บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 462 ดินแดนเร้นลับอุบัติขึ้น

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 462 ดินแดนเร้นลับอุบัติขึ้น

บทที่ 462 ดินแดนเร้นลับอุบัติขึ้น

ฟิ้ว!

ที่ใจกลางของแม่น้ำกระดูกอันเชี่ยวกราก มีร่างสูงใหญ่ได้ทะยานออกมา ในขณะที่เสื้อผ้าปลิวไสวไปตามสายลม ซึ่งร่างนั้นก็คือเฉินซี

ก่อนหน้านี้เขาได้ศึกษาหม้อกลั่นเป็นเวลาครึ่งวัน แต่ก็ไม่ได้ผลลัพธ์ใด ๆ เขาจึงทำได้เพียงใช้มันเป็นเครื่องประดับและแขวนไว้ที่หน้าอกของตนแทน

“ข้าได้ยินมาว่ามีสมบัติมากมายภายในซากปรักหักพัง ซึ่งผู้เยี่ยมยุทธ์ส่วนใหญ่ที่ได้เข้ามาในซากปรักหักพังก็มุ่งหน้าไปที่นั่นแล้ว บางทีข้าอาจจะหาร่องรอยขององค์หญิงน้อยและนายน้อยโจวที่นั่นได้” เฉินซีมองไปรอบ ๆ และครุ่นคิดสั้น ๆ จากนั้นจึงแยกแยะทิศทางและทะยานเข้าไปในซากปรักหักพัง

หลังจากเผชิญกับการซุ่มโจมตีในช่วงสองสามที่ผ่านมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้เขาตระหนักได้อย่างชัดเจนว่าราชวงศ์ซ่งนั้นมีศัตรูอยู่มากมาย ยิ่งไปกว่านั้น จนกระทั่งถึงวันนี้ เขายังไม่เคยได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับหวงฝู่ฉิงอิงกับนายน้อยโจวเลย จึงทำให้ใจของชายหนุ่มรู้สึกหนักอึ้งเพราะกังวลว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นกับคนทั้งสอง

ไม่กี่วันต่อมา เฉินซีได้มาถึงด้านในของภูเขากลุ่มหนึ่ง ตลอดทางที่ผ่านมานี้ เขาได้พบกับสมบัติมากกว่าสิบชิ้นที่เหล่าทวยเทพทิ้งไว้ บางส่วนบินออกมาจากซากปรักหักพัง บางส่วนสั่นไหวอยู่ในชั้นเมฆ และบางส่วนก็พุ่งออกมาจากใต้ผืนดิน สมบัติทุกชิ้นเหล่านั้นต่างเปล่งแสงสมบัติและทำให้แววตาของผู้คนเป็นประกายด้วยความโลภ

แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถปราบพวกมันได้ ทำให้อดไม่ได้ที่รู้สึกเสียใจเล็กน้อย แต่มีบางอย่างที่ทำให้เขาแน่ใจเป็นอย่างยิ่งว่า สมบัติเหล่านี้ไม่ได้ลึกลับหรือน่าสะพรึงกลัวเท่าหม้อกลั่นใบนั้น

สถานที่แห่งนี้เป็นกลุ่มภูเขาแห้งแล้งที่ถูกปกคลุมด้วยหินรูปร่างแปลกประหลาด ซึ่งเป็นฉากที่สวยงามและตระการตาเป็นพิเศษ

ตลอดทางที่มายังที่แห่งนี้ เฉินซีไม่พบกับใครเลย และดูเหมือนว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ทุกคนที่เข้ามาในซากปรักหักพังอันกว้างใหญ่ได้หายไปหมดแล้ว ทำให้มันดูรกร้างเปล่าเปลี่ยวเป็นอย่างยิ่ง

“หรือว่าทุกคนได้เข้าไปยังซากปรักหักพังแล้ว?” เฉินซีหยุดและมองไปในระยะไกล พร้อมกับรู้สึกสับสนในใจ ทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็หรี่ลง เนื่องจากมีศพอยู่ที่ด้านข้างของยอดเขาซึ่งอยู่ตรงกลาง!

ฟึ่บ!

ในเวลาต่อมา เฉินซีได้มาถึงด้านข้างของศพแล้ว

ศพร่างนี้มีสีทองเข้มและนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น พื้นดินบริเวณรอบ ๆ ศพนั้นเป็นสีดำไหม้เกรียม อีกทั้งยังเผยให้เห็นร่องรอยของพลังงานสายฟ้าอย่างบางเบา ซึ่งทำให้ใจต้องสั่นสะท้าน

“คนผู้นี้คงจะเพิ่งล้มเหลวในพิชิตทัณฑ์สวรรค์เพื่อบรรลุสู่ขอบเขตจุติ …ดูเหมือนว่าทัณฑ์สวรรค์จะเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน ทำให้ร่างกายและวิญญาณของเขาถูกแผดเผา แม้แต่กระดูกของเขาก็เกือบถูกเปลวเพลิงแห่งทัณฑ์สวรรค์เผาไหม้จนแทบสูญสิ้น ช่างเป็นเรื่องที่น่าสลดใจจริง ๆ” เฉินซีประเมินอยู่ครู่หนึ่งและคาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้นได้ จากนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา

ในยามที่บรรลุสู่ขอบเขตจุติ เปลวเพลิงแห่งทัณฑ์จุติจะเกิดขึ้นในร่างกายและจิตใจของผู้บ่มเพาะ ในขณะที่เต๋าแห่งสวรรค์จะฟาดลงมาด้วยสายฟ้าแห่งทัณฑ์สวรรค์ ทัณฑ์ทั้งสองจะเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน ดังนั้นคนธรรมดาจึงแทบจะไม่สามารถพิชิตมันได้

แต่สิ่งที่ทำให้เฉินซีต้องงุนงงก็คือ ผู้บ่มเพาะทุกคนที่เข้าสู่สมรภูมิบรรพกาลในครั้งนี้ ล้วนเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ชั้นยอดของราชวงศ์ต่าง ๆ ซึ่งมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะทำให้พวกเขาสามารถบรรลุเข้าสู่ขอบเขตจุติ ยิ่งไปกว่านั้น ศพที่อยู่ตรงหน้าเขาอาจเป็นหนึ่งในศิษย์ของราชวงศ์เหล่านี้ ดังนั้นผู้บ่มเพาะคนนี้จะไม่สามารถพิชิตทัณฑ์สวรรค์ได้อย่างไร?

เฉินซีกวาดสายตามองไปรอบ ๆ และตระหนักได้ทันทีว่า ก้อนหินกับพื้นผิวของภูเขาที่อยู่ใกล้เคียงล้วนเต็มไปด้วยรูและรอยกะดำกะด่าง เห็นได้ชัดว่ามีการต่อสู้เกิดขึ้นที่นี่ก่อนหน้านี้ ศพร่างนี้คงถูกใครบางคนโจมตีในขณะที่กำลังพิชิตทัณฑ์สวรรค์อยู่ มันคือสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายล้มเหลวนั่นเอง

“ดูเหมือนว่าข้าจะต้องหาที่ปลอดภัยเมื่อพิชิตทัณฑ์สวรรค์ มิฉะนั้น จุดจบของข้าก็จะเป็นเช่นเขา…” เฉินซีถอนหายใจเบา ๆ และกำลังจะจากไป แต่ดวงตาของเขาพลันหรี่ลง จากนั้นชายหนุ่มก็มองไปที่หินก้อนหนึ่งในระยะไกลอย่างเย็นชา “สหาย การปกปิดตัวตนนั้นไม่ควรกระมัง”

“เฉินซีแห่งราชวงศ์ซ่ง ไม่ใช่คนที่อัจฉริยะทั่วไปจะเทียบได้จริง ๆ”

พร้อมกับเสียงแหบแห้ง ชายหนุ่มที่สวมเสื้อผ้าสีดำเดินออกมาจากหลังก้อนหินด้วยฝีเท้าที่มั่นคง ชายหนุ่มคนนี้ดูค่อนข้างผอมแห้ง โดยเฉพาะใบหน้าที่ดูซีดเซียวของเขาพร้อมกับเบ้าตาลึก และมีร่องรอยสีขาวแปลก ๆ อยู่ในรูม่านตาของคนผู้นี้ ทำให้คนอื่นรู้สึกอึดอัดและสยดสยองราวกับได้พบภูตผีวิญญาณร้ายที่หนาแน่น

“เจ้าเป็นใคร?”

เฉินซีกล่าวอย่างสงบนิ่ง แต่เขากลับรู้สึกวิตกอยู่ในใจ เพราะคนผู้นี้ได้บรรลุเข้าสู่ขอบเขตจุติแล้ว ทั้งพลังชีวิตและเลือดในร่างของเขาก็ควบแน่นและรุนแรง จึงทำให้เฉินซีสัมผัสได้ถึงภัยอันตราย

“โชคของเจ้านั้นไม่เลวเลย เจ้าได้พัดนกยูงเพลิงจากซวีเหลิ่งเยี่ยแห่งแคว้นเยว่หลุน ถ้าไม่ใช่เพราะสมบัติกึ่งอมตะชิ้นนั้น คลั่งกระบี่น้อย ไท่ชูฮวาหรงคงไม่ตายง่าย ๆ ด้วยน้ำมือของเจ้า” ชายหนุ่มรูปร่างผอมแห้งที่สวมชุดสีดำเลี่ยงคำถาม และเปิดโปงเรื่องที่เฉินซีใช้พัดนกยูงเพลิงฆ่าคลั่งกระบี่น้อยโดยตรง

“ว่าอะไรนะ? เจ้าก็สนใจพัดนกยูงเพลิงด้วยหรือ” ดวงตาของเฉินซีหรี่ลงขณะที่ปราณแท้ภายในร่างเริ่มโคจรอย่างเงียบ ๆ

“ถ้าตอบว่าใช่ เจ้าจะต่อต้านข้าทันทีหรือไม่?” ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้ง เมื่อประกอบกับท่าทางอันน่ากลัวนั่น มันก็ทำให้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องระมัดระวัง

เมื่อล่วงรู้ความคิดของคนผู้นี้ เขาเพียงยิ้มออกมาและไม่ได้แสดงความคิดเห็น เพราะแม้ว่าจะไม่รู้ที่มาของชายหนุ่มชุดดำคนนี้ แต่หากคิดแย่งชิงสมบัติที่อยู่ในการครอบครองของเขา มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

“เจ้าอย่าได้กังวล แม้ว่าพัดนกยูงเพลิงจะไม่เลวในสายตาของข้า แต่มันก็ไม่ใช่สมบัติประเภทที่ข้าต้องการ” ชายหนุ่มส่ายศีรษะ

เขาหยุดลงชั่วขณะ จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองไปยังเฉินซี และกล่าวต่อไปว่า “ข้าไม่กลัวที่จะบอกเจ้าว่า หากเจ้าคิดจะโดดเด่นอยู่ในสมรภูมิบรรพกาลโดยอาศัยสมบัติกึ่งอมตะ ข้าคิดว่ามันคงไม่เพียงพอ แล้วตัวเจ้าในตอนนี้ก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะครอบครองตราคำสั่งภวังค์ทมิฬเลยด้วยซ้ำ”

“ตราคำสั่งภวังค์ทมิฬ?” คิ้วของเฉินซีขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

“ในอีกครึ่งปีข้างหน้า การทดสอบที่แท้จริงของสมรภูมิบรรพกาลจะมาถึง และนั่นคือการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ผู้ชนะจะได้รับตราคำสั่งภวังค์ทมิฬ ซึ่งไม่เพียงจะมีสิทธิ์เข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬได้เท่านั้น แต่พวกเขายังมีคุณสมบัติในการเข้าร่วมกับหนึ่งในกองกำลังที่ยิ่งใหญ่ในแดนภวังค์ทมิฬอีกด้วย!”

“ซึ่งข้อกำหนดสุดท้ายในการเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งสุดท้ายก็คือต้องบรรลุขอบเขตจุติ”

“แน่นอนว่า การบรรลุขอบเขตจุตินั้นเป็นข้อกำหนดเพื่อให้คนมีพลังในการปกป้องตัวเอง ทว่ามันก็เป็นเพียงการอนุญาตให้บุคคลนั้นมีพลังในการปกป้องตัวเอง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นผู้โดดเด่นในการทดสอบขั้นสุดท้ายและคว้าตราคำสั่งภวังค์ทมิฬไปได้ เช่น ไท่ชูฮวาหรง ซึ่งมีความแข็งแกร่งเพียงขอบเขตจุติระดับที่สี่ ทำให้เขาแทบไม่มีความหวังที่จะได้ตราคำสั่งภวังค์ทมิฬเลย”

เฉินซีรู้สึกสั่นไหวเล็กน้อยเมื่อได้ยินทั้งหมดนี้ แม้แต่ไท่ชูฮวาหรงที่อยู่ในขอบเขตจุติระดับที่สี่ก็ไม่มีความหวัง? อย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่า หากต้องการได้รับตราคำสั่งภวังค์ทมิฬ อย่างน้อยก็ต้องมีฐานการบ่มเพาะที่สูงกว่าขอบเขตจุติระดับที่สี่ เมื่อบรรลุเหนือระดับนั้นจึงจะมีความหวังเพิ่มขึ้นมาในระดับหนึ่ง

“ที่แท้การทดสอบและการแข่งขันภายในสมรภูมิบรรพกาลก็เป็นเช่นนี้เอง…” เฉินซีถอนหายใจด้วยความรู้สึกอยู่ในใจ แต่มือของเขากลับกำแน่นโดยไม่รู้ตัว บางทีตนอาจไม่มีคุณสมบัติที่จะครอบครองตราคำสั่งภวังค์ทมิฬในตอนนี้ แต่ยังมีเวลาอีกครึ่งปีก่อนการทดสอบครั้งสุดท้ายจะมาถึง ความแข็งแกร่งของเขาในเวลานั้นต้องเหนือล้ำกว่าตอนนี้อย่างแน่นอน

“ขอบคุณสหายเต๋าที่ชี้แนะ” แม้ว่าจะไม่รู้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงบอกสิ่งต่าง ๆ แก่เขา แต่เฉินซียังคงประสานหมัดและแสดงความรู้สึกขอบคุณ

“อันที่จริง เจ้าจะรู้ได้ในภายภาคหน้า แม้ว่าข้าจะไม่ได้บอกเจ้าก็ตาม เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับ ดังนั้นเจ้าไม่ต้องขอบคุณข้า”

หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็กล่าวต่ออย่างเฉยเมยว่า “ข้าแค่อยากให้รู้ว่าตัวเจ้ายังด้อยกว่ามาก เมื่อเทียบกับผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะที่แท้จริงเหล่านั้น เพราะอย่างไรเสีย เจ้าก็มาจากราชวงศ์ระดับกลาง ซึ่งไม่อาจเทียบสถานะและศักดิ์ศรีกับผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะของราชวงศ์ระดับสูงสุดเหล่านั้นได้”

เฉินซีเพียงยิ้ม แต่รู้สึกไม่เห็นด้วยอยู่ในใจ

“บางทีเจ้าอาจคิดว่าข้ากล่าวเกินจริง แต่เมื่อเจ้าได้เห็นความแข็งแกร่งของราชวงศ์ระดับสูงสุดทั้งสามและศิษย์ของตระกูลอันทรงเกียรติแห่งอาณาจักรเก่าแก่เหล่านั้น มันจะทำให้เจ้าเข้าใจโดยสิ้นเชิงว่า ความแตกต่างบางอย่างก็เป็นเหมือนช่องว่างตามธรรมชาติที่มีน้อยคนนักที่จะก้าวข้ามไปได้” ชายหนุ่มส่ายหน้าก่อนจะเดินจากไป

“แล้วข้าก็มีนามว่าหลิงเจ๋อจากราชวงศ์ต้าถังและเป็นพี่ชายของหลิงอวี๋” ร่างของชายหนุ่มลอยขึ้นและหันกลับมาเพื่อบอกชื่อของเขากับเฉินซี จากนั้นตัวคนก็พุ่งทะยานออกไปจนกลายเป็นภาพลวงตาที่แปลกประหลาด

เมื่อภาพของเจ้าอ้วนที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มปรากฏขึ้นในใจของเขา เฉินซีก็ตกตะลึงและคิดในใจว่า ‘แท้จริงเขาก็เป็นพี่ชายของหลิงอวี๋ ไม่แปลกใจเลยที่เขาได้บอกเรื่องมากมายกับข้าเช่นนี้…’

หลิงอวี๋เป็นศิษย์ของผู้เฒ่าประหลาดที่อาศัยอยู่อย่างสันโดษในราชวงศ์ซ่งและเขาก็มีนิสัยที่อ่อนโยน แต่ความแข็งแกร่งของคนคนนี้ทรงพลังเป็นอย่างยิ่งและได้ฝ่าฟันจนติดสิบอันดับแรกของการชุมนุมดาวรุ่ง และเขาก็เป็นหนึ่งในศิษย์รุ่นเยาว์จากราชวงศ์ซ่งที่เข้าสู่สมรภูมิบรรพกาลในครั้งนี้เช่นเดียวกับเฉินซี

“ราชวงศ์ต้าถังเป็นหนึ่งในสามราชวงศ์ระดับสูงสุด คนผู้นี้แข็งแกร่งเสียจริง ๆ และถ้าเป็นอย่างที่เขากล่าวจริงๆ แล้วละก็ ดูเหมือนว่าข้าต้องรีบบรรลุสู่ขอบเขตจุติอย่างรวดเร็ว…” เฉินซีขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะที่จ้องมองร่างที่หายลับไปจากสายตา จากนั้นเขาก็ยืดตัวพร้อมกับตัดสินใจอย่างแน่วแน่!

เขาตั้งใจจะจากไปทันที แต่ในขณะนี้ ร่างสามร่างก็ทะยานเข้ามาจากระยะไกล ซึ่งความเร็วนั้นก็ไม่เร็วหรือช้า และพวกเขาก็กำลังพูดคุยเสียงดังขณะที่บินเข้ามา

จิตวิญญาณของเฉินซีนั้นแข็งแกร่งอย่างมหาศาล จึงสามารถได้ยินเนื้อหาทั้งหมดของการสนทนาในทันที

“ข้าได้ยินมาว่าดินแดนเร้นลับที่ยังไม่ล่มสลายได้ปรากฏขึ้นในซากปรักหักพัง ดินแดนเร้นลับแห่งนั้นได้ผ่านกาลเวลามานับไม่ถ้วน อีกทั้งยังมีข้อจำกัดปกป้องอยู่ ดังนั้นมันต้องมีมรดกของทวยเทพหลงเหลืออยู่ในนั้นอย่างแน่นอน”

“เจ้าแน่ใจหรือ?”

“มันเป็นความจริง มีหลายราชวงศ์ที่มุ่งเข้าไปแล้ว อีกทั้งข้ายังได้ยินมาว่า มีคนสองคนที่โชคดีและได้รับผนึกยันต์เพื่อเข้าสู่ดินแดนเร้นลับ ซึ่งสามารถเข้าไปยังที่นั่นเพื่อรับมรดกได้ทุกเมื่อ”

“โอ้? เป็นผู้ใดกันที่โชคดีเช่นนี้?”

“มันช่างน่าขันเมื่อเจ้ากล่าวถึงมัน คนทั้งสองที่ได้รับผนึกยันต์ไม่ได้มาจากราชวงศ์ระดับสูง แต่พวกเขามาจากราชวงศ์ระดับกลาง ซึ่งคนโชคร้ายทั้งสองก็ถูกกักขังอยู่ในตอนนี้ และตราบใดที่ใครคนหนึ่งถูกบังคับให้ส่งมอบผนึกยันต์ออกมา ผู้ที่ได้ไปก็จะสามารถเข้าสู่ดินแดนเร้นลับเพื่อรับมรดกได้”

“ราชวงศ์ระดับกลาง? ว่าแต่ทั้งสองคนนี้ไม่ได้ประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินไปหน่อยหรือ แม้ว่าจะได้พบโชคลาภครั้งใหญ่โดยบังเอิญ แต่พวกเขาก็ไม่มีโชคพอที่จะสนุกกับมัน จริงสิ พวกเขามาจากราชวงศ์ใดกัน?”

“ราชวงศ์ซ่ง! ฮ่า ๆ ราชวงศ์ซ่งนี่แปลกประหลาดจริง ๆ ถึงแม้มันจะมีศัตรูอยู่มากมาย แต่โชคของพวกมันก็ไม่ธรรมดา ทว่าอานิสงส์นี้อาจถูกผู้อื่นเก็บเกี่ยวแทน”

เฉินซีที่ฟังการสนทนาของพวกมันจนจบก็ตกตะลึงทันที “คนจากราชวงศ์ซ่งสองคน…” คำตอบดูจะชัดเจนในตัวเอง ทั้งสองคนนั้นจะต้องเป็นหวงฝู่ฉิงอิงและนายน้อยโจวอย่างแน่นอน คนทั้งสองได้หายตัวไปหลังจากกระแสอสูรปะทุขึ้น แต่เฉินซีไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า พวกเขาจะเข้าไปภายในซากปรักหักพังเช่นกัน ยิ่งกว่านั้น ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเผชิญกับโชคลาภครั้งใหญ่โดยบังเอิญ

แต่จากสิ่งที่คนเหล่านี้กล่าวออกมา ดูเหมือนว่าสถานการณ์ของพวกเขาจะไม่เอื้ออำนวยเล็กน้อย

เฉินซีกลั้นใจก่อนจะพุ่งออกไปและปรากฏกายที่เบื้องหน้าของคนทั้งสามโดยตรง เขาไม่ได้กล่าวอะไรก่อนที่จะคว้าตัวของพวกมันเอาไว้ ทำให้พายุสายฟ้าที่ทรงพลังส่งเสียงหวีดร้องออกมาและสร้างแรงกดดันต่อทั้งสามคนโดยตรง

“ดินแดนเร้นลับอยู่ที่ใด?” เฉินซีอดกลั้นต่อความวิตกกังวลในใจขณะที่ถามอย่างเฉยเมย หากเขาต้องการคำตอบ การใช้กำลังเพื่อบังคับให้ตอบนั้น เป็นวิธีที่ตรงไปตรงมาและเรียบง่ายที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงแม้ว่ามันจะป่าเถื่อน แต่เขาไม่อาจสนใจเรื่องทั้งหมดได้ในขณะนี้

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท