บทที่ 445 เจตนาฆ่าที่ถูกปกปิด
บทที่ 445 เจตนาฆ่าที่ถูกปกปิด
ในเวลาไม่นาน สีหน้าของเผยอวี่ก็กลับมาเป็นปกติและกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “พวกเราฝ่าพายุอสูรทะเลไปด้วยกันเถอะ มิฉะนั้น ยิ่งพวกเรารั้งอยู่ที่นี่นานเท่าไร โอกาสที่พวกเราจะถูกขังตายก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น”
มันเป็นอย่างที่เผยอวี่กล่าวไว้ แม้ว่าการโจมตีของเฉินซีจะทำลายอสูรทะเลลงได้เป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังมีอสูรทะเลอยู่นับไม่ถ้วนที่ซ่อนตัวอยู่ในพายุที่ห่างออกไป นอกจากนี้กลิ่นอายของพวกมันกลับทรงพลังยิ่งขึ้น และความแข็งแกร่งของพวกมันก็อยู่ที่ขอบเขตเคหาทองคำเป็นอย่างน้อยหรืออาจจะสูงยิ่งกว่านั้น หรือมีแม้กระทั่งบางตัวที่มีพลังเทียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง
หากกล่าวอีกนัยหนึ่ง อสูรทะเลที่พวกเขาฆ่าก่อนหน้านี้ ทั้งหมดมีความแข็งแกร่งแค่ขอบเขตตำหนักอินทนิลเท่านั้น
หัวใจของทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวเหน็บ และพวกเขาไม่กล้าคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกต่อไป จึงพยักหน้าตกลง
“ไปกันเถอะ!” เผยอวี่พุ่งออกไปก่อน ในขณะที่คนอื่น ๆ ตามหลังเขาอย่างใกล้ชิด รูปร่างของกลุ่มพวกเขาเหมือนกับสว่านแหลมคมซึ่งเจาะอย่างรุนแรงไปยังพายุอสูรทะเล ตั้งใจที่จะฝ่าวงล้อมเพื่อหลบหนี!
หลังจากผ่านไปครึ่งวัน ในขณะที่พุ่งเข้าใส่ เข่นฆ่าสังหาร และทะยานไปตลอดทาง พวกเขาได้เคลื่อนตัวเข้าไปในทะเลโดยไม่ทราบระยะทาง แต่พายุอสูรทะเลก็ยังไม่ผ่านไป อีกทั้งยังคงกวาดล้างและโหมกระหน่ำไปทั่วทั้งฟ้าดิน ยิ่งไปกว่านั้น อสูรทะเลที่โผล่ออกมาจากก้นทะเลก็น่ากลัวและมีประสบการณ์มากขึ้นเรื่อย ๆ
มีแม้แต่อสูรทะเลบางตัวที่ก่อตั้งเผ่าอันทรงพลังซึ่งมีรูปร่างคล้ายมนุษย์ พวกมันออกคำสั่งอสูรในเผ่าเดียวกัน ให้เคลื่อนผ่านพายุและล่าอสูรทะเลตัวอื่น ๆ เป็นอาหาร
ในช่วงครึ่งวันนี้ ปราณแท้ของเฉินซีถูกใช้ไปมาก แต่นับว่าโชคดีที่เขาพกโอสถวิญญาณจำนวนมากมาด้วย มีทั้งโอสถกลั่นแรกเริ่มแปดล้านเม็ดที่ถูกเก็บไว้เพียงเพื่อใช้เป็นเงินตรา ส่วนโอสถเหลวหยกนภาห้าหมื่นเม็ดเป็นยาที่เขาใช้เพื่อเติมเต็มปราณแท้ของตน และหากชายหนุ่มไม่ใช้ท่าไม้ตายที่ทรงพลัง โอสถเหลวหยกนภาห้าหมื่นเม็ดนี้ก็จะเพียงพอสำหรับเขาที่จะใช้สังหารเป็นเวลาสองสามเดือน
อย่างไรก็ตาม ยิ่งเขาเชี่ยวชาญเพลงหมัดมหาทำลายล้างมากเท่าไร อานุภาพของมันก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น และการกลืนกินปราณแท้ก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย แล้วทุกครั้งที่เขาใช้กระบวนท่าโจมตีออกไป มันจะกลืนกินปราณแท้ไปเกือบสองส่วนของทั้งหมด!
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การบ่มเพาะปราณแท้ของเขาในตอนนี้ ทำให้สามารถใช้กระบวนท่าโจมตีได้แค่ห้าครั้งเท่านั้น และหากต้องการเติมเต็มปราณแท้ ชายหนุ่มจะต้องกินโอสถเหลวหยกนภาไปถึงสิบสองเม็ด…
ความเร็วในการกลืนกินปราณแท้ที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้เฉินซีรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว
จนกระทั่งต่อมา เมื่อเขารู้สึกว่าพลังของเพลงหมัดมหาทำลายล้างมาถึงขีดจำกัดแล้ว ชายหนุ่มก็หยุดใช้เคล็ดวิชาหมัดอย่างเด็ดขาด และใช้พลังอิทธิ์ฤทธิ์ต่อสู้กับศัตรูแทน
เมื่อพวกเขาเห็นเฉินซีหยุดใช้เคล็ดวิชาหมัดที่น่าสะพรึงกลัว หวงฝู่ฉิงอิงและนายน้อยโจวต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แม้แต่เผยอวี่และคนอื่น ๆ ก็ดูผ่อนคลายมากขึ้น
ซึ่งมันช่วยไม่ได้ เนื่องจากเพลงหมัดมหาทำลายล้างที่เฉินซีใช้นั้นน่าสะพรึงกลัวเกินไป แม้ว่าจะเป็นแค่สองกระบวนท่า แต่ทุก ๆ หมัดที่เขาซัดออกไปกลับสามารถบดขยี้มิติได้ไกลเกือบถึงสองลี้ ทุกที่ที่มันผ่านไป ทุกสิ่งล้วนถูกทำลายจนสูญสิ้น และแรงผลักดันอันน่าสะพรึงกลัวก็สร้างแรงกดดันให้กับพวกเขาเป็นอย่างมาก
“องค์รัชทายาท ความแข็งแกร่งของเจ้าเด็กคนนี้เติบโตเร็วเกินไป หากเรายังไม่ทำลายมันเสียตอนนี้ มันจะกลายเป็นพยัคฆ์ที่แว้งกัดเราในภายภาคหน้า” หลังจากที่ชุยซิวหงได้เห็นความแข็งแกร่งในการต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวของเฉินซี เขาก็รู้สึกตกใจและหวาดกลัว ดังนั้นจึงรีบส่งเสียงผ่านกระแสปราณไปยังเผยอวี่อย่างรวดเร็ว
“เจ้าอย่าได้กังวลไป เจ้าเด็กคนนี้จะต้องตายอย่างแน่นอน แต่ยังไม่ใช่ในตอนนี้ เพราะไม่ใช่แค่กลุ่มของเราเท่านั้นที่มุ่งหน้าไปยังเกาะสมบัติที่ร่วงหล่น แต่ยังมีผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ที่กำลังเข้าไปที่นั่นด้วย จึงเป็นการดีที่เราจะใช้เฉินซีต่อสู้กับศัตรูเหล่านั้น หากกล่าวอีกนัยหนึ่งแล้วละก็ ยิ่งเฉินซีแข็งแกร่งมากเท่าไร โอกาสที่เราจะได้รับสมบัติในเกาะสมบัติที่ร่วงหล่นก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น” เผยอวี่กล่าวอย่างเฉยเมย อันที่จริง เขาเองก็ถูกกระตุ้นจนเกิดเจตนาฆ่าที่รุนแรงอยู่ในใจเช่นกัน ความแข็งแกร่งของเฉินซีนั้นทรงพลังเกินความคาดหมาย เมื่อคนเช่นนี้เติบโตเต็มที่ อีกฝ่ายก็จะกลายเป็นจ้าวเหนือหัวที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน หากถึงตอนนั้น จะฆ่าเฉินซีให้ตายก็เป็นการยากเสียแล้ว แต่ตอนนี้ เขามั่นใจว่าทุกสิ่งอยู่ในการควบคุมของตนเองอยู่
“องค์รัชทายาททรงมีพระปรีชาสามารถในด้านยุทธศาสตร์และชั้นเชิงอย่างแท้จริง เจ้าเด็กคนนี้ร้ายกาจมาก หากสามารถใช้มันเป็นปืนใหญ่ยิงใส่ศัตรูของเราได้ ก็ไม่มีแผนการใดดีไปกว่านี้แล้ว” ชุยซิวหงยิ้มขณะที่ยกยอเผยอวี่
ขณะที่เขากล่าว ชุยซิวหงได้บอกเว่ยมู่อวิ๋นกับเหลิ่งเชี่ยนชิวถึงแผนการของเผยอวี่ผ่านกระแสปราณ และได้รับการสนับสนุนจากทั้งสองคน เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนต่างก็เกรงกลัวความแข็งแกร่งของเฉินซีเช่นกัน และพวกเขาไม่ต้องการสิ่งใดมากไปกว่าให้เฉินซีตายโดยเร็วที่สุด ตอนนี้ เมื่อพวกเขาพบว่าเผยอวี่จะใช้เฉินซีเป็นปืนใหญ่สำหรับบดขยี้ศัตรูเท่านั้น พวกเขาจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นทันที
ทว่าในช่วงเวลาถัดมา พวกเขาก็สังเกตเห็นว่า แม้เฉินซีจะไม่ได้ใช้เคล็ดวิชาหมัดที่น่าสะพรึงกลัวอีกต่อไป แต่เขากลับใช้พลังอิทธิฤทธิ์อันน่าเกรงขามที่พวกตนไม่เคยพบเห็นมาก่อน!
ครืนนน!
ปราณจ้าววิญญาณโหมกระหน่ำในร่างกายของเฉินซีและมีสายฟ้าพุ่งออกมา สายฟ้าสีทองวูบไหวและก่อตัวเป็นกระแสวังวนพายุสายฟ้า ทำให้เฉินซีดูเหมือนเทพเจ้าแห่งสายฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยสายฟ้าอันเจิดจ้า
เขาชกออกไปด้วยหมัดที่เรียบง่าย แต่กลับเกิดกระแสวังวนพายุสายฟ้านับไม่ถ้วนและได้ทำลายเคล็ดวิชาของฝูงอสูรทะเลที่อยู่ตรงหน้าโดยตรง จากนั้นกระแสวังวนก็กระจายออกไปยังทุกทิศทาง บดขยี้อสูรทะเลนับพันตัวในบริเวณนั้น
แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือ แก่นโลหิตและพลังชีวิตของอสูรทะเลที่ถูกเข่นฆ่ากลับไม่สลายไป แต่กลับถูกกระแสวังวนดูดและกลืนกินอยู่รอบกายของเฉินซี!
เผยอวี่และคนอื่น ๆ ต่างก็เห็นว่า หลังจากแก่นโลหิตและพลังชีวิตของอสูรทะเลเหล่านี้ถูกดูดกลืนเข้าไป กลิ่นอายรอบ ๆ กายเฉินซีก็แข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อย และกระแสวังวนที่พลุ่งพล่านรอบตัวเขาก็ยิ่งพร่างพรายมากขึ้น สายฟ้าส่องแสงเรืองรองไปทั่วบริเวณโดยรอบ และเจิดจ้าจนแทบไม่อาจเห็นหน้าของเฉินซีได้อย่างชัดเจน
“สวรรค์! นี่มันพลังอิทธิฤทธิ์อะไรกัน? มันกลืนกินทุกสิ่งเพื่อก่อประโยชน์ต่อตัวเองได้จริงหรือ?”
เมื่อความประหลาดใจผุดขึ้นในใจของพวกเขา ดวงตาของเผยอวี่และคนอื่น ๆ ก็หดตัวลงทันที เพราะด้วยความสามารถในการแยกแยะของพวกเขา จึงสามารถแยกแยะได้ว่าพลังอิทธิฤทธิ์นี้มีมหาเต๋าแห่งอัสนีและการกลืนกินแฝงอยู่!
แต่ไม่ว่าจะเค้นสมองเท่าไร พวกเขาก็ไม่สามารถรำลึกได้อย่างแน่ชัดว่า พลังอิทธิฤทธิ์ประเภทใดในโลกนี้ที่มีความสามารถในการบรรจุมหาเต๋าอันลึกล้ำและน่าสะพรึงกลัวทั้งสองประเภทได้ โดยเฉพาะมหาเต๋าแห่งการกลืนกิน ซึ่งเป็นมหาเต๋าที่หาได้ยากมาก มันเป็นการดำรงอยู่ที่ไม่ด้อยไปกว่ามหาเต๋าแห่งแสงและความมืดเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าเด็กคนนี้ต้องถูกกำจัด!”
ในขณะนี้ ความรู้สึกถึงภยันตรายและเจตนาฆ่าที่รุนแรงได้ปรากฏขึ้นในใจของเผยอวี่และคนอื่น ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขายังต้องการใช้เฉินซี พวกเขาคงไม่อาจยับยั้งตัวเองจากการจู่โจมใส่ชายหนุ่มอย่างโหดเหี้ยมไปตั้งนานแล้ว
อย่างไรก็ตาม เฉินซีได้จินตภาพและทำความเข้าใจรูปปั้นของเทพเจ้าฝูซีตลอดทั้งวันทั้งคืน และจิตวิญญาณของเขาก็แข็งแกร่งจนเทียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายา ทำให้การรับรู้ของชายหนุ่มนั้นเฉียบคมขึ้นอย่างมาก แม้ว่าเจตนาฆ่าของเผยอวี่และคนอื่น ๆ จะถูกปกปิดไว้อย่างลึกซึ้ง แต่มันจะหลบเลี่ยงจากการตรวจจับของเขาได้อย่างไร?
แต่เขาไม่อาจมีปัญหากับคนเหล่านี้ได้ในเวลานี้ เช่นเดียวกับที่หวงฝู่ฉิงอิงกล่าวไว้ เผยอวี่ต้องการใช้ความแข็งแกร่งของพวกเขาในการสำรวจเกาะ ดังนั้นเหตุใดพวกตนถึงไม่ใช้เผยอวี่เพื่อค้นหาเกาะสมบัติที่ร่วงหล่นกลับเล่า?
ความคิดของเฉินซีในตอนนี้จึงมุ่งเน้นไปที่การต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้าเขาเท่านั้น
หลังจากเข้าใจความลึกล้ำของสองกระบวนท่าแรกในเพลงหมัดมหาทำลายล้างได้อย่างถ่องแท้แล้ว ทำให้เขาตระหนักถึงประโยชน์ของการต่อสู้จริง ซึ่งเขาต้องการใช้การต่อสู้นี้เพื่อบ่มเพาะพลังอิทธิฤทธิ์ที่ได้รับถ่ายทอดมาไม่นานมานี้ ซึ่งคือ ก่ออัสนีผสานดารา
พลังอิทธิฤทธิ์นี้เกิดจากกระดูกของคุนเผิง ซึ่งถูกบัญญัติขึ้นโดยศิษย์พี่สามของเขา มันมีความลึกล้ำของมหาเต๋าแห่งวารี มหาเต๋าแห่งอัสนี และมหาเต๋าแห่งการกลืนกิน ยิ่งไปกว่านั้น มันไม่ได้ยึดติดกับกระบวนท่า เนื่องจากการโจมตีทั้งหมดถูกสร้างขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการกลืนกิน ในขณะที่พลังกลืนกินนั้นอยู่ในกระแสวังวน!
หากอยู่ในน้ำ พลังกลืนกินจะก่อตัวเป็นกระแสน้ำวน
และหากอยู่บนพื้นดิน พลังกลืนกินจะก่อตัวเป็นพายุสายฟ้า
ตามที่ศิษย์พี่สามของเขาได้กล่าวไว้ว่า เมื่อเต๋ารู้แจ้งแห่งการกลืนกินได้บรรลุจนถึงระดับสมบูรณ์แล้ว ทุกสรรพสิ่งในโลกจะสามารถเปลี่ยนเป็นกระแสวังวนเพื่อใช้ในการกลืนกินได้ ตัวอย่างเช่น กระแสน้ำวน กระแสวังวนหยิน กระแสวังวนหยาง กระแสวังวนแห่งธาตุทั้งห้า และอื่น ๆ เป็นต้น
ในวันนั้น เมื่อศิษย์พี่สามของเขาได้ทำให้ฟ้าดินต้องสั่นสะเทือนด้วยดัชนีทั้งสาม ดัชนีสุดท้ายของศิษย์พี่สามได้เปลี่ยนดวงดาวนับไม่ถ้วนให้กลายเป็นกระแสวังวนขนาดใหญ่ที่กลืนกินทุกสิ่งในจักรวาล และพลังที่เกิดขึ้นนั้นก็ทำให้เฉินซีต้องตกตะลึงจนถึงตอนนี้
แต่ด้วยความเข้าใจที่เกี่ยวกับความลึกซึ้งของเต๋ารู้แจ้งแห่งการกลืนกินในปัจจุบันของเฉินซี เขาจึงยังทำได้เพียงใช้กระแสน้ำวนและกระแสวังวนพายุฝนสายฟ้าเท่านั้น
เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนถูกบรรจุอยู่ในวิชาก่ออัสนีผสานดารา ซึ่งเขาแค่ทำความเข้าใจและบ่มเพาะจนเชี่ยวชาญเท่านั้น ชายหนุ่มไม่มีความจำเป็นต้องใช้สมองครุ่นคิดและบัญญัติขึ้นมาใหม่
แน่นอนว่า กระแสน้ำวนเป็นเพียงหนึ่งในวิธีการแสดงพลังของเต๋ารู้แจ้งแห่งการกลืนกิน และไม่ได้หมายความว่าจะสามารถเข้าใจความลึกล้ำของมหาเต๋าแห่งการกลืนกินผ่านกระแสน้ำวนได้
ตู้ม!!
ในขณะนี้ มีอสูรทะเลอีกกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นจากพายุ และกลิ่นอายที่พวกมันปล่อยออกมาก็ไม่ด้อยไปกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเลยแม้แต่น้อย
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นกองทัพที่สร้างขึ้นจากอสูรทะเลขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง!