บทที่ 459 ปะทะเจ้าคลั่งกระบี่น้อย
บทที่ 459 ปะทะเจ้าคลั่งกระบี่น้อย
กลุ่มสามคนของไท่ชูฮวาหรงลอยอยู่กลางอากาศบนหุบเขา ปราณแท้พลุ่งพล่านรอบกาย เคล็ดวิชาหลากหลายถูกซัดออกมา ลำแสงหลายสายส่องประกายไปทั่วทั้งหุบเขา
ด้วยความดุดันและการระเบิดพลังที่ไม่เลือกหน้าเช่นนี้ หินรอบ ๆ หุบเขาพากันแตกเป็นเสี่ยง ๆ เศษฝุ่นคลุ้งกระจายไปทั่ว ควันโขมงลอยออกมา
เฉินซีหลบหลีกการโจมตีทั้งหลายอย่างต่อเนื่อง สายตาของชายหนุ่มเผยแววเย็นชาสุดขีด เขาพยายามอย่างมากในการปราบเครื่องประดับหยกชิ้นนี้ แต่ไม่คิดเลยว่ากลุ่มของไท่ชูฮวาหรงจะรุดเข้ามาทำลายความพยายามทั้งหมดเช่นนี้
เครื่องประดับหยกนี้ไม่ธรรมดา มันมีสติปัญญาอันน่าตกใจ ขณะลอยไปมา ทั้งยังโอบล้อมด้วยปราณมงคลและเปล่งแสงสว่างจ้า เขาใช้แรงทั้งหมดแล้ว ทว่ากลับไม่อาจเข้าใจมันได้
สุดท้ายก็ทำได้เพียงใช้กำลังเข้าสู้ เขาใช้พลังบ่มเพาะทั้งหมดเพื่อปล่อยกระแสพลังวนหลายชั้นออกมา ขณะพยายามจับมันไว้ก่อนจะสยบลงได้ เขาเพิ่งได้ผลมาเพียงนิดเมื่อกลุ่มของไท่ชูฮวาหรงพุ่งเข้าใส่ ทำให้สมบัติวิเศษนี่ตกใจ ส่งผลให้แผนการพังไม่เหลือชิ้นดี
ไท่ชูฮวาหรงยืนอยู่กลางอากาศ แม้จะสวมชุดหยาบ ๆ แต่ก็มีกลิ่นอายเขย่าขวัญ นัยน์ตาราวกับมีกระบี่นับพันปรากฏอยู่ ปลดปล่อยแสงเย็นยะเยือกออกมา
“เฉินซี แม้เจ้าจะบ่มเพาะเคล็ดกระบี่หมื่นบรรจบจนสำเร็จ แต่ก็ยังห่างชั้นจากข้าเยอะ ทิ้งสมบัตินั่นแล้วไปเสีย ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า” เหล่านี้คือคำที่ไท่ชูฮวาหรงพูดกับเฉินซีเมื่อพบกันครั้งแรก น้ำเสียงเขานิ่งสงบหนักแน่น ทว่าเผยความมั่นใจออกมา
เฉินซีเคยเห็นผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะมามาก แต่ไม่มีใครเหมือนไท่ชูฮวาหรง
ในขณะที่ไท่ชูฮวาหรงยืนอยู่ เขาเหมือนจะแผ่ความรู้สึกกล้าท้าทายทุกสิ่ง ไร้ความยับยั้งใดราวกับสามารถทำได้ทุกอย่างโดยไร้ขอบเขต ดูเหมือนเขาเชื่อมั่นมากว่าสามารถเอาชนะฟ้า ดิน และใต้หล้าได้
เฉินซีรู้สึกรังเกียจอีกฝ่ายเล็กน้อย
“พูดกับข้าหรือ? เห็นคนเรียกเจ้าว่าคลั่งกระบี่น้อย ข้าว่าเรียกเจ้าโง่น้อยดีกว่า!” แววตาเฉินซีเยียบเย็นถึงขีดสุด ในใจเกิดจิตสังหารขึ้นมา การถูกไล่ล่า ถูกซุ่มโจมตี ถูกลอบสังหารอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ทำให้ความโกรธเกรี้ยวเต็มท้องเขามานานแล้ว เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เพียงขัดขวางแผน ทว่ายังกล้าหยิ่งผยอง ความโกรธในใจจึงยิ่งพลุ่งพล่าน
“ไม่มีใครกล้าเรียกข้าว่าไอ้โง่ทั้งนั้น! รนหาที่ตายนัก!” น้ำเสียงของไท่ชูฮวาหรงดูเรียบเฉยขณะก้าวเท้าเข้ามา
ฟึ่บ!
ก่อนหน้านี้ร่างเขาอยู่บนฟ้าที่มีระยะความสูงหกสิบลี้ ทว่าชั่วพริบตาต่อมาก็เข้าประชิดร่างของเฉินซี แล้วเสือกกระบี่ตรงเข้าตำแหน่งหัวใจ
การโจมตีครั้งนี้เป็นดั่งอสรพิษ ซึ่งเต็มไปด้วยความเฉียบคม เสมือนดวงอาทิตย์ขึ้น แค่กลิ่นอายของมันก็อาจหาญสั่งการฟ้า เคลื่อนตะวันและจันทราได้
“กระบี่คุมวิญญาณ!” แววตาของพรรคพวกไท่ชูฮวาหรงพลันส่องประกาย เพราะจำวิชากระบี่ที่ชายหนุ่มใช้ได้
ไท่ชูฮวาหรงทำความเข้าใจวิชากระบี่นี้จากฟ้า ดิน และธรรมชาติ กระบวนท่าผสานกับฟ้าดิน สั่งการทุกสรรพสิ่งได้ มันเป็นเหมือนพายุแกร่งยามกวาดตัวออกไปอย่างรุนแรง ยามอ่อนโยน ใช้นิ้วสัมผัสก็ยังไม่เป็นอันตราย หยินหยางถูกหลอมรวมเข้าด้วยกัน ทำให้มันมีทั้งความนุ่มนวลและความดุดัน มีเต๋ารู้แจ้งอยู่มากมาย และเป็นเพราะวิชากระบี่นี้เองที่ทำให้ไท่ชูฮวาหรงได้ฉายาว่าคลั่งกระบี่น้อยแห่งราชวงศ์เสวี่ยหง
ครืน!
เฉินซียกยันต์ศัสตราขึ้นกวาดไปตามแนวนอน ออกกระบวนท่าทั้งแปดของเคล็ดกระบี่หมื่นบรรจบเพื่อรับการโจมตีของไท่ชูฮวาหรงตรง ๆ กระบี่ทั้งสองเล่มปะทะกันกลางอากาศ ในชั่วพริบตาก็ปะทะกันไปแล้วกว่าพันครั้ง
ฟิ้ว!
ร่างทั้งสองที่เหมือนสายฟ้าฟาดพลันแยกออกจากกัน
ผมเผ้าของไท่ชูฮวาหรงพลิ้วไปมา กระบี่ชี้ขึ้นฟ้าขณะที่ร่างอยู่กลางอากาศ เสมือนราชันหนึ่งเดียวแห่งใต้หล้า เป็นกระบี่ที่สั่งได้ทุกสรรพสิ่ง
อีกด้านหนึ่ง อาภรณ์ของเฉินซีพลิ้วไสว เขามียันต์ศัสตราผสานสายฟ้า พร้อมกับวงแสงจำนวนนับไม่ถ้วนสั่นสะเทือนรอบพื้นที่ ตอนนี้เขาดูเหมือนราชันผู้คุมสายฟ้ายิ่ง
“ดี ดีมาก เฉินซี เจ้าต้านเจตจำนงกระบี่ของข้าได้ นี่ล่ะทำให้ข้าตื่นเต้นได้” ไท่ชูฮวาหรงมีแววตาเร่าร้อน สมกับฉายาคลั่งกระบี่น้อย กลิ่นอายจากร่างยิ่งหนาแน่นขึ้น “ก่อนหน้านี้ข้าใช้พละกำลังเพียงครึ่งเดียว การที่เจ้าต้านมันได้ก็หมายความว่าการบ่มเพาะเต๋าแห่งกระบี่ของเจ้าไม่เลวเลย
“ก็เห็นได้ชัด” ทันใดนั้นเฉินซีก็เก็บยันต์ศัสตราไป ขณะเอ่ยเสียงดูหมิ่นออกมา “ก่อนหน้านี้ข้ายังไม่ทันใช้กำลังถึงครึ่งหนึ่งเลย พูดกันตามตรง เจ้าน่าผิดหวังมาก คลั่งกระบี่น้อยหรือ? เจ้าไม่มีคุณสมบัติให้ข้าเอากระบี่ออกมาด้วยซ้ำ!”
“ข้าไม่มีคุณสมบัติอย่างนั้นหรือ?” คำของเฉินซีทำเอาไท่ชูฮวาหรงโกรธขึ้งขึ้นมา ในฐานะคลั่งกระบี่น้อย วิชากระบี่ของเขานั้นยอดเยี่ยมกว่าใครในรุ่นเยาว์ของราชวงศ์เสวี่ยหง ทว่าเขาเพิ่งได้พบกับคนที่กล้าพูดเช่นนี้ นับเป็นคำสบประมาทเต๋าแห่งกระบี่ที่เขาใฝ่หามาโดยตลอด!
“ข้าไว้ชีวิตเจ้าแล้ว เจ้ายังกล้ายั่วโมโหข้าอีกหรือ? ข้าจะเอาเลือดและวิญญาณของเจ้ามาชดเชยความผิดของเจ้าในวันนี้เสีย!” นัยน์ตาของเขาเย็นเฉียบสุดขีด จิตสังหารพวยพุ่ง
ตู้ม!
แสงกระบี่ซัดออกมา เกิดเป็นโลกใบหนึ่งที่สาดเข้าใส่ศัตรู กระบี่ครานี้ไม่เพียงเฉียบคม แต่ยังทรงพลังมาก เสมือนรวมฟ้าดินไว้ภายในท่ากระบี่ โดยหมายจะใช้มันบดขยี้อีกฝ่าย มันแผ่แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวออกมา ราวกับกำลังท้าฟ้าดินก็มิปาน
ฟิ้ว!
เฉินซีใช้ปีกนภาดารกะและปล่อยหมัดออกไปราวกับห่าฝน ทุกหมัดมีวงพายุซัดออกมา เกิดภาพราวกับสายฟ้าฟาดคำรามลั่น สะเทือน และซัดเข้าใส่ มันทำลายท่ากระบี่อีกฝ่ายจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ
“เจ้าคิดใช้ฟ้าดินเป็นอาจารย์หรือ? ไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่อะไรหรอก เช่นนั้นก็รับหมัดข้าไปด้วยแล้วกัน!” เฉินซีโต้กลับด้วยหมัดที่พุ่งเข้าใส่หน้าไท่ชูฮวาหรง ซึ่งราวกับสายฟ้าฟาดลงจากสวรรค์ ขณะที่รอบกายคือกระแสพลังผันผวน
“ฮึ่ม! กระบี่ข้าคือฟ้าดิน ร่างข้าคือรากฐานแห่งสวรรค์และโลก! เจ้าจะเข้าใจความลึกซึ้งเช่นนี้ได้หรือ? ใต้หล้าคือกระบี่แห่งข้าแลจงกลายเป็นกรง เจ้าตายเสียเถอะ!” แม้ว่าปากจะพูดอยู่ แต่ไท่ชูฮวาหรงก็ไม่ได้หยุดมือแม้แต่น้อย กระบี่ในมือบินไปรอบกายเขาในขณะที่ทะลวงอากาศไปด้วย ทุกครั้งที่แทงออกมา ตาข่ายกระบี่ก็จะปรากฏขึ้นปกคลุมทั่วท้องฟ้าจนหนาแน่น ก่อนจะห่อหุ้มและขัดขวางการเคลื่อนไหวของเฉินซี
วิชากระบี่ของเขาสงบนิ่งและไม่เร่งรีบ สีหน้าเหมือนกำลังเดินเล่นอยู่ในลานบ้านขณะชมทิวทัศน์ไปด้วย แต่การเคลื่อนไหวของกระบี่กลับรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ มันเปลี่ยนเป็นกรงที่สามารถกักขังและสังหารได้ การโจมตีทุกครั้งที่ซัดออกมาจะเล็งไปที่หัวใจของเฉินซีโดยเฉพาะ
ทุกท่ากระบี่สามารถกักเวลา ขังแสงและเงา ห่อหุ้มความว่างเปล่าเอาไว้ได้
กระบวนท่านี้เป็นหนึ่งในกระบวนท่าสังหารของไท่ชูฮวาหรง
“ผู้บ่มเพาะเช่นเราแสวงหาความสามารถในการออกไปจากภพที่สาม ก้าวข้ามห้าธาตุ พเนจรไปทั่วใต้หล้า และได้รับอิสรภาพที่ยิ่งใหญ่กันทั้งสิ้น เช่นนี้แล้ว กรงเล็ก ๆ เช่นนี้จะกักขังไว้ได้อย่างไร?” เฉินซีใช้ปีกนภาดารกะระดับสูงสุด ดารานับไม่ถ้วนพลันโคจร พาเขาหลบหลีกแสงและตาข่ายกระบี่มาได้ จนพวกมันไม่อาจทำร้ายเขาได้ เพราะร่างของเขาราวกับกลายเป็นเงาไร้ตัวตนที่ไม่อาจมีสิ่งใดมาแปดเปื้อนได้
ตู้ม!
ในเวลาเดียวกันนั้น ร่างของเฉินซีก็สั่นสะเทือน เขาใช้พลังอิทธิฤทธิ์ทั้งสามออกมาอย่างต่อเนื่อง นั่นคือร่างแปลงสวรรค์ อวตารเทพ และเนตรเทวะแห่งความจริง เปลี่ยนให้เขากลายเป็นยักษ์สามเศียรที่มีความสูงเกือบยี่สิบจั้ง มีหกมือ และมีดวงตาตั้งเป็นแนวตรงอยู่ระหว่างคิ้ว ตะวันจันทราลอยเด่น มีโลกอยู่ภายในนัยน์ตาเหล่านั้น ผสานความจริงเบื้องหลังสรรพสิ่งในจักรวาลเอาไว้
วูบ!
เนตรเทวะแห่งความจริงกวาดมองไปรอบ ๆ ทำเอาพื้นที่โดยรอบหม่นแสงลง บรรยากาศสั่นสะเทือน เขามองเห็นการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ในท่ากระบี่ของไท่ชูฮวาหรงทันที
ตอนนี้เฉินซีใช้พลังอิทธิฤทธิ์ทั้งหมดที่มี พร้อมกับใช้ก่ออัสนีผสานดาราไปด้วย แขนทั้งหกของเขาซ้อนทับกันเป็นคู่ ๆ ทำให้ดูเหมือนจะโอบกอดใต้หล้าไว้ ควบแน่นเป็นกระแสพายุคลั่งที่สาดแสงดั่งดวงตะวันและหนาแน่นขึ้นมา เมื่อมองจากไกล ๆ ก็เหมือนหลุมดำขนาดมหึมาที่กรีดอากาศออกมา
พลังของมันราวกับสามารถกลืนสวรรค์และโลก กวาดล้างทั้งใต้หล้าได้!
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ตาข่ายกระบี่ชั้นแล้วชั้นเล่าถูกทำลายในพริบตา แม้แต่ผมของไท่ชูฮวาหรงยังปลิวว่อนไปทั่ว อาภรณ์พลิ้วตามแรงลม ราวกับกำลังจะถูกหลุมดำนั่นดูดกลืน
‘คิดว่าจะเอาชนะข้าด้วยเจ้านี่เท่านั้นหรือ?’ เมื่อเผชิญหน้ากับท่าอันตรายเช่นนี้ ไท่ชูฮวาหรงกลับไม่ตื่นตระหนกเลย ราวกับล่วงรู้ถึงพละกำลังของเฉินซีมานานแล้ว กลิ่นอายอันน่าเกรงขามปลดปล่อยออกมาทั่วร่างพร้อมกับเสียงดังก้อง ชั่วพริบตาเดียวเขาก็แกร่งมากขึ้นหลายเท่า!
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ รอบกายของเขามีพลังดาราจักรที่เย็นยะเยือกและพลุ่งพล่าน จนสามารถทลายชั้นบรรยากาศได้ ทุกสิ่งอย่างไม่กล้าย่างกรายเฉียดใกล้
“ฮ่า ๆๆ! เฉินซีอาจไม่คิดว่าศิษย์พี่ไท่ชูจะก้าวสู่ขอบเขตจุติแล้วเมื่อสามวันก่อน ยิ่งไปกว่านั้น เขายังทะลวงไปถึงขอบเขตจุติระดับสี่ได้ในคราวเดียวด้วย!”
“บีบให้ศิษย์พี่ไท่ชูต้องใช้ความแกร่งของขอบเขตจุติได้ เฉินซีผู้นี้แกร่งกล้าไม่ธรรมดาจริง ๆ คนในรุ่นเดียวกับเขาที่พอจะสูสีกันได้คงหายากนัก น่าเสียดายที่เขากับศิษย์พี่ไท่ชูมีพลังที่ต่างชั้นกันถึงขอบเขตหนึ่ง เขาต้องแพ้แน่”
เมื่อพรรคพวกของไท่ชูฮวาหรงเห็นดังนั้น สีหน้าประหม่าและกังวลก็พลันหาย กลายเป็นผ่อนคลายตื่นเต้น ราวกับเชื่อว่าอย่างไรเฉินซีก็ต้องแพ้
“ฆ่ามัน!” พร้อมกันนั้น หลังจากไท่ชูฮวาหรงเผยกลิ่นอายอันน่าเกรงขามของขอบเขตจุติออกมาแล้ว เขาก็ตะโกนลั่นออกมา กระบี่ในมือกวาดไปทั่วท้องฟ้า มันเปลี่ยนเป็นแสงสีทองที่สว่างจ้าราวกับดวงอาทิตย์แผดเผาสิบดวง “กระบี่คุมวิญญาณ ใช้ตะวันทั้งสิบสังหารมันเสีย!”
ครืน!
ราวกับบนฟ้าพลันปรากฏตะวันทั้งสิบดวงขึ้นพร้อมกัน ทำเอาทุกอย่างสลายกลายเป็นผุยผง มันสว่างจ้ามากเสียจนคนไม่อาจลืมตาได้
ทันใดนั้น กระแสพลังอันบ้าคลั่งของเฉินซีก็เริ่มควบแน่นและสั่นสะท้านรุนแรง ส่งสัญญาณราวกับจะกระจายตัวออกไป
‘ขอบเขตจุติหรือ? เนตรเทวะแห่งความจริงเห็นมันมาตั้งนานแล้ว อีกฝ่ายคิดว่าใช้แล้วจะรอดหรือ?’ เฉินซียกมุมปากขึ้นดูเย็นเยียบ อ้าปากพูดคำบางอย่างออกมา พัดหยกที่มีเพลิงปกคลุมก็ปรากฏอยู่ในมือ
หลังจากนั้นเขาก็เพียงพัดออกมาเบา ๆ
คลื่นเพลิงพลันคำรามลั่น รุดขึ้นสูงเหมือนคลื่นหินหลอมเหลว กลืนฟ้าทำลายดิน หลั่งไหลกระจายตัวไปทั่ว ทั้งขุนเขา พื้นดิน ซากทั้งหลาย และกรวดหินล้วนถูกปกคลุมด้วยเปลวเพลิง สูญสลายไปจนสิ้น
“นี่มัน…สมบัติกึ่งอมตะ! ไม่สิ! มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน?! ศิษย์จากราชวงศ์ธรรมดาอย่างเจ้าจะครอบครองสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ได้อย่างไร? สวรรค์ลำเอียงนัก!” เสียงโหยหวนจนน่ากลัวของไท่ชูฮวาหรงดังขึ้นมาจากในทะเลเพลิง ทั่วร่างของเขาถูกเพลิงเผาไหม้ กลายเป็นมนุษย์เพลิง เดิมทีเขาก็บาดเจ็บหนักอยู่แล้ว แค่หนีก็ยังลำบาก…
แต่มีหรือที่เฉินซีจะยอมปล่อยอีกฝ่ายไป? เขาใช้พัดเพลิงอีกครั้ง เกิดเป็นเพลิงสายหนึ่งพุ่งออกมาพร้อมเสียงดัง รัศมีหมื่นลี้โดยรอบพลันกลายเป็นทะเลเพลิง
“เฉินซี เจ้าโหดเหี้ยมนัก! หากได้เกิดใหม่ ข้าจะเผากระดูกเจ้า เอาอัฐิไปโปรยทิ้งเสีย ให้ไม่อาจเกิดใหม่ได้” ไท่ชูฮวาหรงไม่อาจหลบหนี เสียงกรีดร้องแหลมค่อย ๆ เบาลง ก่อนจะเลือนหายไปอย่างสมบูรณ์ เขาตายแล้ว ร่างสลายสิ้น ไม่เหลือแม้แต่ซากหรือกระดูก
หลังจากสังหารไท่ชูฮวาหรงได้แล้ว เฉินซีก็ไม่ได้ถอนใจแต่อย่างใด กลับหันมา หมายจะสังหารพรรคพวกอีกสองคนของไท่ชูฮวาหรง ทว่าเป็นตอนนั้นเองที่พลังผันผวนอันน่าสะพรึงกลัวพลันรุดเข้ามาจากระยะใกล้ สะท้านสะเทือนทั้งฟ้าดิน!
เครื่องประดับหยกสีขาวบริสุทธิ์ดูปั่นป่วนไม่หยุด เป็นจังหวะนี้เองที่มันระเบิดขึ้นมา!!