บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 454 การต่อสู้เริ่มขึ้น

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 454 การต่อสู้เริ่มขึ้น

บทที่ 454 การต่อสู้เริ่มขึ้น

เสียงของหลีจวิ้นนั้นดึงดูดความสนใจของผู้อื่นไม่แพ้กัน เฉินซีแห่งราชวงศ์ซ่งสังหารสองอัจฉริยะผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งราชวงศ์เทียนหลางอย่างนั้นหรือ?

ผู้คนเริ่มเผยท่าทีสนใจ ราชวงศ์ซ่งและราชวงศ์เทียนหลางมีเรื่องบาดหมางกัน ในเมื่ออัจฉริยะผู้เยี่ยมยุทธ์จากราชวงศ์ทั้งสองประจัญหน้ากันที่นี่แล้ว ก็คงจะเกิดการต่อสู้ชี้ชะตาขึ้น

เผยอวี่ขมวดคิ้ว ‘เจ้านี่มันแสบนัก ข้ายังไม่ทันได้ใช้เขาด้วยซ้ำ แต่กลับมาสร้างปัญหามากมายก่ายกอง ถ้าเขาขอความช่วยเหลือจากข้า… ข้าควรช่วยเขาหรือไม่?’

“องค์รัชทายาท พวกเราควรชมอยู่เงียบ ๆ ในฐานะผู้เฝ้าสังเกตการณ์ ท่านก็เห็นแล้วว่าคนของราชวงศ์เทียนหลางมากับฉินเซียว หากพวกเรายืนหยัดเพื่อเฉินซี ก็คงจะเท่ากับการประกาศศึกกับราชวงศ์ฉิน ไม่คุ้มที่จะเสี่ยงเลยพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อเห็นเผยอวี่ขมวดคิ้ว ชุยซิวหงก็คาดเดาความคิดของอีกฝ่ายได้ในทันทีและรีบแนะนำ

“เหอะ! คิดว่าข้าจะกลัวฉินเซียวหรือไรกัน?” เผยอวี่กล่าวด้วยความไม่พอใจ

“พระองค์เข้าใจผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ชุยซิวหงรีบอธิบาย “ข้ากังวลเกี่ยวกับคนจากแผ่นดินไป่เจ๋อต่างหาก เพราะเห็นได้ชัดว่าปี้หลิงอวิ้นนั้นน่าเกรงขามเพียงใด หากท่านกับฉินเซียวสู้กัน นางก็จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์ไปในที่สุด”

เผยอวี่แสดงอาการลังเล ขณะครุ่นคิดอย่างเงียบงัน

ในขณะเดียวกัน ฉินเซียวก็ขมวดคิ้วเช่นกันก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “หลีจวิ้น เจ้าเฉินซีนั่นเป็นพวกเผยอวี่แล้ว หากเป็นยามปกติ ข้าคงจะลงมือสังหารด้วยตัวเองอย่างแน่นอน ทว่ายังมีศัตรูที่น่าเกรงขามรออยู่เบื้องหน้า เมื่อใดที่ข้าใส่กำลังเต็มที่เพื่อสู้กับเผยอวี่ เกรงว่าเมื่อนั้นจะมีคนฉวยโอกาสจากการต่อสู้ในครั้งนี้”

แม้ว่าเขาจะมีบุคลิกที่ห้าวหาญ แต่ก็ไม่ใช่คนโง่เขลาแต่อย่างใด เข้าใจว่าการฉีกหน้าเผยอวี่ในสถานการณ์ตอนนี้เป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง

การแสดงออกของหลีจวิ้น เยี่ยนอวี๋เอ๋อร์ และเหล่าชายหนุ่มในกลุ่มเคร่งขรึมขึ้น ตั้งแต่ฝ่าฟันออกมาจากทะเลแห่งวิหคมรณา พวกเขากลั้นโทสะเอาไว้เต็มอก เมื่อเห็นเฉินซีเข้า สายตาของพวกเขาก็ฉายแววเกลียดชัง คำพูดไม่กี่คำจะทำให้พวกเขาล้มเลิกความคิดที่จะแก้แค้นได้อย่างไร?

“องค์ชาย หากข้าลองเชิงเผยอวี่ดูเล่า? หากเขาปกป้องเฉินซี พวกเราคงต้องหาทางอื่น แต่หากเผยอวี่เพิกเฉยต่อเฉินซีละก็ ข้าจะปลิดชีพเขาทันที ด้วยวิธีนี้ จะได้ไม่เกิดเรื่องบาดหมางระหว่างพระองค์กับเผยอวี่แน่นอน” ทันใดนั้น ตี๋ว่านโหลวที่อยู่ใกล้ ๆ พลันเอ่ยขึ้น

ฉินเซียวครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ จากนั้นผงกศีรษะพลางกล่าวว่า “นั่นก็เป็นทางเลือกที่ดีเช่นกัน ฉะนั้นก็แล้วแต่เจ้า”

“ขอบพระคุณพี่ตี๋” สีหน้าของคนในกลุ่มหลีจวิ้นสดชื่นขึ้น พวกเขารู้สึกมีความสุขมาก ในบรรดาอัจฉริยะผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งราชวงศ์เทียนหลาง ตี๋ว่านโหลวคือผู้มีพละกำลังน่าเกรงขาม หาที่เปรียบไม่ได้ หากเขาลงมือ การกำจัดเฉินซีก็คงจะง่ายไม่ต่างกับการพลิกฝ่ามือ

ตี๋ว่านโหลวยิ้มบาง เขาไม่ได้กล่าวอะไรต่อ ก่อนจะเดินไปหาเฉินซี

“เฉินซี ดูเหมือนสถานการณ์จะเริ่มย่ำแย่ลงนะ” ในเวลาเดียวกับที่ฉินเซียวและพรรคพวกกำลังถกประเด็นกันอยู่ หวงฝู่ฉิงอิงกล่าวพลางขมวดคิ้ว “เจ้าพวกนี้รวมหัวกับกลุ่มของฉินเซียวจริง ๆ ด้วย ในขณะที่เผยอวี่กำลังจองล้างจองผลาญเจ้า เขาคงจะไม่ได้ปกป้องเจ้ามากนัก เมื่อใดที่การต่อสู้เกิดขึ้น สถานการณ์คงจะน่าเป็นห่วงยิ่ง”

“เหอะ! เหตุใดพระองค์จึงคิดมากเช่นนี้? หากพวกเขากล้าต่อกรกับพวกเรา ก็มาสู้ด้วยกันและเก็บพวกมันให้เรียบเลย” นายน้อยโจวขู่พลางกล่าวด้วยเจตนาฆ่า

ทว่าเฉินซีกลับส่ายหัว “พวกเจ้าทั้งสองอย่าวู่วาม ข้าคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่กล้าสร้างปัญหาต่อหน้าฝูงชนขนาดนี้หรอก”

เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เขาก็เผยยิ้ม ภายในดวงตาแสดงความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ดูราวกับทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของชายหนุ่มขณะเอ่ยขึ้นว่า “อย่างมากที่สุด พวกเขาจะส่งหนึ่งหรือสองคนออกไปท้าทายข้า ด้วยวิธีนี้ พวกเขาจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ในระดับหนึ่งและหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้อื่นได้รับผลประโยชน์จากการต่อสู้ ฉินเซียวกับเผยอวี่ไม่ได้โง่ ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าใจตรรกะนี้อย่างแน่นอน”

หวงฝู่ฉิงอิงและนายน้อยโจวถึงกับตกตะลึง แต่ยังใคร่สงสัยอยู่เล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม ในยามต่อมา สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้พวกเขารู้สึกชื่นชมในความแม่นยำในการวิเคราะห์ของชายหนุ่ม

เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก เพราะตี๋ว่านโหลวท้าทายเฉินซีเพียงลำพัง!

ตี๋ว่านโหลวมีรูปร่างสูงใหญ่ มีกลิ่นอายที่ทรงพลัง และแววตาที่ราวกับสายฟ้าฟาด เขาเดินอย่างสง่างามในขณะที่กลิ่นอายทวีคูณอย่างต่อเนื่อง ท่าทางที่เยือกเย็นและเฉยเมยของคนคนนี้เผยให้เห็นพลังอำนาจอันไร้เทียมทาน

“เฉินซี ข้าว่าเจ้าคงได้ยินที่พี่หลีพูดก่อนหน้านี้แล้ว เลือดต้องชดใช้ด้วยเลือด เจ้ากล้าออกมาสู้กับข้าเพื่อยุติความขัดแย้งนี้หรือไม่?” ตี๋ว่านโหลวพลันหยุดเมื่ออยู่ห่างจากเฉินซีร้อยจั้ง เขายืนอยู่ที่นั่นราวกับภูเขาสูงตระหง่านขณะพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก

เสียงของเขาราวกับเสียงของอาวุธที่กระทบกันและสั่นสะเทือนไปรอบ ๆ ทำให้แม้แต่อากาศก็ยังมีความหนักอึ้งและอาฆาตแฝงอยู่

ภายในประตูขุนเขาสูงตระหง่านมีหมอกปกคลุมเป็นชั้น ๆ ขณะที่สมบัติจำนวนมากส่องแสงระยิบระยับแวววาวบินวนไปมาและมองเห็นได้ราง ๆ ซึ่งนี่เป็นสิ่งของที่เหล่าทวยเทพทิ้งไว้ระหว่างการต่อสู้ในสมัยโบราณ

ในทางกลับกัน อัจฉริยะผู้เยี่ยมยุทธ์จำนวนมากกระจายอยู่รอบนอกประตูขุนเขา ทว่าพวกเขาไม่กล้าผลีผลามเข้าไปในประตูขุนเขาในทันที สายตาของทุกคนในตอนนี้ถูกดึงดูดโดยการกระทำของตี๋ว่านโหลว

หัวใจของเผยอวี่บีบรัดแน่นขึ้นขณะที่เขาพร่ำบอกกับตัวเอง ‘โปรดอย่าขอความช่วยเหลือจากข้า โปรดอย่า…’

ราวกับทวยเทพรู้สึกได้ถึงความจงรักภักดีในหัวใจของเขา เฉินซีไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากเขาจริง ๆ และชายหนุ่มก็ไม่แม้แต่จะถามความคิดเห็นของเผยอวี่ ก่อนจะเดินออกไปและพูดขึ้นอย่างเฉยเมย “ฆ่าสองคนก็ยังฆ่า ฆ่าหมู่ก็ยังฆ่า ในเมื่อเจ้ากำลังมองหาความตาย ข้าจะทำให้ความปรารถนาของเจ้าสัมฤทธิ์ผล”

ในเวลาเดียวกันกับที่เผยอวี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นฉากนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจ และรำคาญใจขึ้นมา ‘ไม่ยอมให้ข้ากล่าวรับรู้ด้วยซ้ำ หรือว่าภายในใจของเจ้านั่น ข้านั้นไร้ค่า?’

หลังจากนั้นเขาก็หัวเราะเยาะตนเอง ‘เกิดอะไรขึ้นกับข้า? เหตุใดเจ้าเฉินซีน้อยจึงทำให้ข้ากังวลได้?’

ในขณะเดียวกัน สีหน้าของทุกคนก็ตื่นเต้นทันทีเมื่อเห็นเฉินซีรับคำท้าและพูดอย่างดุร้าย การต่อสู้ลิขิตชีวิตระหว่างอัจฉริยะผู้เยี่ยมยุทธ์ของสองราชวงศ์อันยิ่งใหญ่กำลังจะเริ่มขึ้น และมันจะต้องยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง

ทุกคนขยับเพื่อให้พื้นที่แก่เฉินซีกับตี๋ว่านโหลวต่อสู้กัน

“เขาทำสำเร็จ! เจ้านี่โอหังจริง ๆ มันกำลังร้องหาความตาย หากปราศจากการปกป้องของเผยอวี่ เขาจะสู้ศิษย์พี่ตี๋ได้อย่างไร?” หลีจวิ้นและพรรคพวกต่างตื่นเต้นสุดหัวใจ ขณะจ้องมองไปยังเฉินซีด้วยสายตาที่ราวกับว่ากำลังมองดูคนตาย

“ช่างเป็นคำพูดที่สูงส่งเสียจริง! นานมากแล้วที่มีคนกล้ากล่าวกับข้าเช่นนี้ ข้าหวังว่าความแข็งแกร่งของเจ้าจะน่าเกรงขามพอ ๆ กับปากของเจ้า มิเช่นนั้น ตัวเจ้าจะกลายเป็นที่น่าหัวเราะเยาะหากถูกข้าปลิดชีพ” ตี๋ว่านโหลวขู่อย่างเดือดดาล ดวงตาของเขาเย็นยะเยือก ซึ่งเผยให้เห็นเจตนาสังหาร

เฉินซียิ้มอย่างไร้อารมณ์โดยมิได้กล่าวสิ่งใด ทว่าเจตนาสังหารกลับพลุ่งพล่านอยู่ในใจเขา

ตู้ม!

เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มยังสามารถยิ้มได้เมื่อการต่อสู้กำลังจะเริ่มขึ้นราวกับกำลังดูถูก หัวใจของตี๋ว่านโหลวจึงเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เขาจู่โจมซึ่ง ๆ หน้า แขนขวาเหยียดออกในขณะที่แก่นแท้ควบแน่นบนกำปั้น เป็นแสงศักดิ์สิทธิ์ที่พร่างพราว ทำให้เขาดูเหมือนมังกรดำที่โผล่ออกมาจากมหาสมุทรและพุ่งเข้าหาเฉินซี

ปุ! ปุ! ปุ!

หมัดมีพลังมหาศาล แสงศักดิ์สิทธิ์ดูราวกับสายน้ำขณะที่บดขยี้พื้นที่ในรัศมีร้อยจั้ง มันช่างน่าตกใจอย่างยิ่ง

แคร็ก!

เฉินซียกมือขึ้นอย่างสบาย ๆ ขณะที่อัสนีลุกวาบในมือ วังวนอัสนีถลาออกไปปะทะกับหมัดและแสงศักดิ์สิทธิ์ ทันใดนั้น ดวงแสงพลันปะทุขึ้นกลางอากาศ ฝนแสงโปรยปรายและร่วงโรยลงสู่พื้นดิน ก่อนเกิดเสียงซ่าดังขึ้นในจังหวะที่หลุมอันน่าสะพรึงกลัวปรากฏขึ้นบนพื้นดิน

“เจ้าก็มีฝีมือนี่” ปลายเท้าของตี๋ว่านโหลวแตะลงพื้นอย่างรุนแรง ทำให้ธรณีแตกสลาย รอยแตกสีดำขยายออกไกลถึงหลายสิบจั้ง

ในจังหวะถัดมา เขาก็ทะยานสู่เวหา มือเหยียดออกพลางถลาลมดั่งคุนเผิงที่กางปีก กลิ่นอายทั่วทั้งร่างน่าหวาดผวาดั่งเข็มหมุด ทุกที่ที่เขาทะลุผ่าน เสียงระเบิดปะทุขึ้นดังสนั่นดั่งฟ้าร้องจนชวนขนหัวลุก

หัวใจของผู้คนพลันเต้นแรง กลิ่นอายของตี๋ว่านโหลวนั้นยิ่งใหญ่เกินตัว ดูเหมือนกระแสน้ำจากหุบเขาที่ไหลลงมาจากยอดเขา ทำให้คนอื่นไม่อาจมองตรง ๆ ได้และไม่กล้าต่อกรกับมัน

“เขาแข็งแกร่งเกินรับไหว ข้าไม่เคยคาดฝันว่าราชวงศ์เทียนหลางจะมีคนเช่นนี้อยู่ด้วย!”

“เจ้าเด็กนี่น่าจะเป็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดในราชวงศ์เทียนหลาง ส่วนพรสวรรค์นั้นก็น่าเหลือเชื่อ หาผู้ใดเทียบไม่!”

“ดูเหมือนว่าพวกข้าต้องระวังคนผู้นี้ไว้ในอนาคต”

นอกจากอาการชะงักงัน บรรดาอัจฉริยะผู้เยี่ยมยุทธ์ ณ ที่แห่งนี้ก็รู้สึกหนักใจเพราะนอกจากกลุ่มของตน ผู้คนที่เหลือบนเกาะสมบัติที่ร่วงหล่นล้วนเป็นศัตรูทั้งสิ้น พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากระมัดระวังคนอื่นเข้าไว้

ขณะเดียวกัน ตี๋ว่านโหลวก็แหวกว่ายไปพร้อมกับพายุที่พัดพาก้อนหินดินทรายปลิวว่อน หมอกฟุ้งกระจาย พื้นดินแตกระแหง มันช่างน่าเขย่าขวัญอย่างยิ่ง

ขณะที่ผู้คนตะลึงงันและหัวใจสั่นคลอน นายน้อยโจวกลับส่ายศีรษะพลางยิ้ม เพราะมีเพียงเขาเท่านั้นที่ทราบว่าการบ่มเพาะกายาของเฉินซีนั้นน่าสะพรึงกลัวเพียงใด ในการต่อสู้กับชายหนุ่มนั้น จะใช้สมบัติวิเศษหรือกระบวนยุทธ์ก็ไม่ได้ว่าอะไร ทว่าเหตุใดจึงเข้าจู่โจมซึ่ง ๆ หน้าแบบนี้? เขาเริ่มสงสารตี๋ว่านโหลวขึ้นมาแล้ว

หวงฝู่ฉิงอิงที่อยู่ใกล้เคียงเผยรอยยิ้มเล็กน้อยเช่นกัน แม้กระทั่งสายตาของนางยังแฝงความเวทนาเมื่อมองไปยังตี๋ว่านโหลว

ตู้ม!

แสงศักดิ์สิทธิ์ส่องประกายเมื่อตี๋ว่านโหลวพุ่งลงมาจากท้องนภา แขนของเขาเหวี่ยงออกไปเหมือนค้อนยักษ์เพื่อทุบศีรษะของเฉินซีอย่างดุดัน เขาต้องการยุติการต่อสู้ในครั้งนี้ด้วยชัยชนะที่ขาดลอยและทุบกะโหลกอีกฝ่ายให้แตกด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว

ดวงตาของเฉินซีดูล้ำลึก เขายืนอยู่อย่างนั้นโดยไม่ขยับเขยื้อนเมื่อเจอการโจมตีนี้ เพียงแค่ใช้มือฉีกแสงศักดิ์สิทธิ์ที่พร่างพราวและพลังอำนาจแห่งกำปั้นเป็นชิ้น ๆ และหลังจากเสียงระเบิดดังตู้มกังวานไปทั่วทั้งหล้า ชายหนุ่มจับแขนขวาของตี๋ว่านโหลวไว้ ก่อนที่จะปล่อยวังวนอัสนีออกจากร่างกายของตน

“บัดซบ!” ม่านตาของตี๋ว่านโหลวหดลง เพราะทราบแล้วว่าเขาประมาทมาตลอด! ชายหนุ่มไม่เคยคิดว่าพละกำลังของเฉินซีจะแข็งแกร่งกว่าที่คาดไว้ จากนั้นเขาก็เริ่มรวบรวมปราณแท้ทั้งหมดที่มีเพื่อปัดป้องมือของอีกฝ่ายออกไป

ทว่า ในอึดใจต่อมา เขาพลันค้นพบว่า ไม่ว่าปราณแท้ที่เขาใช้จะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่ต่างกับซัดน้ำลงทะเลทราย ซึ่งถูกเศษทรายกลืนกินหมดสิ้น ไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย!

“นี่มันทักษะการบ่มเพาะบ้าอะไรกัน?” การค้นพบนี้ทำให้ตี๋ว่านโหลวสะดุ้งจนใจแทบสั่น เขาละทิ้งทุกสิ่งและตั้งใจที่จะถอนไพ่ตายเพื่อรักษาชีวิตตน

ทว่าเฉินซีจะปล่อยให้ตี๋ว่านโหลวทำสำเร็จได้อย่างไร?

หลังจากชายหนุ่มคว้าแขนขวาของอีกฝ่ายได้แล้ว เขาก็เหวี่ยงอีกฝ่ายขึ้นอย่างรุนแรง ก่อนที่ร่างนั้นจะกระแทกลงกับพื้นเสียงดังตึง

รอยแตกจำนวนมากแผ่กระจายออกไปบนพื้นขณะที่ทั้งร่างกายของตี๋ว่านโหลวกระแทกเข้ากับดินและหิน ร่างสั่นสะท้านในขณะที่เขาไอเป็นเลือดออกมาคำใหญ่ ฝุ่นและควันกระจายออกไปยังบริเวณโดยรอบ

สีหน้าของอัจฉริยะผู้เยี่ยมยุทธ์จากราชวงศ์ต่าง ๆ พลันแข็งทื่อทันทีเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ ความแตกต่างตั้งแต่ต้นจนจบนั้นราวฟ้ากับเหว

ตี๋ว่านโหลวพุ่งลงมาจากเวหาอย่างทรงพลัง และหมัดของเขาก็เหมือนกับแสงศักดิ์สิทธิ์ที่เปล่งประกายอยู่บนท้องฟ้า แต่เฉินซีกลับยื่นมือออกไปจับแขนของตี๋ว่านโหลวแล้วเหวี่ยงอีกฝ่ายลงไปที่พื้นเหมือนโยนลูกไก่ ซึ่งน่าตกใจเกินไปจริง ๆ

เพราะนี่… คือสุดยอดอัจฉริยะผู้เยี่ยมยุทธ์จากราชวงศ์เทียนหลาง!

ทุกคนเริ่มรู้สึกหวั่นใจขึ้นมาแล้ว!!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท