บทที่ 454 การต่อสู้เริ่มขึ้น
บทที่ 454 การต่อสู้เริ่มขึ้น
เสียงของหลีจวิ้นนั้นดึงดูดความสนใจของผู้อื่นไม่แพ้กัน เฉินซีแห่งราชวงศ์ซ่งสังหารสองอัจฉริยะผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งราชวงศ์เทียนหลางอย่างนั้นหรือ?
ผู้คนเริ่มเผยท่าทีสนใจ ราชวงศ์ซ่งและราชวงศ์เทียนหลางมีเรื่องบาดหมางกัน ในเมื่ออัจฉริยะผู้เยี่ยมยุทธ์จากราชวงศ์ทั้งสองประจัญหน้ากันที่นี่แล้ว ก็คงจะเกิดการต่อสู้ชี้ชะตาขึ้น
เผยอวี่ขมวดคิ้ว ‘เจ้านี่มันแสบนัก ข้ายังไม่ทันได้ใช้เขาด้วยซ้ำ แต่กลับมาสร้างปัญหามากมายก่ายกอง ถ้าเขาขอความช่วยเหลือจากข้า… ข้าควรช่วยเขาหรือไม่?’
“องค์รัชทายาท พวกเราควรชมอยู่เงียบ ๆ ในฐานะผู้เฝ้าสังเกตการณ์ ท่านก็เห็นแล้วว่าคนของราชวงศ์เทียนหลางมากับฉินเซียว หากพวกเรายืนหยัดเพื่อเฉินซี ก็คงจะเท่ากับการประกาศศึกกับราชวงศ์ฉิน ไม่คุ้มที่จะเสี่ยงเลยพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อเห็นเผยอวี่ขมวดคิ้ว ชุยซิวหงก็คาดเดาความคิดของอีกฝ่ายได้ในทันทีและรีบแนะนำ
“เหอะ! คิดว่าข้าจะกลัวฉินเซียวหรือไรกัน?” เผยอวี่กล่าวด้วยความไม่พอใจ
“พระองค์เข้าใจผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ชุยซิวหงรีบอธิบาย “ข้ากังวลเกี่ยวกับคนจากแผ่นดินไป่เจ๋อต่างหาก เพราะเห็นได้ชัดว่าปี้หลิงอวิ้นนั้นน่าเกรงขามเพียงใด หากท่านกับฉินเซียวสู้กัน นางก็จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์ไปในที่สุด”
เผยอวี่แสดงอาการลังเล ขณะครุ่นคิดอย่างเงียบงัน
…
ในขณะเดียวกัน ฉินเซียวก็ขมวดคิ้วเช่นกันก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “หลีจวิ้น เจ้าเฉินซีนั่นเป็นพวกเผยอวี่แล้ว หากเป็นยามปกติ ข้าคงจะลงมือสังหารด้วยตัวเองอย่างแน่นอน ทว่ายังมีศัตรูที่น่าเกรงขามรออยู่เบื้องหน้า เมื่อใดที่ข้าใส่กำลังเต็มที่เพื่อสู้กับเผยอวี่ เกรงว่าเมื่อนั้นจะมีคนฉวยโอกาสจากการต่อสู้ในครั้งนี้”
แม้ว่าเขาจะมีบุคลิกที่ห้าวหาญ แต่ก็ไม่ใช่คนโง่เขลาแต่อย่างใด เข้าใจว่าการฉีกหน้าเผยอวี่ในสถานการณ์ตอนนี้เป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง
การแสดงออกของหลีจวิ้น เยี่ยนอวี๋เอ๋อร์ และเหล่าชายหนุ่มในกลุ่มเคร่งขรึมขึ้น ตั้งแต่ฝ่าฟันออกมาจากทะเลแห่งวิหคมรณา พวกเขากลั้นโทสะเอาไว้เต็มอก เมื่อเห็นเฉินซีเข้า สายตาของพวกเขาก็ฉายแววเกลียดชัง คำพูดไม่กี่คำจะทำให้พวกเขาล้มเลิกความคิดที่จะแก้แค้นได้อย่างไร?
“องค์ชาย หากข้าลองเชิงเผยอวี่ดูเล่า? หากเขาปกป้องเฉินซี พวกเราคงต้องหาทางอื่น แต่หากเผยอวี่เพิกเฉยต่อเฉินซีละก็ ข้าจะปลิดชีพเขาทันที ด้วยวิธีนี้ จะได้ไม่เกิดเรื่องบาดหมางระหว่างพระองค์กับเผยอวี่แน่นอน” ทันใดนั้น ตี๋ว่านโหลวที่อยู่ใกล้ ๆ พลันเอ่ยขึ้น
ฉินเซียวครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ จากนั้นผงกศีรษะพลางกล่าวว่า “นั่นก็เป็นทางเลือกที่ดีเช่นกัน ฉะนั้นก็แล้วแต่เจ้า”
“ขอบพระคุณพี่ตี๋” สีหน้าของคนในกลุ่มหลีจวิ้นสดชื่นขึ้น พวกเขารู้สึกมีความสุขมาก ในบรรดาอัจฉริยะผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งราชวงศ์เทียนหลาง ตี๋ว่านโหลวคือผู้มีพละกำลังน่าเกรงขาม หาที่เปรียบไม่ได้ หากเขาลงมือ การกำจัดเฉินซีก็คงจะง่ายไม่ต่างกับการพลิกฝ่ามือ
ตี๋ว่านโหลวยิ้มบาง เขาไม่ได้กล่าวอะไรต่อ ก่อนจะเดินไปหาเฉินซี
…
“เฉินซี ดูเหมือนสถานการณ์จะเริ่มย่ำแย่ลงนะ” ในเวลาเดียวกับที่ฉินเซียวและพรรคพวกกำลังถกประเด็นกันอยู่ หวงฝู่ฉิงอิงกล่าวพลางขมวดคิ้ว “เจ้าพวกนี้รวมหัวกับกลุ่มของฉินเซียวจริง ๆ ด้วย ในขณะที่เผยอวี่กำลังจองล้างจองผลาญเจ้า เขาคงจะไม่ได้ปกป้องเจ้ามากนัก เมื่อใดที่การต่อสู้เกิดขึ้น สถานการณ์คงจะน่าเป็นห่วงยิ่ง”
“เหอะ! เหตุใดพระองค์จึงคิดมากเช่นนี้? หากพวกเขากล้าต่อกรกับพวกเรา ก็มาสู้ด้วยกันและเก็บพวกมันให้เรียบเลย” นายน้อยโจวขู่พลางกล่าวด้วยเจตนาฆ่า
ทว่าเฉินซีกลับส่ายหัว “พวกเจ้าทั้งสองอย่าวู่วาม ข้าคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่กล้าสร้างปัญหาต่อหน้าฝูงชนขนาดนี้หรอก”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เขาก็เผยยิ้ม ภายในดวงตาแสดงความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ดูราวกับทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของชายหนุ่มขณะเอ่ยขึ้นว่า “อย่างมากที่สุด พวกเขาจะส่งหนึ่งหรือสองคนออกไปท้าทายข้า ด้วยวิธีนี้ พวกเขาจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ในระดับหนึ่งและหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้อื่นได้รับผลประโยชน์จากการต่อสู้ ฉินเซียวกับเผยอวี่ไม่ได้โง่ ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าใจตรรกะนี้อย่างแน่นอน”
หวงฝู่ฉิงอิงและนายน้อยโจวถึงกับตกตะลึง แต่ยังใคร่สงสัยอยู่เล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ในยามต่อมา สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้พวกเขารู้สึกชื่นชมในความแม่นยำในการวิเคราะห์ของชายหนุ่ม
เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก เพราะตี๋ว่านโหลวท้าทายเฉินซีเพียงลำพัง!
ตี๋ว่านโหลวมีรูปร่างสูงใหญ่ มีกลิ่นอายที่ทรงพลัง และแววตาที่ราวกับสายฟ้าฟาด เขาเดินอย่างสง่างามในขณะที่กลิ่นอายทวีคูณอย่างต่อเนื่อง ท่าทางที่เยือกเย็นและเฉยเมยของคนคนนี้เผยให้เห็นพลังอำนาจอันไร้เทียมทาน
“เฉินซี ข้าว่าเจ้าคงได้ยินที่พี่หลีพูดก่อนหน้านี้แล้ว เลือดต้องชดใช้ด้วยเลือด เจ้ากล้าออกมาสู้กับข้าเพื่อยุติความขัดแย้งนี้หรือไม่?” ตี๋ว่านโหลวพลันหยุดเมื่ออยู่ห่างจากเฉินซีร้อยจั้ง เขายืนอยู่ที่นั่นราวกับภูเขาสูงตระหง่านขณะพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก
เสียงของเขาราวกับเสียงของอาวุธที่กระทบกันและสั่นสะเทือนไปรอบ ๆ ทำให้แม้แต่อากาศก็ยังมีความหนักอึ้งและอาฆาตแฝงอยู่
ภายในประตูขุนเขาสูงตระหง่านมีหมอกปกคลุมเป็นชั้น ๆ ขณะที่สมบัติจำนวนมากส่องแสงระยิบระยับแวววาวบินวนไปมาและมองเห็นได้ราง ๆ ซึ่งนี่เป็นสิ่งของที่เหล่าทวยเทพทิ้งไว้ระหว่างการต่อสู้ในสมัยโบราณ
ในทางกลับกัน อัจฉริยะผู้เยี่ยมยุทธ์จำนวนมากกระจายอยู่รอบนอกประตูขุนเขา ทว่าพวกเขาไม่กล้าผลีผลามเข้าไปในประตูขุนเขาในทันที สายตาของทุกคนในตอนนี้ถูกดึงดูดโดยการกระทำของตี๋ว่านโหลว
หัวใจของเผยอวี่บีบรัดแน่นขึ้นขณะที่เขาพร่ำบอกกับตัวเอง ‘โปรดอย่าขอความช่วยเหลือจากข้า โปรดอย่า…’
ราวกับทวยเทพรู้สึกได้ถึงความจงรักภักดีในหัวใจของเขา เฉินซีไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากเขาจริง ๆ และชายหนุ่มก็ไม่แม้แต่จะถามความคิดเห็นของเผยอวี่ ก่อนจะเดินออกไปและพูดขึ้นอย่างเฉยเมย “ฆ่าสองคนก็ยังฆ่า ฆ่าหมู่ก็ยังฆ่า ในเมื่อเจ้ากำลังมองหาความตาย ข้าจะทำให้ความปรารถนาของเจ้าสัมฤทธิ์ผล”
ในเวลาเดียวกันกับที่เผยอวี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นฉากนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจ และรำคาญใจขึ้นมา ‘ไม่ยอมให้ข้ากล่าวรับรู้ด้วยซ้ำ หรือว่าภายในใจของเจ้านั่น ข้านั้นไร้ค่า?’
หลังจากนั้นเขาก็หัวเราะเยาะตนเอง ‘เกิดอะไรขึ้นกับข้า? เหตุใดเจ้าเฉินซีน้อยจึงทำให้ข้ากังวลได้?’
ในขณะเดียวกัน สีหน้าของทุกคนก็ตื่นเต้นทันทีเมื่อเห็นเฉินซีรับคำท้าและพูดอย่างดุร้าย การต่อสู้ลิขิตชีวิตระหว่างอัจฉริยะผู้เยี่ยมยุทธ์ของสองราชวงศ์อันยิ่งใหญ่กำลังจะเริ่มขึ้น และมันจะต้องยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง
ทุกคนขยับเพื่อให้พื้นที่แก่เฉินซีกับตี๋ว่านโหลวต่อสู้กัน
“เขาทำสำเร็จ! เจ้านี่โอหังจริง ๆ มันกำลังร้องหาความตาย หากปราศจากการปกป้องของเผยอวี่ เขาจะสู้ศิษย์พี่ตี๋ได้อย่างไร?” หลีจวิ้นและพรรคพวกต่างตื่นเต้นสุดหัวใจ ขณะจ้องมองไปยังเฉินซีด้วยสายตาที่ราวกับว่ากำลังมองดูคนตาย
“ช่างเป็นคำพูดที่สูงส่งเสียจริง! นานมากแล้วที่มีคนกล้ากล่าวกับข้าเช่นนี้ ข้าหวังว่าความแข็งแกร่งของเจ้าจะน่าเกรงขามพอ ๆ กับปากของเจ้า มิเช่นนั้น ตัวเจ้าจะกลายเป็นที่น่าหัวเราะเยาะหากถูกข้าปลิดชีพ” ตี๋ว่านโหลวขู่อย่างเดือดดาล ดวงตาของเขาเย็นยะเยือก ซึ่งเผยให้เห็นเจตนาสังหาร
เฉินซียิ้มอย่างไร้อารมณ์โดยมิได้กล่าวสิ่งใด ทว่าเจตนาสังหารกลับพลุ่งพล่านอยู่ในใจเขา
ตู้ม!
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มยังสามารถยิ้มได้เมื่อการต่อสู้กำลังจะเริ่มขึ้นราวกับกำลังดูถูก หัวใจของตี๋ว่านโหลวจึงเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เขาจู่โจมซึ่ง ๆ หน้า แขนขวาเหยียดออกในขณะที่แก่นแท้ควบแน่นบนกำปั้น เป็นแสงศักดิ์สิทธิ์ที่พร่างพราว ทำให้เขาดูเหมือนมังกรดำที่โผล่ออกมาจากมหาสมุทรและพุ่งเข้าหาเฉินซี
ปุ! ปุ! ปุ!
หมัดมีพลังมหาศาล แสงศักดิ์สิทธิ์ดูราวกับสายน้ำขณะที่บดขยี้พื้นที่ในรัศมีร้อยจั้ง มันช่างน่าตกใจอย่างยิ่ง
แคร็ก!
เฉินซียกมือขึ้นอย่างสบาย ๆ ขณะที่อัสนีลุกวาบในมือ วังวนอัสนีถลาออกไปปะทะกับหมัดและแสงศักดิ์สิทธิ์ ทันใดนั้น ดวงแสงพลันปะทุขึ้นกลางอากาศ ฝนแสงโปรยปรายและร่วงโรยลงสู่พื้นดิน ก่อนเกิดเสียงซ่าดังขึ้นในจังหวะที่หลุมอันน่าสะพรึงกลัวปรากฏขึ้นบนพื้นดิน
“เจ้าก็มีฝีมือนี่” ปลายเท้าของตี๋ว่านโหลวแตะลงพื้นอย่างรุนแรง ทำให้ธรณีแตกสลาย รอยแตกสีดำขยายออกไกลถึงหลายสิบจั้ง
ในจังหวะถัดมา เขาก็ทะยานสู่เวหา มือเหยียดออกพลางถลาลมดั่งคุนเผิงที่กางปีก กลิ่นอายทั่วทั้งร่างน่าหวาดผวาดั่งเข็มหมุด ทุกที่ที่เขาทะลุผ่าน เสียงระเบิดปะทุขึ้นดังสนั่นดั่งฟ้าร้องจนชวนขนหัวลุก
หัวใจของผู้คนพลันเต้นแรง กลิ่นอายของตี๋ว่านโหลวนั้นยิ่งใหญ่เกินตัว ดูเหมือนกระแสน้ำจากหุบเขาที่ไหลลงมาจากยอดเขา ทำให้คนอื่นไม่อาจมองตรง ๆ ได้และไม่กล้าต่อกรกับมัน
“เขาแข็งแกร่งเกินรับไหว ข้าไม่เคยคาดฝันว่าราชวงศ์เทียนหลางจะมีคนเช่นนี้อยู่ด้วย!”
“เจ้าเด็กนี่น่าจะเป็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดในราชวงศ์เทียนหลาง ส่วนพรสวรรค์นั้นก็น่าเหลือเชื่อ หาผู้ใดเทียบไม่!”
“ดูเหมือนว่าพวกข้าต้องระวังคนผู้นี้ไว้ในอนาคต”
นอกจากอาการชะงักงัน บรรดาอัจฉริยะผู้เยี่ยมยุทธ์ ณ ที่แห่งนี้ก็รู้สึกหนักใจเพราะนอกจากกลุ่มของตน ผู้คนที่เหลือบนเกาะสมบัติที่ร่วงหล่นล้วนเป็นศัตรูทั้งสิ้น พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากระมัดระวังคนอื่นเข้าไว้
ขณะเดียวกัน ตี๋ว่านโหลวก็แหวกว่ายไปพร้อมกับพายุที่พัดพาก้อนหินดินทรายปลิวว่อน หมอกฟุ้งกระจาย พื้นดินแตกระแหง มันช่างน่าเขย่าขวัญอย่างยิ่ง
ขณะที่ผู้คนตะลึงงันและหัวใจสั่นคลอน นายน้อยโจวกลับส่ายศีรษะพลางยิ้ม เพราะมีเพียงเขาเท่านั้นที่ทราบว่าการบ่มเพาะกายาของเฉินซีนั้นน่าสะพรึงกลัวเพียงใด ในการต่อสู้กับชายหนุ่มนั้น จะใช้สมบัติวิเศษหรือกระบวนยุทธ์ก็ไม่ได้ว่าอะไร ทว่าเหตุใดจึงเข้าจู่โจมซึ่ง ๆ หน้าแบบนี้? เขาเริ่มสงสารตี๋ว่านโหลวขึ้นมาแล้ว
หวงฝู่ฉิงอิงที่อยู่ใกล้เคียงเผยรอยยิ้มเล็กน้อยเช่นกัน แม้กระทั่งสายตาของนางยังแฝงความเวทนาเมื่อมองไปยังตี๋ว่านโหลว
ตู้ม!
แสงศักดิ์สิทธิ์ส่องประกายเมื่อตี๋ว่านโหลวพุ่งลงมาจากท้องนภา แขนของเขาเหวี่ยงออกไปเหมือนค้อนยักษ์เพื่อทุบศีรษะของเฉินซีอย่างดุดัน เขาต้องการยุติการต่อสู้ในครั้งนี้ด้วยชัยชนะที่ขาดลอยและทุบกะโหลกอีกฝ่ายให้แตกด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
ดวงตาของเฉินซีดูล้ำลึก เขายืนอยู่อย่างนั้นโดยไม่ขยับเขยื้อนเมื่อเจอการโจมตีนี้ เพียงแค่ใช้มือฉีกแสงศักดิ์สิทธิ์ที่พร่างพราวและพลังอำนาจแห่งกำปั้นเป็นชิ้น ๆ และหลังจากเสียงระเบิดดังตู้มกังวานไปทั่วทั้งหล้า ชายหนุ่มจับแขนขวาของตี๋ว่านโหลวไว้ ก่อนที่จะปล่อยวังวนอัสนีออกจากร่างกายของตน
“บัดซบ!” ม่านตาของตี๋ว่านโหลวหดลง เพราะทราบแล้วว่าเขาประมาทมาตลอด! ชายหนุ่มไม่เคยคิดว่าพละกำลังของเฉินซีจะแข็งแกร่งกว่าที่คาดไว้ จากนั้นเขาก็เริ่มรวบรวมปราณแท้ทั้งหมดที่มีเพื่อปัดป้องมือของอีกฝ่ายออกไป
ทว่า ในอึดใจต่อมา เขาพลันค้นพบว่า ไม่ว่าปราณแท้ที่เขาใช้จะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่ต่างกับซัดน้ำลงทะเลทราย ซึ่งถูกเศษทรายกลืนกินหมดสิ้น ไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย!
“นี่มันทักษะการบ่มเพาะบ้าอะไรกัน?” การค้นพบนี้ทำให้ตี๋ว่านโหลวสะดุ้งจนใจแทบสั่น เขาละทิ้งทุกสิ่งและตั้งใจที่จะถอนไพ่ตายเพื่อรักษาชีวิตตน
ทว่าเฉินซีจะปล่อยให้ตี๋ว่านโหลวทำสำเร็จได้อย่างไร?
หลังจากชายหนุ่มคว้าแขนขวาของอีกฝ่ายได้แล้ว เขาก็เหวี่ยงอีกฝ่ายขึ้นอย่างรุนแรง ก่อนที่ร่างนั้นจะกระแทกลงกับพื้นเสียงดังตึง
รอยแตกจำนวนมากแผ่กระจายออกไปบนพื้นขณะที่ทั้งร่างกายของตี๋ว่านโหลวกระแทกเข้ากับดินและหิน ร่างสั่นสะท้านในขณะที่เขาไอเป็นเลือดออกมาคำใหญ่ ฝุ่นและควันกระจายออกไปยังบริเวณโดยรอบ
สีหน้าของอัจฉริยะผู้เยี่ยมยุทธ์จากราชวงศ์ต่าง ๆ พลันแข็งทื่อทันทีเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ ความแตกต่างตั้งแต่ต้นจนจบนั้นราวฟ้ากับเหว
ตี๋ว่านโหลวพุ่งลงมาจากเวหาอย่างทรงพลัง และหมัดของเขาก็เหมือนกับแสงศักดิ์สิทธิ์ที่เปล่งประกายอยู่บนท้องฟ้า แต่เฉินซีกลับยื่นมือออกไปจับแขนของตี๋ว่านโหลวแล้วเหวี่ยงอีกฝ่ายลงไปที่พื้นเหมือนโยนลูกไก่ ซึ่งน่าตกใจเกินไปจริง ๆ
เพราะนี่… คือสุดยอดอัจฉริยะผู้เยี่ยมยุทธ์จากราชวงศ์เทียนหลาง!
ทุกคนเริ่มรู้สึกหวั่นใจขึ้นมาแล้ว!!