บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 443 พายุอสูรทะเล

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 443 พายุอสูรทะเล

บทที่ 443 พายุอสูรทะเล

พายุโหมกระหน่ำและคลื่นโคลนก็ซัดขึ้นสู่ท้องฟ้าเหนือทะเลบรรพกาล และยิ่งลึกเข้าไป สภาพแวดล้อมก็ยิ่งเลวร้าย

แม้แต่พลังดาราจักรแห่งความตายที่หลอมรวมเข้ากับสวรรค์ ผืนดิน และทะเลก็ควบแน่นเป็นสายฟ้าสีดำสนิทที่ส่องประกายไปทั่วสารทิศ

หากผู้บ่มเพาะถูกโจมตีด้วยสายฟ้าสีดำนี้ พลังชีวิตอาจถูกพรากไปในพริบตาและกลายเป็นซากศพที่ปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย ทำให้มันน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง

และครั้งหนึ่ง เฉินซีเคยจับสายฟ้าสีดำสนิทนี้ด้วยมือเปล่า เพราะต้องการดูว่าพลังดาราจักรแห่งความตายมีลักษณะอย่างไร แต่เขาก็ไม่เคยคาดคิดว่าทั้งมือขวาของตัวเองจะเปลี่ยนเป็นสีดำที่ไหม้เกรียมเหมือนถ่านที่ถูกเผาไหม้ในทันที หลังจากที่ได้ตรวจสอบมัน ชายหนุ่มก็พบว่ามันไม่มีพลังชีวิตอีกต่อไป

แต่นับว่าโชคดี การขัดเกลากายาของเขาทำให้สามารถสร้างร่างกายใหม่ได้ด้วยแก่นโลหิต และเขาตัดสินใจปล่อยสายฟ้าสีดำสนิทไปทันที ทำให้รอดพ้นจากหายนะ หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็ใช้แก่นโลหิตเพื่อสร้างมือขวาขึ้นมาใหม่

อย่างไรก็ตาม เขาไม่กล้าแตะต้องสายฟ้าสีดำสนิทที่เกิดจากพลังดาราจักรแห่งความตายอีกต่อไป เนื่องจากพลังที่แฝงอยู่ภายในนั้นน่าสะพรึงกลัวเกินไป

“พี่เฉิน เหตุใดข้าถึงไม่เคยเห็นเจ้าใช้เคล็ดวิชาหมัดเช่นนี้มาก่อน” หลังจากเหินบินไปได้สักหนึ่งชั่วก้านธูป นายน้อยโจวก็รู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย จึงอดไม่ได้ที่จะพูดคุยกับเฉินซี

“มันเป็นกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าครึ่งขั้นที่ข้าได้ฝึกฝนมา และยังห่างไกลจากความสมบูรณ์แบบนัก” เฉินซีตอบกลับอย่างสบาย ๆ เพลงหมัดมหาทำลายล้างเป็นเพียงกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าครึ่งขั้นเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น มันมีเพียงแค่สามกระบวนท่า และไม่มีเต๋ารู้แจ้งแห่งการทำลายล้างเลยสักนิด ถ้าเขาต้องการทำให้มันสมบูรณ์แบบ ก็อาจต้องเข้าใจเต๋ารู้แจ้งแห่งการทำลายล้างให้ได้เสียก่อน

นอกจากนี้ เต๋ารู้แจ้งแห่งการทำลายล้างยังคล้ายกับเต๋าแห่งกระบี่และเต๋ารู้แจ้งแห่งการกลืนกินที่เขาเชี่ยวชาญ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นทักษะในการใช้เต๋ารู้แจ้ง ภายใต้เงื่อนไขที่ว่านี้เอง หากใครไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเคล็ดวิชาการต่อสู้ที่สอดคล้องกัน มันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากมาก

แต่เนื่องจากเขามีกระดูกคุนเผิงที่ศิษย์พี่สามมอบให้ เฉินซีจึงสามารถเข้าใจเต๋ารู้แจ้งแห่งการกลืนกินได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่การหยั่งรู้เต๋ารู้แจ้งแห่งการทำลายล้างนั้นแตกต่างออกไป จนถึงตอนนี้ เฉินซียังไม่เคยพบเคล็ดวิชาที่เกี่ยวข้องกับเต๋ารู้แจ้งแห่งการทำลายล้างเลยสักครั้ง

“กระบวนยุทธ์ระดับเต๋าที่ไม่สมบูรณ์? เป็นไปไม่ได้! เจ้าเอาชนะเว่ยมู่อวิ๋นด้วยหมัดเพียงสองครั้ง พลังระดับนี้ทรงพลังยิ่งกว่ากระบวนยุทธ์ระดับเต๋าที่สมบูรณ์เสียด้วยซ้ำ!” นายน้อยโจวไม่เชื่อคำพูดของเฉินซี และรู้สึกว่าชายหนุ่มได้ปกปิดความลับเอาไว้ แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจ เพราะทุกคนต่างมีความลับเมื่อออกไปฝึกฝนในโลกภายนอก และหากใครไม่มีความลับ คนคนนั้นคงตายไปนานแล้ว

“เฉินซี ที่เกาะส่องดาราก่อนหน้านี้ เจ้าโกรธข้าหรือไม่?” หวงฝู่ฉิงอิงที่นิ่งเงียบตั้งแต่ออกจากเกาะส่องดารา ได้กล่าวออกมาในขณะนี้

เฉินซีตกตะลึง ก่อนที่เขาจะกล่าวพร้อมกับส่ายศีรษะ “ข้าเปล่า”

หวงฝู่ฉิงอิงหัวเราะอย่างขมขื่นและกล่าวว่า “เจ้าไม่ชอบที่ข้าแสดงความอ่อนแอต่อหน้าเผยอวี่และคนอื่น ๆ แต่ข้าไม่มีทางเลือกอื่น เพราะข้าไม่รู้ทางไปยังเกาะสมบัติที่ร่วงหล่น ในขณะที่เผยอวี่และผู้บ่มเพาะคนอื่นของราชวงศ์ระดับสูงต่างมีเบาะแสของเกาะนี้อยู่เล็กน้อย ข้าจึงต้องพึ่งพาพวกเขา เพื่อให้ไปยังเกาะสมบัติที่ร่วงหล่นได้”

ก่อนที่เฉินซีจะกล่าวคำออกมา หวงฝู่ฉิงอิงก็ชิงกล่าวต่อว่า “ซึ่งแน่นอนว่า เผยอวี่และคนอื่น ๆ ก็ต้องการผูกมัดข้าไว้ เพราะพวกเขาต้องการกำลังสนับสนุนของข้าในการช่วยพวกเขาสำรวจเกาะ ซึ่งข้าก็รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ต้องแสร้งทำเป็นสุภาพและปฏิบัติตามชั่วคราว จนกว่าเราจะเข้าสู่เกาะสมบัติที่ร่วงหล่น”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” เฉินซีลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อพบว่าหวงฝู่ฉิงอิงไม่ได้มีความคิดตื้นเขินอย่างที่คิด จากนั้นจึงกล่าวในขณะที่พยักหน้าว่า “ข้ารู้สึกสบายใจแล้วหลังจากที่เจ้ากล่าวเช่นนี้”

นายน้อยโจวก็เข้าใจเช่นกัน และก็อดกล่าวขึ้นมาไม่ได้ว่า “เกาะสมบัติที่ร่วงหล่นนั้นสำคัญมาก จนทำให้เจ้าต้องลำบากใจเช่นนี้จริง ๆ หรือ?”

สีหน้าของหวงฝู่ฉิงอิงได้กลับสู่สภาพเดิมเช่นก่อนหน้านี้แล้วและนางก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่รู้ว่าสมบัติที่อยู่บนเกาะสมบัติที่ร่วงหล่นนั้นน่าอัศจรรย์เพียงใด ในบรรดาสมบัติที่แตกสลายซึ่งเหล่าเทพผู้ล่วงลับในสมัยโบราณได้ทิ้งไว้เบื้องหลัง บางชิ้นเปรียบได้กับสมบัติกึ่งอมตะ บางชิ้นมีอักขระมหาเต๋าประทับอยู่ และบางชิ้นก็มีวิญญาณสมบัติอยู่ด้วย! มันมีทุกสิ่งอยู่ภายในเกาะ และหากเราได้รับสมบัติมาสักชิ้นสองชิ้นแล้วละก็ มันย่อมส่งเสริมประโยชน์อย่างไร้ขอบเขตให้แก่เราอย่างแน่นอน”

สมบัติกึ่งอมตะ!

อักขระมหาเต๋า!

วิญญาณสมบัติ!

สิ่งเหล่านี้เต็มไปด้วยการล่อลวงที่ไม่มีใครเทียบได้ ไม่ต้องกล่าวถึงว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นเพียงผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง แม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีก็ไม่อาจอดกลั้นจากการน้ำลายไหลและดวงตาก็ถูกย้อมด้วยความละโมบ

ซึ่งทั้งหมดนี้คือสมบัติที่แตกสลาย ซึ่งเทพผู้ล่วงลับในสมัยโบราณได้ทิ้งเอาไว้ และพวกมันก็ถูกซ่อนอยู่บนเกาะสมบัติที่ร่วงหล่น!

เมื่อถึงจุดนี้ เฉินซีและนายน้อยโจวก็เข้าใจทุกสิ่งได้อย่างถ่องแท้

“หากเราสามารถครอบครองชิ้นส่วนสมบัติเหล่านี้ หลังจากที่เราเข้าไปในเกาะสมบัติที่ร่วงหล่น ข้าหวังว่าเราจะสามารถเข้าใจมันไปด้วยกัน” หวงฝู่ฉิงอิงเอ่ยคำเชิญ

“ตกลง!” เฉินซีและนายน้อยโจวต่างก็เห็นด้วย การล่อลวงเช่นนี้น่าเย้ายวนเกินไปจริง ๆ และพวกเขาไม่สามารถปฏิเสธมันได้

ในขณะเดียวกัน เผยอวี่ ชุยซิวหง เว่ยมู่อวิ๋น และเหลิ่งเชี่ยนชิวที่บินอยู่ข้างหน้าก็สื่อสารผ่านกระแสปราณเช่นกัน

“องค์ชาย ท่านขอให้ข้าทดสอบความแข็งแกร่งของเฉินซีก่อนหน้านี้ มันลึกล้ำและมิอาจหยั่งถึงจริง ๆ ตัวข้าไม่ใช่คู่ควรกับเขา หากเราเข้าไปในเกาะสมบัติที่ร่วงหล่นแล้ว ท่านต้องระวังคนผู้นี้ให้ดีนะพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยมู่อวิ๋นกล่าวผ่านกระแสปราณ

“ในราชวงศ์ซ่งที่ธรรมดาสามัญนี้ ไม่เพียงแต่มีอัจฉริยะที่น่าภาคภูมิเช่นชิงซิ่วอี้กับเจิ้นหลิวชิงที่เข้าใจความลึกล้ำของเต๋ารู้แห่งแสงสว่างและเต๋ารู้แจ้งแห่งความมืดเท่านั้น แต่เฉินซีคนนี้กลับทรงพลังยิ่งกว่าพวกนางเสียอีก มันช่างแปลกจริง ๆ” ดวงตาของเผยอวี่ดูเหมือนกับกำลังดำดิ่ง และในตอนที่กล่าวก็ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังตกอยู่ในห้วงความคิด “ดูเหมือนว่าสิ่งที่เสด็จพ่อกล่าวไว้จะถูกต้องจริง ๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ โชคของราชวงศ์ซ่งกำลังมีมากขึ้นเรื่อย ๆ และได้มาถึงจุดสูงสุดจนเป็นประวัติการณ์ มิฉะนั้น การที่เหล่าอัจฉริยะผู้มีฝีมือร้ายกาจจะปรากฏตัวจำนวนมากเช่นนี้ ก็เป็นเรื่องที่พบได้ยากมาก”

“องค์ชาย เฉินซีเป็นคนที่ทรงพลังมาก เหตุใดเราถึงไม่กำจัดเขาให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้หลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ในอนาคตเล่าพ่ะย่ะค่ะ” ดวงตาของชุยซิวหงกะพริบขณะที่กล่าวด้วยน้ำเสียงอันน่าสยดสยอง

เว่ยมู่อวิ๋นได้พ่ายแพ้ให้แก่เฉินซี แต่เขาเพียงแนะนำเผยอวี่ให้ระวังเฉินซีเท่านั้น ในขณะที่ชุยซิวหงกลับแนะนำให้ฆ่าเฉินซีโดยตรง สิ่งนี้แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าธรรมชาติของคนผู้นี้โหดเหี้ยมและอำมหิตเพียงใด

“ไม่จำเป็น ยิ่งเขาแข็งแกร่งก็ยิ่งดี” เผยอวี่หัวเราะด้วยความอวดดี จากนั้นจึงกล่าวช้า ๆ ว่า “ข้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจเขา ไม่ต้องกล่าวถึงว่า เสด็จพ่อของข้าได้มอบสมบัติลับให้กับข้าก่อนจะมาที่นี่ และมันมีอานุภาพที่สามารถเขย่าโลกได้ ดังนั้นจึงเพียงพอที่จะบดขยี้เฉินซีได้นับครั้งไม่ถ้วน! ด้วยเหตุนี้ แล้วข้าจะต้องกังวลสิ่งใดอีกเล่า?”

สมบัติลับ!

ดวงตาของชุยซิวหง เว่ยมู่อวิ๋น และเหลิ่งเชี่ยนชิวต่างเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น เนื่องจากสมบัติลับที่จักรพรรดิจิ้นเป็นผู้ประทานให้ จะมีอานุภาพที่อ่อนแอได้อย่างไร? แม้แต่พวกเขาก็ยังสงสัยว่าสมบัติลับชิ้นนี้น่าจะเป็นสมบัติกึ่งอมตะด้วยซ้ำ

“แต่น่าเสียดาย ข้าตกลงที่จะเป็นพันธมิตรกับหวงฝู่ฉิงอิงในครั้งนี้ เพราะเดิมทีข้าคิดว่านางจะสามารถพาชิงซิ่วอี้กับเจิ้นหลิวชิงมาได้ แต่ข้ากลับไม่ได้พบกับพวกนางเสียอย่างนั้น” เผยอวี่ทอดถอนหายใจและดูจะคิดอะไรบางอย่าง

คนอื่น ๆ ก็เงียบลงในทันที เพราะทุกคนรู้นิสัยใจคอของรัชทายาทพระองค์นี้เป็นอย่างดี เขามีไหวพริบอย่างน่าอัศจรรย์ มีพลังที่น่าตกตะลึงและพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา เป็นดั่งอัจฉริยะที่โดดเด่น แต่ข้อบกพร่องเพียงอย่างเดียวคือหมกหมุ่นในราคะเกินไป เขาตั้งใจจะโอบกอดสตรีที่ไม่ธรรมดาทั้งหมดและแต่งตั้งพวกนางเป็นนางบำเรอ

แม้กระทั่งก่อนจะเข้าสู่สมรภูมิบรรพกาล เผยอวี่ก็ตั้งเป้าหมายไว้แล้วและตั้งใจจะสยบอัจฉริยะหญิงชั้นยอดที่น่าภาคภูมิใจของราชวงศ์ต่าง ๆ ซึ่งชิงซิ่วอี้และเจิ้นหลิวชิงก็อยู่ในรายชื่อเหยื่อของเขา

ลูกตาของชุยซิวหงกลอกไปมา จากนั้นจึงกล่าวด้วยท่าทางประหลาดใจว่า “องค์รัชทายาท ข้าได้ยินมาว่า ชิงซิ่วอี้มีลูกชายกับเฉินซีตั้งนานแล้ว และพวกเขาดูจะเป็นคู่บำเพ็ญของกันและกัน ยิ่งไปกว่านั้น เจิ้นหลิวชิงเองก็มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและน่าสงสัยกับเฉินซีเช่นกัน”

ใบหน้าของเผยอวี่มืดหม่นลงทันที เพื่อให้ได้ครอบครองชิงซิ่วอี้และเจิ้นหลิวชิง เขาจึงได้รวบรวมข้อมูลนับไม่ถ้วน ดังนั้นเขาจะไม่รู้สิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร

แต่เขาเฉลียวฉลาดเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงปกปิดมันไว้ภายในใจและไม่เคยเปิดเผยมันออกมา แต่ในขณะนี้ เมื่อชุยซิวหงเปิดเผยมันด้วยคำกล่าวไม่กี่คำ เขาก็รู้สึกถึงคลื่นแห่งความขุ่นเคืองที่ตีขึ้นมาในใจ และเจตนาฆ่าอันเข้มข้นก็ผุดขึ้นในใจแทบจะทันทีเช่นกัน ก่อนที่เจ้าตัวจะกล่าวด้วยสายตาที่เย็นชาว่า “นับตั้งแต่มันกล้าใช้ประโยชน์จากสตรีที่ข้าปรารถนา ข้าจะทำให้มันได้ลิ้มรสสิ่งที่เรียกว่ามีชีวิตอยู่ไม่สู้ตาย!”

เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ จู่ ๆ เขาก็หันกลับไปมองชุยซิวหง จากนั้นจึงกล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ท่านพี่ชุย อย่าพยายามใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อกระตุ้นให้ข้ารู้สึกไม่พอใจ มิฉะนั้น หากข้าโกรธขึ้นมาแล้วละก็ เกรงว่าท่านจะทนรับผลที่ตามมาไม่ได้”

ชุยซิวหงตัวสั่นทันที จากนั้นจึงพยักหน้าเชิงเห็นด้วยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่าในใจของเขากลับพึงพอใจเป็นอย่างยิ่งและครุ่นคิดกับตัวเองว่า ‘เฉินซีเอ๋ยเฉินซี! เจ้ากล้าทำให้ข้าขุ่นเคือง ดังนั้นข้าจะหยิบยืมมือคนอื่นเพื่อฆ่าเจ้า แสดงให้หน่อยสิว่าเจ้าจะอยู่รอดไปได้สักกี่วัน!’

วู้วววว! วู้วววว…

จู่ ๆ ก็มีคลื่นเสียงที่ดูเหมือนวิญญาณร้ายโหยหวนดังออกมาจากผิวทะเลที่ห่างไกลออกไปในขณะนี้ ในขณะที่มวลเมฆดำที่ดูเหมือนตะกั่วได้เข้าปกคลุมทะเลและบริเวณโดยรอบทั้งหมด รวมไปถึงปิดตายเส้นทางข้างหน้า

“นี่มัน… พายุอสูรทะเล!” ดวงตาของเผยอวี่หรี่ลงในขณะที่เขาอุทานด้วยความตกใจ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท