บทที่ 423 พ่อลูก
บทที่ 423 พ่อลูก
ทันใดนั้น ทุกคนในห้องก็ตกตะลึงเมื่อได้ยินเสียงใสไพเราะและฟังดูอ่อนวัยดังขึ้น เฉินอันหรือ?
ฟึ่บ!
ทุกคนพุ่งออกมาจากห้องไปทันที
เฉินซีตื่นเต้นจนอยากจะคลานลงจากเตียง แต่น่าเสียดายที่ในร่างไม่หลงเหลือเรี่ยวแรงสักนิด เขาดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่ง แต่นอกจากความเจ็บปวดที่แล่นแปลบในใจแล้ว เขาก็ยกไม่ขึ้นสักนิ้ว
“โอ้โห! เป็นเจ้าเด็กหน้ามนเสียจริง!”
“เขาหล่อจริง ๆ คิ้วกับจมูกเหมือนเฉินซี ตากับปากเหมือนแม่เลย ทั้งผิวยังดูเปล่งปลั่งและประณีตนัก งามกว่าเด็กผู้หญิงด้วยซ้ำ”
“ขอดูหน่อย ขอข้าดูหน่อย”
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงอุทานแห่งความชื่นชมก็ดังขึ้นจากด้านนอก ทำให้ใจของเฉินซีแทบลุกไหม้ด้วยความร้อนใจ รู้สึกราวกับถูกกรงเล็บร้อน ๆ ครูด กระวนกระวายจนอยากงอกตาอีกคู่หนึ่งขึ้นมาเสียให้ได้
ตอนที่เฉินซีรู้สึกกระวนกระวายสุดขีดนั่นเอง ทุกคนก็เดินล้อมเด็กชายคนหนึ่งเข้าห้องมา
เด็กชายคนนี้อายุประมาณสี่ห้าขวบ สวมชุดผ้าไหมสีขาวปักลาย เขามีคิ้วคมกริบ นัยน์ตาระยับดั่งดวงดาว ริมฝีปากสีแดงเข้ม และฟันขาวคู่หนึ่ง ที่หว่างคิ้วเต็มไปด้วยจิตวิญญาณกล้าหาญและสติปัญญาไม่ธรรมดา
แม้จะยังเด็ก แต่ก็ไม่ได้มีนิสัยซุกซน ดูสงบสุขุมนัก ขณะนี้ ยามทุกคนล้อมรอบเขาเหมือนดาวล้อมเดือน เขาก็ไม่ได้เขินอายแต่อย่างใด ทั้งยังไม่เผยความเย่อหยิ่งและพอใจอีกด้วย เขามีท่าทางดูสุขุมนุ่มลึก ไม่เย่อหยิ่งและไม่ใจร้อน ทุกย่างก้าวมีกลิ่นอายไม่สนโลกอย่างชิงซิ่วอี้เจืออยู่บาง ๆ
สหายตัวน้อยผู้นี้ย่อมเป็นเฉินอัน
เฉินซีตกตะลึงทันทีที่เห็นเฉินอัน ราวกับได้เห็นสิ่งที่ล้ำค่าและงดงามที่สุดในใต้หล้า นัยน์ตาคละเคล้าไปด้วยความสุข ความปลาบปลื้ม ความตกตะลึง และความมึนงง ไม่อาจตั้งสติได้อยู่นาน
ยามเฉินซีจ้องมองเขา เฉินอันน้อยก็จ้องกลับเช่นกัน สายตาของอีกฝ่ายลึกล้ำ มีชีวิตชีวา และมีร่องรอยความอยากรู้อยากเห็น แต่ไร้ความตื่นเต้นที่เฉินซีจินตนาการไว้
ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นสิ่งที่แท้จริงที่สุดก็เป็นได้
ตั้งแต่วันที่เกิดมาก็ไม่เคยสัมผัสความรักของพ่อ ไม่เคยรู้ว่ามีคนอีกคนที่ใกล้ชิดมากที่สุดอยู่ และคนคนนั้นคือ ‘พ่อ’
แม้จะถูกท่านแม่พาตัวมาที่นี่เพื่อมาทำความรู้จักบิดาตน และได้พบหน้าเฉินซีแล้ว เขาก็เพียงแค่สงสัย แต่ไม่ได้ตื่นเต้นดีใจอะไร
เมื่อเฉินซีสังเกตเห็นความไม่คุ้นเคยและความสงสัยในสายตาเฉินอัน ความเศร้าและความเจ็บปวดระลอกหนึ่งก็พลันพวยพุ่งขึ้นมาในใจอย่างไร้เหตุผล ‘บางทีแต่ก่อน อันเอ๋อร์อาจจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าข้ามีตัวตนอยู่?’
“ข้าขอทราบได้ไหมว่าท่านลุงเป็นท่านพ่อของข้าหรือไม่?” เฉินอันพูดออกมาด้วยเสียงชัดถ้อยชัดคำ สีหน้าจริงจัง ทั้งยังมีท่าทางสุภาพมาก ทำให้ดูราวกับไม่ได้กำลังพบหน้าบุคคลอันเป็นที่รัก แต่กำลังพูดอย่างเคร่งขรึมกับผู้อาวุโส
“ใช่แล้ว!” เฉินซีตอบโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ชายหนุ่มรู้ว่าในเมื่อหลายปีที่ผ่านมาพวกเขาไม่เคยพบหน้ากัน ย่อมต้องมีความไม่คุ้นเคยและเส้นกั้นระหว่างเขากับอันเอ๋อร์ แต่เขาเชื่อมั่นว่า ตราบใดที่เจ้าตัวเล็กยังอยู่เคียงข้างตน อุปสรรคนี้ก็จะถูกกำจัดไป และเฉินอันก็คงสัมผัสถึงความรักความห่วงใยจากเขาได้
“ท่านแม่บอกข้าว่าต่อไปท่านจะดูแลข้าเป็นอย่างดีใช่ไหมขอรับ?” เฉินอันเบิกตาโตมองตรงไปยังเฉินซี และยังคงพูดเสียงจริงจัง
“ใช่!” เฉินซีตอบเสียงหนักแน่น จากนั้นเขาก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ หลังจากลังเลอยู่นาน ชายหนุ่มพลันถามขึ้นว่า “หรือเจ้าไม่เต็มใจจะแยกจากแม่เจ้าหรือ?”
เฉินอันเงียบไป ดวงตาดูแดงก่ำเหมือนน้ำตากำลังจะไหลริน
เฉินซีที่เห็นดังนั้นแล้วก็อยากตบหน้าตนเองนัก ‘อันเอ๋อร์เพิ่งจากกับชิงซิ่วอี้ ยังอารมณ์ไม่ดีอยู่ แต่ข้ากลับยังเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก โง่เง่าจริง ๆ’
“ใช่สิ แล้วแม่เจ้าเล่า? ได้ยินว่าก่อนหน้านี้นางพาเจ้ามาที่นี่นี่” เฉินซีสูดหายใจเข้าลึก ๆ พยายามปลอบโยนเจ้าตัวน้อยไม่ให้เขาเศร้าโศกเกินไป
“ท่านแม่ไปแล้ว…” แต่ผลที่ได้กลับออกมาตรงกันข้าม เมื่อกล่าวถึงชิงซิ่วอี้เช่นนี้ ยิ่งทำให้อีกฝ่ายน้ำตาเริ่มรื้นขึ้นจากนัยน์ตาที่แดงก่ำเป็นทุนเดิม ทำท่าจะไหลรินลงมาได้ทุกเมื่อ
ท่าทางน่าสงสารของเจ้าตัวน้อยที่น้ำตาจะไหลอยู่รอมร่อทำเอาเฉินซีตระหนก ตอนนี้เขารู้สึกว่าตนเองโง่นัก สูญเสียความสุขุมและสติปัญญาที่เคยมีไปสิ้น ไม่ต่างอะไรจากหมูตัวหนึ่ง
“เช่นนั้น…” เฉินซีอ้าปากไม่กล้าพูด เพราะเกรงว่าจะทำให้เจ้าตัวน้อยเสียใจอีก ความรู้สึกภายในซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูก
พอเห็นภาพนี้แล้ว ทุกคนทั้งขำทั้งสงสารพ่อลูกคู่นี้ ในที่สุดพวกเขาก็ได้มาพบกันหลังจากมานานหลายปี แต่กลับไร้ความตื่นเต้นหรือความปีติใดที่ทุกคนคาดหวังไว้ เหมือนเป็นคนแปลกหน้าพบหน้ากัน เป็นภาพที่น่าสงสารนัก
จังหวะที่ทุกคนหมายจะพูดเพื่อปรับบรรยากาศ เฉินอันก็หายใจเข้าลึก ๆ นัยน์ตากระจ่างมองตรงไปยังเฉินซีพลางเอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่กล่าวไว้ว่าข้าควรรู้จักพึ่งพาตนเองให้ได้ ไม่ต้องไปพึ่งใคร ถึงจะอยู่ข้างกายท่านพ่อก็ตาม ฉะนั้นไม่ต้องกังวลว่าข้าจะสร้างปัญหาให้ท่าน ข้าจะไม่ร้องไห้ และจะไม่ทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะท่านเช่นกัน”
เฉินอันหยุดชั่วครู่และว่าต่อ “หากข้าทำอะไรให้ท่านไม่พอใจก็ลงโทษข้าได้เลย ข้าจะไม่โกรธท่านแน่นอน” น้ำเสียงใสกระจ่างฟังเพราะเสนาะหูของเด็กน้อยดังก้องไปทั่วห้อง ทำเอาทุกคนเงียบสนิท ต้องเป็นการเลี้ยงดูแบบไหนที่ทำให้เด็กอายุสี่ห้าขวบรู้จักแสดงความเข้าอกเข้าใจและปลอบใจผู้อื่นได้เช่นนี้กัน?
เฉินซีอดน้ำตารื้นขอบขึ้นมาไม่ได้ เขาพูดขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือ “อันเอ๋อร์ เจ้าเข้ามากอดข้าทีได้หรือไม่?”
หากไม่ใช่เพราะร่างไร้เรี่ยวแรง เขาก็อยากจะอ้าแขนกว้าง ๆ แล้วดึงเจ้าตัวเล็กเข้ามากอดนัก คอยปกป้องเฉินอันไว้ข้างกายไปตลอด
“ได้สิขอรับ ต่อไปข้าจะเชื่อฟังคำท่านทุกอย่าง” เฉินอันพยักหน้า ก่อนจะเดินอ้าแขนเข้าไปกอดคอเฉินซีเบา ๆ
ยามเขาได้ซบหน้าลงบนไหล่น้อย ๆ ของอันเอ๋อร์ เฉินซีก็ไม่อาจคุมอารมณ์ไว้ได้อีก เรียกชื่ออันเอ๋อร์ออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า เขานึกถึงปู่ของตน นึกถึงพ่อแม่ที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เขานึกถึง… ตอนนี้เขาอยากให้ทุกคนได้เห็น ได้ร่วมแบ่งปันความรู้สึกปีติยินดีในใจนี้กับเขานัก
น้ำตาพลันไหลรินจากดวงตาอย่างไม่อาจควบคุมได้
เมื่อทุกคนเห็นเช่นนี้ก็ออกจากห้องไปเงียบ ๆ เกรงว่าจะรบกวนพ่อลูกคู่นี้เข้า
…
ครึ่งเดือนต่อมา ร่างกายเฉินซีก็ฟื้นตัวกลับมาสมบูรณ์
ไม่เพียงเท่านั้น หลังจากได้แก่นแท้ต้นกำเนิดมังกรมาชำระร่าง เขาก็เหมือนได้ร่างใหม่ เส้นพลังในร่างขยายกว้าง กล้าแกร่ง แข็งขัน กระจ่างใส และกระจ่างแจ้ง กระดูกเป็นสีขาวบริสุทธิ์เจือด้วยแสงทองจาง ๆ พลังชีวิตและเลือดในร่างโคจรไปทั่วกายราวกลับคลื่นคลั่ง อวัยวะภายในก้องกังวานไปด้วยเสียงแห่งมหาเต๋า
แม้แต่แกนทองคำภายในท้องทะเลแห่งลมปราณก็ยังถูกปกคลุมไปด้วยเส้นสีทองดั่งเกล็ดมังกร มันเปล่งกลิ่นอายโบราณลึกลับและสูงส่งของมังกรโบราณออกมา
อีกทั้งจิตวิญญาณชายหนุ่มยังก้าวขึ้นสู่จุดที่สูงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ แค่ใช้จิตกวาดออกไป ความเคลื่อนไหวในรัศมีหมื่นลี้ก็ไม่อาจหลุดรอดสายตาเขาไปได้
ตอนนี้ เขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อนถึงสองเท่า หากต้องประมือกับขอบเขตจุติตอนนี้ เขาก็มั่นใจว่าจะสามารถสังหารอีกฝ่ายได้
แต่ประโยชน์ของแก่นแท้ต้นกำเนิดมังกรไม่ใช่เพียงเท่านี้ เขาเพิ่งจะกลั่นแก่นแท้ต้นกำเนิดมังกรที่ดูดซับจากสระมังกรแปลงไปเพียงหนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น อีกเก้าส่วนยังผนึกอยู่ในร่าง รอนำมาใช้กลั่นกงล้อสังสารวัฏเมื่อก้าวสู่ขอบเขตจุติ
ทว่าความแข็งแกร่งที่เพิ่มสูงจนน่าตกใจเช่นนี้กลับไม่ทำให้เฉินซีดีใจสักนิด เพราะจิตใจเขายังนึกถึงเพียงบุตรชาย …เฉินอัน
หลังจากได้อยู่ด้วยกันมาครึ่งเดือน เขากับเฉินอันก็คุ้นเคยกันขึ้นเรื่อย ๆ อย่างน้อยเจ้าตัวน้อยก็เริ่มเปิดใจยอมพูดคุยกับเฉินซีผู้เป็นพ่อเกี่ยวกับชีวิตก่อนหน้านี้บ้างแล้ว แม้จะเป็นเพียงคำพูดไม่กี่คำ แต่ก็ทำให้เฉินซียิ้มปากแทบฉีกได้ทีเดียว
แต่สิ่งที่ทำให้เขาร้อนใจจนถึงตอนนี้คือ อันเอ๋อร์ยังไม่เคยเรียกเขาว่าท่านพ่อเลย เรียกเขาแค่เพียง ‘ท่าน’ เท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวเล็กยังมีกำแพงที่มองไม่เห็นขวางกั้นระหว่างเขากับบิดาแท้ ๆ อยู่ ไม่แน่ว่าเมื่อใดที่มันหายไป วันนั้นก็อาจเป็นวันที่พ่อลูกจะได้มีความสนิทชิดเชื้อกันอย่างแท้จริง
เฉินซีเข้าใจว่าเรื่องเช่นนี้ไม่อาจเร่งรัดได้ ต้องใช้เวลาค่อยเป็นค่อยไป
น่าเสียดายที่เวลาของเขาเหลือไม่พอ เมื่อวานนี้ เจิ้นหลิวชิงได้ส่งข่าวมาแล้วว่าอีกสามวันต่อจากนี้ จักรพรรดิซ่งจะเรียกผู้เข้าแข่งขันสิบอันดับแรกจากการชุมนุมดาวรุ่งเข้าหารือเรื่องสมรภูมิบรรพกาล!