บทที่ 432 ออกเดินทางอีกครั้ง
บทที่ 432 ออกเดินทางอีกครั้ง
เจ็ดวันต่อมา
ณ นครหลวงธารสายไหม บนชั้นเก้าของพระราชวังธารสายไหม
สถานที่แห่งนี้คือที่ตั้งของขุมสมบัติราชวงศ์ ซึ่งเก็บคัมภีร์และสมบัติล้ำค่ามากมายเหมือนมหาสมุทรเอาไว้ อีกทั้งยังเป็นสถานที่สูงสุดและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในแผ่นดินซ่ง
และมันยังเป็นจุดเดียวที่จะนำไปสู่สมรภูมิบรรพกาลอีกด้วย!
ในขณะนี้ ที่ด้านหน้าของอาคารขนาดใหญ่ที่เปรียบดั่งวิหารของทวยเทพซึ่งแผ่กลิ่นอายโบราณออกมา ชายชรายังคงนั่งไขว่ห้างอยู่บนบันไดหินเช่นเดิม เขาปราศจากกลิ่นอายอย่างสมบูรณ์ ราวกับหลุดพ้นจากโลกนี้เมื่อนานมาแล้ว
จักรพรรดิซ่งสวมเสื้อคลุมสีดำและเอามือไพล่หลังขณะที่เผชิญหน้ากับชายชราคนนี้
ที่ทางด้านหลังของจักรพรรดิซ่ง เฉินซี ชิงซิ่วอี้ จ้าวชิงเหอ เจิ้นหลิวชิง หวงฝู่ฉางเทียน หลิงอวี๋ หวงฝู่ฉิงอิง อวี๋เซวียนเฉิน นายน้อยสี่แห่งตระกูลโจว และลู่เซียว ต่างยืนอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ฟ่านอวิ๋นหลานกำลังยืนอยู่ที่ด้านข้างเช่นกัน ครั้งหนึ่งจักรพรรดิซ่งเคยให้คำสัญญากับนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตว่า เขาจะส่งนางเข้าสู่สมรภูมิบรรพกาล ดังนั้นเขาจะไม่มีวันทอดทิ้งนางอย่างแน่นอน
นอกจากนั้นก็มีวงแหวนหินขนาดมหึมาปรากฏขึ้นใกล้ ๆ กับเฉินซีและคนอื่น ๆ
หินขนาดมหึมาก้อนนั้นสลัวมัว ไร้ความแวววาว และเต็มไปด้วยรอยด่างดำ อีกทั้งยังแผ่กลิ่นอายโบราณออกมา ราวกับว่ามันได้ผ่านกาลเวลามานับไม่ถ้วนและคงอยู่ที่นี่มาตั้งแต่สมัยโบราณ
โอม! โอม!
ความผันผวนของพลังงานจำนวนมากที่เหมือนกับเสียงคำรามของมังกร ถูกเปล่งออกมาจากวงแหวนหินอย่างต่อเนื่อง ราวกับสิ่งมีชีวิตที่หลับใหลอยู่ในวงแหวนหินเป็นเวลานานกำลังจะตื่นขึ้นอย่างช้า ๆ ทำให้มิติโดยรอบดูจะสั่นสะเทือนด้วยความตื่นเต้น
เฉินซีจ้องมองไปที่วงแหวนหินโบราณอย่างเงียบ ๆ เนื่องจากเขารู้ว่าตนเองและคนอื่น ๆ จะต้องผ่านค่ายกลที่แปลกประหลาดนี้เพื่อเข้าสู่สมรภูมิบรรพกาลเท่านั้น
สถานที่แห่งนั้นเป็นมิติกว้างใหญ่ไพศาลที่เปี่ยมไปด้วยอันตรายมากมายที่ไม่คุ้นเคย มันถูกปกคลุมไปด้วยกฎเต๋าแห่งสวรรค์ และตราบใดที่เขาสามารถผ่านสถานที่แห่งนั้นไปได้ ก็จะสามารถเข้าไปในสถานที่ที่อยู่ใกล้กับมิติเซียนมากที่สุด นั่นคือแดนภวังค์ทมิฬ!
“ค่ายกลจะเปิดขึ้นในอีกชั่วหนึ่งก้านธูป และข้ามีบางสิ่งที่อยากจะกล่าวกับพวกเจ้าเสียก่อน” จักรพรรดิซ่งหันกลับมาอย่างฉับพลันและกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มหนัก
หัวใจของเฉินซีกับคนอื่น ๆ ก็สั่นสะท้านอย่างกะทันหัน จากนั้นพวกเขาก็ควบคุมความคิดและตั้งใจฟังด้วยความเคารพ
“อัจฉริยะของราชวงศ์นับไม่ถ้วนจะมาบรรจบกันที่สมรภูมิบรรพกาลในวันนี้ ดังนั้นพวกเจ้าทุกคนต้องคอยระวังตัว ตามการคาดการณ์ของข้า ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของพวกเจ้า แม้ว่าพวกเจ้าทุกคนจะถูกมองว่าเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์อันดับต้น ๆ ของราชวงศ์ซ่ง แต่ถ้าอยู่ภายในสมรภูมิบรรพกาลแล้วละก็ พวกเจ้าทั้งหมดคงเป็นแค่ผู้บ่มเพาะระดับธรรมดาและยังห่างไกลจากผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับสูง”
คำพูดของจักรพรรดิซ่งทำให้สีหน้าของเฉินซีและคนอื่น ๆ จริงจังและหนักหน่วงขึ้นมาทันที
ในช่วงเจ็ดวันที่ผ่านมา มหาเสนาบดีได้อธิบายให้พวกเขาฟังเกี่ยวกับเรื่องบางอย่างที่อยู่ภายนอกแผ่นดินซ่งแล้ว
ซึ่งพวกเขาล้วนตระหนักได้แล้วว่า ยังมีราชวงศ์หลายร้อยแห่งอยู่นอกเหนือจากราชวงศ์ซ่งอีกมากมายและราชวงศ์ซ่งก็เป็นเพียงหนึ่งในนั้น
ยิ่งไปกว่านั้น ในบรรดาราชวงศ์มากมาย ความแข็งแกร่งทั้งหมดของโลกแห่งการบ่มเพาะของราชวงศ์ซ่ง ถือว่าอยู่ในระดับปานกลางเท่านั้น ซึ่งแตกต่างเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับราชวงศ์ขนาดใหญ่บางราชวงศ์
ในปัจจุบัน บรรดาอัจฉริยะระดับแนวหน้าของราชวงศ์เหล่านี้ กำลังจะรวมตัวกันในสมรภูมิบรรพกาลเพื่อยึดจุดที่จะเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬ ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าการแข่งขันนั้นโหดร้ายเพียงใด
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ถ้าเฉินซีและคนอื่น ๆ เข้าสู่สมรภูมิบรรพกาลแล้วละก็ พวกเขาจะต้องเผชิญกับอัจฉริยะที่หลากหลายอย่างแน่นอน
และหากพวกเขาต้องการที่จะโดดเด่นในหมู่อัจฉริยะเหล่านี้ พวกเขาก็ต้องพร้อมรับมือกับอันตรายและความยากลำบากมากมาย อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้สูงว่าพวกเขาจะเสียชีวิตในสมรภูมิบรรพกาลและกลายเป็นเป้าหมายของผู้อื่น…
“พวกเจ้าทุกคนจงจำไว้ หลังจากที่เจ้าเข้าสู่สมรภูมิบรรพกาลแล้ว จงรีบบรรลุไปสู่ขอบเขตจุติให้เร็วที่สุด ด้วยวิธีนี้เท่านั้น เจ้าจึงมีกำลังพอที่จะปกป้องตนเองได้” จักรพรรดิซ่งสั่งอีกครั้ง ก่อนที่จะพยักหน้าไปทางชายชราที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนบันไดหิน และกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “เริ่มได้”
จู่ ๆ ชายชราพลันลืมตาขึ้น จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ ยืนขึ้นจากพื้น
เฉินซีและคนอื่น ๆ ค้นพบด้วยความตกตะลึงว่า พร้อมกับร่างกายที่งอและผอมแห้งของชายชราที่ค่อย ๆ ยืนขึ้น กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวก็พุ่งออกมา ซึ่งมันก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงจุดสิ้นสุด ในทันทีที่หลังของชายชราเหยียดตรง กลิ่นอายอันร้ายกาจบนตัวคนคนนี้ก็ทำให้ทั่วทั้งฟ้าดินสั่นสะเทือนและคร่ำครวญออกมา!
ชายชราธรรมดาผู้ไร้กลิ่นอายในขณะนี้ ดูจะกลายร่างเป็นเทพเจ้าสูงสุด ในขณะที่เขาลืมตาขึ้น สายลมและมวลเมฆก็โหมกระหน่ำราวกับทุกสิ่งได้ยอมจำนนต่อเขา
เฉินซี ชิงซิ่วอี้ และจ้าวชิงเหอเคยเจอชายชราคนนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งพวกเขาก็รู้ว่า ชายชราคนนี้ทรงพลังเป็นอย่างมาก ดังนั้นความตกตะลึงที่เกิดขึ้นในใจของพวกเขาจึงไม่มากนัก
แต่คนอื่น ๆ กลับแตกต่างกัน เมื่อได้เห็นภาพนี้ พวกเขาล้วนตื่นตกใจจนถึงจุดใบหน้าซีดลงเล็กน้อย และถึงกับหายใจไม่ออก โดยเฉพาะเจ้าอ้วนหลิงอวี๋ที่ตกใจจนใบหน้าอวบอ้วนสั่นกระเพื่อม ทำให้มันเป็นภาพที่น่าขบขันอย่างยิ่ง
หลังจากที่ชายชรายืนขึ้น เขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรสักคำ ก่อนจะตรงไปยังค่ายกลและลูบเบา ๆ อยู่เป็นเวลาสั้น ๆ จากนั้นเขาก็ยื่นมือไปที่ศูนย์กลางของค่ายกลและกดลงไปเบา ๆ
ปัง!
ปราณเซียนจำนวนมหาศาลพุ่งออกมาจากฝ่ามือของชายชราและหลั่งไหลเข้าสู่ค่ายกลโดยตรง ทำให้วงแหวนหินขนาดมหึมาสั่นสะเทือนและปล่อยคลื่นเสียงที่เหมือนการขับร้องของทวยเทพ หรือแม้แต่เสียงของการถวายเครื่องสังเวยแด่ทวยเทพก็ดังกึกก้อง ในขณะที่ค่ายกลเปล่งแสงเจิดจ้าแพรวพราวออกมา
เฉินซีและคนอื่น ๆ รู้สึกเจ็บปวดที่ดวงตา และเมื่อพวกเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ลำแสงที่เชื่อมต่อกับท้องฟ้าได้พุ่งออกมาจากใจกลางวงแหวนแล้ว ลำแสงนี้ถูกปกคลุมด้วยประกายแสงสีทองและอักขระยันต์ ซึ่งดูเหมือนกับอีกฟากของจักรวาลที่อยู่เหนือท้องฟ้า
“เฉินซี ชิงซิ่วอี้ พวกเจ้าทุกคนรีบเข้าสู่ค่ายกลซะ!” เสียงตะโกนของจักรพรรดิซ่งดังก้องขึ้นในโสตของพวกเขา ทำให้เฉินซีและคนอื่น ๆ เร่งเคลื่อนไหวเกือบจะพร้อมกันโดยไม่ลังเล ร่างของพวกเขาสว่างวาบและกลายเป็นลำแสงสิบเอ็ดสายที่พุ่งตรงเข้าไปในแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลเวียนอยู่รอบตัวพวกเขา และในชั่วพริบตาต่อมา พวกเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
แคร็ก!
เมื่อเฉินซีและคนอื่น ๆ ได้หายไปในลำแสง ปรากฏการณ์รอบ ๆ ค่ายกลก็หายไปทันที ทำให้มันกลับคืนสู่สภาพเดิม แต่เกิดข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือ ก้อนหินขนาดมหึมาที่อยู่รอบ ๆ ค่ายกล ดูเหมือนจะกลายเป็นรอยด่างและเก่าแก่มากขึ้น
ในขณะเดียวกัน ชายชราก็ชักแขนกลับเช่นกัน จากนั้นตัวคนก็ถอยกลับไปที่เดิม ซึ่งเขาดูจะหมดเรี่ยวแรงไปมาก ทำให้ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น ในขณะที่ความอ่อนล้าได้ปกคลุมไปทั้งใบหน้า
“ข้าขออภัยที่ทำให้ท่านต้องลำบาก” จักรพรรดิซ่งถอนสายตาจากค่ายกลและกล่าวกับชายชราด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เพื่ออนาคตอันยิ่งใหญ่ของราชวงศ์ซ่ง หากเสียการบ่มเพาะไปเพียงแค่หนึ่งหมื่นปี ยังจะต้องไปใส่ใจสิ่งใดอีกกัน?” ชายชรากล่าวพร้อมกับส่ายศีรษะ จากนั้นเขาก็กลับไปที่บันไดหินและนั่งลงขัดสมาธิอีกครั้ง
“ใช่แล้ว เพื่ออนาคตของราชวงศ์ซ่ง” จักรพรรดิซ่งถอนหายใจแล้วพึมพำ “ความสำเร็จที่พวกเจ้าจะได้รับในสมรภูมิบรรพกาลขึ้นอยู่กับโชคชะตาของพวกเจ้าเอง ข้าหวังว่าทุกคนจะเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬได้อย่างปลอดภัย…”
…
ดินแดนทางตอนใต้ ณ เมืองหมอกสน ทะเลสาบถ้ำวิญญาณ
แสงของดวงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมายังโลก ทำให้น้ำในทะเลสาบสีเขียวหยกถูกย้อมด้วยสีส้มที่เปล่งประกาย และใต้ต้นหลิวเก่าแก่ที่ด้านข้างของทะเลสาบ จี้อวี๋นอนอยู่บนเก้าอี้โยกคนเดียว ในยามนี้เขากำลังทำสมาธิอยู่
เพียงครู่ต่อมา จี้อวี๋ดูจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ทำให้เขาลืมตาขึ้นอย่างฉับพลัน และสายตาของเขาก็ลึกล้ำ ราวกับสามารถมองทะลุไปยังอีกโลกหนึ่งได้
หลังจากเวลาผ่านไปนาน ใบหน้าผอมตอบของเขาก็ไม่อาจยับยั้งอารมณ์ที่พลุ่งพล่านได้ “เป็นเรื่องดีที่เจ้าได้จากไป การเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬนั้น จะถือว่าเจ้าได้เข้าสู่โลกแห่งการบ่มเพาะอันยิ่งใหญ่ที่แท้จริง…”