บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 446 วานรวารีเพลิงคลั่ง

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 446 วานรวารีเพลิงคลั่ง

บทที่ 446 วานรวารีเพลิงคลั่ง

บทที่ 446 วานรวารีเพลิงคลั่ง

อสูรทะเลกลุ่มนี้มีรูปร่างสูงใหญ่ มีหัวเป็นปลามีร่างกายมนุษย์ ใบหน้าน่าเกลียด พวกมันสวมชุดเกราะขาดรุ่งริ่ง และถือง้าวทองสัมฤทธิ์เอาไว้ในมือ อักขระยันต์เปล่งประกายเฉียบคมไหววูบอยู่บนตัวง้าว

โดยเฉพาะปีกสีดำสนิทคู่หนึ่งบนหลัง ที่ทำให้พวกมันเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระและว่องไวท่ามกลางพายุ กลิ่นอายของพลังดาราจักรแห่งความตายที่แผ่ออกมาจากกายของพวกมันชวนให้ผู้คนรู้สึกใจสั่น

“ระวัง พวกนี้คืออสูรมัจฉาวิญญาณ เทียบกับเผ่าพันธุ์อื่นที่อยู่ในทะเลบรรพกาลแล้ว พวกมันถือเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์อสูรทะเลที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า เพราะสามารถบินบนท้องฟ้าและดำดิ่งลงไปในทะเลได้ ความแข็งแกร่งของพวกมันเทียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ทำให้สังหารได้ยากยิ่ง” หวงฝู่ฉิงอิงเตือนพวกเขาทันทีที่นางเห็นกองทัพอสูรปลาโผล่ออกมาจากพายุที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

“อสูรมัจฉาวิญญาณเหล่านี้เชี่ยวชาญเต๋ารู้แจ้งแห่งสายลมและวารี อีกทั้งยังมีไข่มุกต้นกำเนิดถูกควบแน่นอยู่ภายในร่างกายของพวกมัน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการบ่มเพาะเต๋าแห่งลมและน้ำของเราอย่างมากด้วย” เหลิ่งเชี่ยนชิวกล่าวเสริม ขณะที่เหวี่ยงโซ่กระดูกในมือออกไป โซ่กระดูกสีขาวกลายเป็นสายรุ้งเส้นยาวข้ามผ่านท้องฟ้า ทำลายแนวทัพของอสูรมัจฉาวิญญาณ และแยกพวกมันออกจากกันอย่างดุเดือด

ในชั่วพริบตาเดียว ร่างของอสูรมัจฉาวิญญาณกว่าร้อยตัวก็ระเบิดออก ไข่มุกต้นกำเนิดสีดำแวววาวและโปร่งแสงกว่าหนึ่งร้อยเม็ด ถูกโซ่กระดูกยาวรวบกลับสู่ฝ่ามือของเหลิ่งเชี่ยนชิว

“ผู้บ่มเพาะมนุษย์!”

“ดูเหมือนว่าสมรภูมิบรรพกาลได้เปิดขึ้นอีกครั้งแล้ว ฮ่า ๆๆ! ในที่สุดเราก็ได้กินเนื้อมนุษย์สด ๆ แล้ว!”

“ฆ่า ฆ่าพวกมันทั้งหมด อย่าปล่อยให้พวกมันรอดไปได้แม้แต่คนเดียว!”

ทันใดนั้น จิตสังหารหนาแน่นและเสียงหอนแหลมบาดหูที่ดังขึ้นจากกลุ่มอสูรมัจฉาวิญญาณก็สะท้อนก้องไปทั่วทุกทิศ อสูรทะเลเหล่านี้ไม่ต่างจากผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางทั่วไป พวกมันมีสติปัญญาอยู่ในระดับสูง และรู้วิธีที่จะร่วมมือกันในการต่อสู้ อึดใจต่อมา พวกมันก็รวมพลังกันเพื่อเปิดการโจมตีโต้กลับ

ตู้ม!

อสูรมัจฉาวิญญาณรวมตัวกันเป็นค่ายกลขนาดมหึมา ซึ่งก่อให้เกิดสายฟ้าและใบมีดลมจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาทำลายโซ่กระดูกของเหลิ่งเชี่ยนชิว

“น่าทึ่งจริง ๆ พวกมันรู้วิธีนำค่ายกลมาใช้เป็นกลยุทธ์การต่อสู้เสียด้วย ทว่าค่ายกลนี้หยาบเกินไป หากข้าเป็นผู้จัดขบวนทัพค่ายกลที่ใหญ่ขนาดนี้ อย่างน้อยมันก็น่าจะมีพลังมากกว่านั้นถึงสิบเท่า…” เฉินซีตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหัวและใช้วิชาก่ออัสนีผสานดารา แล้วชกกำปั้นออกไป

เพียงหมัดเดียว คลื่นพายุฝนฟ้าคะนองนับไม่ถ้วนก็หมุนรวมกลายเป็นกระแสน้ำวนอันรุนแรง พุ่งเข้าใส่ศูนย์กลางของค่ายกลที่ก่อตัวขึ้นโดยเหล่าอสูรมัจฉาวิญญาณ ทันใดนั้น ค่ายกลก็พังทลายลงมาพร้อมกับเสียงระเบิดดังก้อง อสูรมัจฉาวิญญาณจำนวนมากถูกบดขยี้เป็นผุยผงในทันที ในขณะที่แก่นโลหิต ปราณอสูรและไข่มุกต้นกำเนิดจำนวนมากถูกดูดเข้าสู่กระแสน้ำวนของพายุฝนฟ้าคะนองลูกนั้น

“กลืนสวรรค์พลิกปฐพี แปรเปลี่ยนทุกสิ่งให้เป็นของตน พลังอิทธิฤทธิ์ที่ศิษย์พี่สามสร้างขึ้นมานี้ช่างทรงพลังจริง ๆ!” ภายในใจของเฉินซีเต็มไปด้วยความชื่นชม แก่นโลหิตและปราณอสูรถูกกลืนเข้าไปในร่างกายของเขา ทันใดนั้น สัมผัสอันอบอุ่นก็ไหลผ่านไปทั่วทั้งร่างกาย และเติมเต็มพลังงานทั้งหมดที่ชายหนุ่มใช้ไปให้กลับคืนมาในทันที

ผลของการขัดเกลาแก่นโลหิตและปราณอสูรให้กลายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ และเติมปราณจ้าววิญญาณในตัวให้เต็มอีกครั้งนับเป็นสิ่งที่ท้าทายสวรรค์อย่างหนึ่ง แม้ว่ามันจะไม่ได้ช่วยในเรื่องการบ่มเพาะของเฉินซีเลย แต่ตราบใดที่เขาสามารถดูดกลืนแก่นโลหิตและปราณอสูรได้มากพอ เฉินซีก็จะสามารถทำให้ปราณจ้าววิญญาณของเขาไร้ที่สิ้นสุดได้ ไม่ต่างจากหุ่นเชิดที่ต่อสู้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

ส่วนไข่มุกต้นกำเนิดนั้นเต็มไปด้วยร่องรอยและกลิ่นอายของเต๋าแห่งลมและน้ำอยู่ มูลค่าของมันจึงเทียบเท่าได้กับสมุนไพรวิญญาณระดับเต๋า!

เพราะถึงอย่างไร ความแข็งแกร่งของอสูรมัจฉาวิญญาณเหล่านี้ก็เทียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง และไข่มุกต้นกำเนิดของพวกมันก็ไม่ต่างอะไรกับแกนทองคำของผู้บ่มเพาะมากนัก ดังนั้นมูลค่าของมันจึงน่าอัศจรรย์ยิ่ง

“ไข่มุกต้นกำเนิดสามร้อยยี่สิบลูก… กระเป๋าของข้ายามนี้แห้งเหี่ยวและสะอาดสะอ้านยิ่งนัก แม้ว่ามูลค่าของไข่มุกต้นกำเนิดเหล่านี้จะยังไม่สามารถประเมินได้ แต่ถ้าสะสมได้มากกว่านี้ก็จะมีมูลค่าโดยรวมที่มหาศาลแน่นอน” เฉินซีมองดูครู่หนึ่ง ก่อนจะเก็บไข่มุกต้นกำเนิดเข้าไปในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์

ในขณะเดียวกันนั้น คนอื่น ๆ เองก็เริ่มตามล่าและโจมตีอสูรมัจฉาวิญญาณเต็มกำลังอย่างต่อเนื่อง มูลค่าของไข่มุกต้นกำเนิดเหล่านี้สูงมาก และพวกเขาทุกคนย่อมรู้ดีว่ามันคือความมั่งคั่งที่มหาศาลจนน่าตกใจ เพราะหากเป็นในโลกภายนอก การที่พวกเขาจะเจออสูรทะเลจำนวนมหาศาลให้สามารถไล่ล่าและฆ่าได้มากมายเช่นนี้แทบเป็นไปไม่ได้เลย

โชคลาภดังกล่าวสามารถหาพบได้ในทะเลบรรพกาลของสมรภูมิบรรพกาลเท่านั้น

“ฆ่า!”

แสงจากพลังอิทธิฤทธิ์กวาดไปทั่วท้องฟ้า เต๋ารู้แจ้งกระจายตัวออก การโจมตีแทบทุกรูปแบบได้ปกคลุมทั่วทั้งผืนฟ้าและพื้นดิน อสูรมัจฉาวิญญาณกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าถูกสังหารทิ้ง ดุจใบไม้ที่ร่วงหล่นเมื่อต้องลมในฤดูใบไม้ร่วง

พวกเขาต่างเป็นหนึ่งในอัจฉริยะอันดับต้น ๆ ของโลก ระดับการบ่มเพาะ ความเชี่ยวชาญในกระบวนยุทธ์และสมบัติวิเศษของพวกเขายังห่างไกลกว่าที่อสูรเหล่านี้จะเอาตัวมาเปรียบเทียบได้ ดังนั้น เมื่อพวกเขาเริ่มลงมือไล่สังหารอย่างเต็มกำลัง ภาพที่ปรากฏจึงเป็นฉากที่พวกเขากวาดผ่านฝูงอสูรด้วยกำปั้น ประหนึ่งกวาดใบไม้แห้งตามพื้น

แต่คนที่โดดเด่นที่สุดในหมู่พวกเขานั้นคือเฉินซี การโจมตีแต่ละครั้งของชายหนุ่มนั้นราวกับมีพายุสายฟ้าฟาดลงมา ระเบิดผืนน้ำออกเป็นเสี่ยง ๆ ทำให้เกิดกระแสน้ำวนนับไม่ถ้วนห้อมล้อมรอบตัวเขาเอาไว้ วังวนพายุอัสนีแต่ละลูกได้เปลี่ยนเป็นอ่างเลือดขนาดใหญ่พัดพาและกลืนกินทุกสิ่งที่อยู่รอบข้างในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ อสูรปลานับหมื่นก็ถูกมันกลืนหายจนหมดสิ้น

จนแล้วจนรอด คนอื่น ๆ ก็ไม่ได้ลงมือเคลื่อนไหวมากมายอะไรนัก เพราะอสูรปลาทั้งหลายถูกเฉินซีกำจัดจนหมดก่อนที่พวกเขาจะทันทำสิ่งใดแล้ว ดั่งฝูงตั๊กแตนโหยที่ไม่เหลือทิ้งสิ่งใดไว้เบื้องหลังเลย

“พลังอิทธิฤทธิ์นั่นมันอะไรกัน? ช่างรุนแรงนัก!”

“บัดซบ! เด็กคนนี้โหดร้ายเกินไปแล้ว เขาไม่เหลือแม้แต่เศษซากไว้ให้เราเลย”

“เราควรทำอย่างไรดี? เราไม่สามารถชนะเขาได้แน่!”

เมื่อพวกเขาเห็นภาพนี้ เผยอวี่และคนอื่น ๆ ต่างก็ตกใจ อิจฉา และดูไม่เชื่อสายตาตนเอง

ตามหลักเหตุผลแล้ว แม้ว่าจะเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางระดับแนวหน้าก็ไม่สามารถสังหารอสูรมัจฉาวิญญาณนับหมื่นตัวในช่วงเวลาสั้น ๆ ได้ พวกเขาจะทำเช่นนี้ได้ก็ต่อเมื่อมีสมบัติวิเศษที่ทรงพลังอยู่ในมือ อาทิ สมบัติกึ่งอมตะ หรือมีขอบเขตสูงกว่าแกนทองคำหยินหยางขั้นกลางขึ้นไปเท่านั้น

ทว่าเฉินซีกลับระเบิดพลังออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า พลังอิทธิฤทธิ์อันน่าทึ่งนั้นกวาดสังหารอสูรมัจฉาวิญญาณกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าในเวลาไม่กี่ลมหายใจ ทั้งยังดูจะแข็งแกร่งขึ้นเมื่อเขาต่อสู้เสียด้วย เหตุการณ์นี้จึงขัดกับสามัญสำนึกเสียจนไม่มีใครกล้าเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง

“การแสดงของพี่เฉินช่างสะดุดตาเสียเหลือเกิน ดูเหมือนว่าจิตสังหารของคนพวกนั้นจะพุ่งเป้าไปที่เขาหมดแล้ว” ดวงตาของนายน้อยโจวกวาดมองดูสีหน้าท่าทางของพวกเผยอวี่และคนอื่น ๆ ก่อนที่จะส่งเสียงผ่านกระแสปราณไปอย่างรวดเร็ว

“ไม่ต้องห่วง ยิ่งเฉินซีแข็งแกร่งมากเท่าไร เขาก็ยิ่งมีค่าต่อเผยอวี่มากขึ้นเท่านั้น ในตอนนี้ อีกฝ่ายย่อมไม่เคลื่อนไหวต่อต้านเฉินซีอย่างแน่นอน” หวงฝู่ฉิงอิงพูดอย่างใจเย็น

“แล้วหลังจากนั้นล่ะ?” นายน้อยโจวถาม

“หลังจากนั้นหรือ?” มุมปากของหวงฝู่ฉิงอิงยกขึ้นอย่างเย็นชาเล็กน้อย “ภายภาคหน้า ใครจะรู้ว่าผู้ใดกันแน่ที่จะใช้ประโยชน์จากใคร ด้วยความเฉลียวฉลาดของเฉินซี เขาย่อมสามารถแก้ปัญหาทั้งหมดนี้ได้อย่างง่ายดายอยู่แล้ว”

“สหายเต๋าเผยอวี่ อสูรมัจฉาวิญญาณกลุ่มนี้ถูกกำจัดลงหมดแล้ว เราควรรีบเดินทางกันต่อ” เสียงอันสงบของเฉินซีดังมาจากที่ไกล ๆ

“โอ้? พี่เฉินช่างน่าทึ่งนัก ข้ารู้สึกชื่นชมท่านจริง ๆ การเดินทางต่อจากนี้ตราบใดที่พี่เฉินยังอยู่ ไม่ว่าอสูรทะเลดุร้ายตัวใดปรากฏตัวขึ้น เรายังจะต้องกลัวอยู่อีกหรือ?” เผยอวี่ถูกปลุกให้ตื่นจากความคิดของตัวเอง การแสดงออกของเขากลับมาจริงจังขึ้นก่อนที่จะฝืนยิ้มอย่างอบอุ่น ทว่าในอึดใจต่อมา รอยยิ้มบนใบหน้านั้นพลันแข็งค้างไป และการแสดงออกของเขาก็เผยให้เห็นความหนักใจที่หาได้ยาก

นั่นเพราะ… พายุอสูรทะเลอีกลูกหนึ่งกำลังถาโถมเข้ามาแล้ว ฐานพายุเชื่อมต่อท้องฟ้าเข้ากับทะเล อสูรทะเลที่อยู่ภายในนั้นเป็นวานรที่ดุร้ายและน่าสะพรึงกลัวยิ่ง มันมีความสูงกว่าร่างกายของมนุษย์ ขนดกหนา และมีเขี้ยวแหลมคม!

“ระวัง! พวกมันคือวานรวารีเพลิงคลั่ง หนึ่งในอสูรทะเลที่แข็งแกร่งที่สุดในทะเลบรรพกาล อุปนิสัยของพวกมันดุร้ายมาก ทั้งยังเชี่ยวชาญเต๋ารู้แจ้งแห่งอัคคีและวารี และมีความแข็งแกร่งทางกายภาพที่ไร้ขอบเขต อสูรมัจฉาวิญญาณไม่ใช่สิ่งที่จะนำมาเปรียบเทียบกับพวกมันได้ อัจฉริยะที่ได้เข้าสู่ทะเลบรรพกาลเมื่อกาลก่อน ส่วนใหญ่ล้วนตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของพวกวานรวารีเพลิงคลั่งทั้งสิ้น!” เผยอวี่ตะโกนออกมาเสียงดังด้วยสีหน้าจริงจัง ไร้ซึ่งท่าทีผ่อนคลายอีกต่อไป

ทุกคนสังเกตเห็นพายุที่พัดกระหน่ำที่อยู่ไกล ๆ อีกครั้ง และรู้สึกว่า รัศมีของพายุที่ตรงเข้ามาโจมตีพวกเขาในครั้งนี้รุนแรงและน่าตกใจเกินกว่าจะเพิกเฉยได้

วานรวารีเพลิงคลั่งที่มีจำนวนนับไม่ถ้วนซ่อนตัวอยู่ในพายุ ปราณอสูรที่ดุร้ายถูกปลดปล่อยออกมา จนควบแน่นเป็นก้อนเมฆสีดำสนิทปกคลุมพื้นที่กว่าพันลี้ มันม้วนตัวอย่างต่อเนื่องและเต็มไปด้วยแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัว

เมื่อได้เห็นภาพนี้ แม้จะมีความแข็งแกร่งของเฉินซีอยู่ แววความกลัวเบาบางก็ยังคงเกิดขึ้นในใจของเขา

เพราะจำนวนของวานรวารีเพลิงคลั่งก็นับว่ามากเกินไปจริง ๆ ยิ่งกว่านั้น กลิ่นอายที่ทุกตัวปล่อยออกมานั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสูง ทำให้พวกมันดูเหมือนกองกำลังขนาดใหญ่กำลังหลั่งไหลเข้ามา

อสูรทะเลเป็นร้อยหรือพันตัวย่อมไม่อาจทำอะไรพวกเขาคนใดคนหนึ่งได้ แต่เมื่อมีอสูรทะเลนับหมื่นหรือแสนตัวเช่นนี้ปรากฏขึ้น ก็เพียงพอที่จะฉีกหนึ่งในพวกเขาเป็นชิ้น ๆ !

ภายในพายุเบื้องหน้าของพวกเขา เป็นฝูงวานรวารีเพลิงคลั่งฝูงหนึ่ง แต่ละตัวสูงกว่าสิบจั้งและมีกลิ่นอายที่ดุร้ายยิ่ง ราวกับยักษ์ใหญ่แห่งท้องทะเลที่บุกรุกและกวาดปล้นทุกสิ่งไปด้วยพละกำลังมหาศาล

ยิ่งกว่านั้น ในบรรดาวานรวารีเพลิงคลั่งกลุ่มนี้ ยังมีกลิ่นอายที่โดดเด่นและทรงพลังยิ่งกว่าอยู่ และดูเหมือนว่านั่นจะเป็นผู้นำของพวกมัน แม้ว่าเฉินซีและคนอื่น ๆ จะมั่นใจในความแข็งแกร่งของพวกตนในตอนนี้อย่างมาก แต่ก็ไม่มีใครกล้าพุ่งเข้าไปอย่างผลีผลาม เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้

“ที่แท้ก็เป็นพวกผู้บ่มเพาะมนุษย์ มนุษย์โง่เขลาเหล่านี้กำลังฝันที่จะกอบโกยความมั่งคั่งไปจากทะเลบรรพกาล พร้อมกับบ่มเพาะพลังของพวกมัน และยังคิดจะไปค้นหาเกาะสมบัติที่ร่วงหล่นอีก ช่างไร้เดียงสาเสียจริง”

“เนื้อของผู้บ่มเพาะมนุษย์นั้นสดและอร่อยที่สุด!”

“ฮ่า ๆๆ ผู้ที่สามารถเข้ามาสู่สมรภูมิบรรพกาลได้ ล้วนเป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ในหมู่มนุษย์ ความมั่งคั่งของพวกมันนั้นน่าทึ่งมาก ทั้งสมบัติวิเศษ ยาเม็ด และเคล็ดวิชาการบ่มเพาะอีกนับไม่ถ้วน จะดีเพียงใดหากเราปล้นสิ่งเหล่านั้นมาจากพวกมันได้”

“ฆ่าพวกมันทั้งหมดและยึดเอาเคล็ดวิชามาซะ เราจะใช้มันเพิ่มความแข็งแกร่งและออกปล้นทรัพย์ได้มากขึ้น ทั้งยังสามารถขยายอาณาเขตของเราให้ไกลยิ่งขึ้นและครอบครองทะเลบรรพกาลเสีย!”

ในเวลาเดียวกัน วานรวารีเพลิงคลั่งในพายุก็สังเกตเห็นเฉินซีและคนอื่น ๆ เช่นกัน ทันใดนั้น เสียงคำรามก็ดังก้องขึ้นจนสั่นสะเทือนทั่วทั้งท้องฟ้าและแผ่นดินจากทุกทิศทุกทาง เสียงของพวกมันเต็มไปด้วยความกระหายเลือด เย่อหยิ่งและดุร้าย หากเป็นคนธรรมดา อาจหวาดกลัวจนตายได้ในทันที

จังหวะเดียวกันนั้น กลิ่นอายที่รุนแรงและเย็นยะเยือกจำนวนมากก็เข้ามาปกคลุมเฉินซีและคนอื่น ๆ เอาไว้

“ฆ่า!”

ท่ามกลางเสียงคำราม ฝูงวานรวารีเพลิงคลั่งก็กระโจนออกมาจากพายุและพุ่งเข้าหาพวกเขา ร่างของพวกมันหากไม่ถูกล้อมรอบด้วยเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำ ก็ปกคลุมด้วยกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก หนึ่งเปลวเพลิงกับหนึ่งสายน้ำที่รวมกันอยู่ในกลุ่มเดียว ได้เผยให้เห็นความสามารถในการควบคุมเต๋ารู้แจ้งที่ทรงพลังทั้งสองชนิด

ครืน!

วานรวารีเพลิงคลั่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า พวกมันมีจำนวนมากกว่าหมื่นตัว ปกคลุมท้องฟ้าและดวงอาทิตย์พร้อมนำความปั่นป่วนมาสู่ฟ้าดินในทันใด พวกมันพุ่งเข้าถึงตัวของเฉินซีและคนอื่น ๆ อย่างรวดเร็ว

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท