าใดก็ไม่อาจทราบได้ ก่อนที่ดวงตาของเขาจะฟื้นตัวในที่สุด แต่เสียงในหูกลับหายไปและดูเงียบมาก
“ข้าจำได้ว่ามีคนนับไม่ถ้วนคอยให้กำลังใจข้าอยู่ เป็นไปได้หรือไม่ว่าทั้งหมดนั้นเป็นภาพลวงตาที่ข้าคิดเอาเอง?” เฉินซีหัวเราะเยาะตัวเองในใจ สติสัมปชัญญะของเขาไม่เคยมืดมัวขนาดนี้มาก่อน สำหรับชายหนุ่มแล้ว นี่เป็นความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยเลย
เมื่อเขาฟื้นคืนสติ ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทั่วร่างกายของเขาก็พลุ่งพล่านขึ้นราวกับกระแสน้ำ เฉินซีอยากผ่อนลมหายใจและสูดหายใจลึก ๆ แต่ดูเหมือนว่ากล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาจะแข็งทื่อไปหมด ทำให้ไม่สามารถเคลื่อนไหวแม้เพียงเล็กน้อย
เมื่อมองไปรอบ ๆ โดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นเขาก็พบว่ายามนี้ตนกำลังนอนอยู่ในห้องที่หรูหรา ไม่ใช่ในสระมังกรแปลง
ทุกอย่างจบลงแล้วหรือ?
เฉินซีจำได้ราง ๆ ว่า เขายืนหยัดอยู่บนสระมังกรแปลงเป็นเวลาเจ็ดวันเพียงลำพัง และยังเป็นผู้ทำลายสถิติทั้งหมดตลอดหลายยุคหลายสมัยอีกด้วย
เขาไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษกับเรื่องนี้แต่อย่างใด จิตสำนึกที่ยุ่งเหยิงในยามนี้ทำให้ปฏิกิริยาแข็งทื่อและเชื่องช้ายิ่ง
หลังจากนั้นสักพัก สติส่วนใหญ่ของเขาก็ฟื้นคืนมา แต่ในขณะเดียวกัน ความเจ็บปวดที่แหลมคมก็ชัดเจนและรุนแรงขึ้น จนเขาอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงครวญครางออกมา
“เขาตื่นแล้ว! นายท่านตื่นแล้ว!” ที่ข้างเตียง เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นดูเหมือนว่าจะเป็นมู่ขุย
“อะไรนะ? จริงหรือ?”
“ไปแจ้งคนอื่นเร็วเข้า!”
“ท่านลุง! ท่านลุง!”
หลังจากนั้น เสียงตะโกนที่วุ่นวายเคล้ากับเสียงฝีเท้าที่ไม่เป็นระเบียบก็ดังขึ้นมาจากด้านนอกของห้อง
‘เกิดอะไรขึ้น? ข้าหมดสติไปนานมากแล้วอย่างนั้นหรือ?’ เฉินซีตกใจลืมตาขึ้น เมื่อมองไปรอบ ๆ เขาก็สังเกตเห็นว่าห้องขนาดกลางตอนนี้เต็มไปด้วยผู้คนแล้ว
มีทั้งย่าชิง เหยียนเยียน อวิ๋นน่า ตู้ชิงซี ฟ่านอวิ๋นหลาน เจิ้นหลิวชิง และหญิงสาวคนอื่น ๆ
นอกจากนี้ยังมีตวนมู่เจ๋อ ซ่งหลิน หวังเต้าซวี่ ฮวาโม่เป่ย นายน้อยโจว และเพื่อนคนอื่น ๆ ที่ต่อสู้เคียงข้างกันมากับเขา
และคนอื่น ๆ อย่างนักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยน เฟยเหลิ่งชุ่ย เฉินอวี่น้อย มู่ขุย มู่เหยา มู่เหวินเฟยเองก็มาอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน
คนทั้งหมดต่างมองมาที่เขาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีที่ไม่สามารถปกปิดได้ แต่ก็ยังมีความกังวลเล็ก ๆ แฝงอยู่ในดวงตาของพวกเขา จู่ ๆ หัวใจของเฉินซีก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นอย่างมาก เหมือนกับเวลาที่เขาเอนกายลงในอ้อมกอดของปู่เมื่อยามที่ยังเด็ก มันช่างโล่งใจและทำให้เขารู้สึกสงบยิ่ง…
เขาต้องการยกยิ้มให้กับทุกคน แม้ว่าร่างกายจะเจ็บปวด แต่ในใจของเขากลับมีความสุขมาก เป็นสุขอย่างไม่เคยมีมาก่อน น่าเสียดายที่กล้ามเนื้อบนใบหน้าไม่ฟังคำสั่ง ตอนนี้เขาอยากจะหัวเราะออกมาดัง ๆ ทว่าแค่การขยับนิ้วสักนิ้วยามนี้ก็เป็นเรื่องยากมากแล้ว
สติของเขามึนงงเล็กน้อย พลันตระหนักรู้ว่าแรงกดดันที่ได้รับจากสระมังกรแปลงมีมากเกินไป ดังนั้นสิ่งที่ชายหนุ่มต้องการมากที่สุดในตอนนี้ก็คือการพักฟื้นอย่างเต็มที่
ไม่มีทาง!
ตอนนี้ยังพักผ่อนไม่ได้ เขามีสิ่งที่ยังต้องทำอยู่!
เฉินซีกัดปลายลิ้นอย่างแรง รสคาวและเค็มของเลือดเต็มอยู่ในปาก ทำให้จิตวิญญาณของเขาแจ่มชัด
เขาพยายามอ้าปากแต่ก็ไม่สามารถเปล่งเสียงใด ๆ ออกมาได้ แต่เขาปฏิเสธที่จะเชื่อว่าไม่สามารถส่งเสียงได้ พยายามกัดฟันและเค้นเรี่ยวแรงทั้งหมดที่เหลืออยู่ในร่างกายออกมา
“เฉินอัน! เฉินอันอยู่ที่ใด?” เสียงของเขาไม่ดังมากนัก เรียกได้ว่าเบาจนไม่ได้ยินเลยก็ว่าได้ มันทั้งต่ำและแหบแห้ง ราวกับเสียงทรายถูกัน ประหนึ่งว่ามันถูกบีบเค้นออกมาจากอกด้วยแรงทั้งหมดที่มี
เฉินอัน?
ทุกคนต่างตกตะลึงและเคว้งคว้าง แม้ในเวลาเช่นนี้ สหายผู้นี้ก็ยังคงคิดถึงแต่เพียงเลือดเนื้อเชื้อไขที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนอยู่อีกหรือ?
หลังจากนั้นการแสดงออกของทุกคนก็กลายเป็นซับซ้อน เนื่องจากการชุมนุมดาวรุ่งสิ้นสุดลงไปกว่าครึ่งเดือนแล้ว ชิงซิ่วอี้เองก็ได้ออกจากนครหลวงธารสายไหมไปโดยไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
พวกเขาไม่รู้ว่าจะบอกเฉินซีอย่างไรดี
“ท่านแม่ ดูเหมือนว่ามีใครบางคนกำลังเรียกชื่ออันเอ๋อร์” ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัดนี้ เสียงที่ไร้เดียงสาของเด็กน้อยผู้หนึ่งก็ดังขึ้นจากทางด้านนอกห้อง
อันเอ๋อร์?
ร่างกายของเฉินซีสั่นขึ้นมาทันทีราวกับถูกฟ้าผ่า!