สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด – บทที่ 3 ตอนที่ 26 ความจริงที่ซ่อนอยู่ในอดีต
บทที่ 26 ความจริงที่ซ่อนอยู่ในอดีต
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ผมทำทั้งหมดนี้เอง”
ฉับพลันหลี่ว์ไห่ก็ดูไม่เหมือนเถ้าแก่ของบ้านพักตากอากาศแห่งนี้ เขาพูดอยู่รับโทษที่นี่ มองดูผู้คน เหมือนกลัวว่าทุกคนจะได้ยินไม่ชัดเจน และราวกับเขายังหวังอีกว่าจะทำให้ได้ยินชัดเจนและประทับอยู่ในความทรงจำให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ลั่วชิวคิดว่าตนคงไม่มีทางลืมท่าทางของหลี่ว์ไห่เมื่อครู่นี้เลย
ทั้งความสุขุม ความสงบเยือกเย็น และความเด็ดเดี่ยวแบบนั้น
สีหน้าของเลขาอู๋ชิวสุ่ยฉายแววตื่นตะลึง แล้วเขาก็นึก ถึงตำนานในหมู่บ้านได้อย่างรวดเร็ว เขาเชื่อมโยงสองเรื่องเข้าด้วยกัน
เขาเป็นคนที่มีปฏิกิริยาไวสุดในสถานการณ์ “ทำไมคุณต้องทำแบบนี้ หลี่ว์ไห่?”
เป็นเพราะอะไรถึงต้องทำแบบนี้
นี่น่าจะเป็นท่าทีที่ยอมรับโดยดุษณี
เซอร์หม่าขมวดคิ้ว ซึ่งคุ้นชินกับการคิดตามหลักเหตุผลย่อมไม่เชื่อง่ายๆ แต่ถ้าหลักฐานเพียงพอนั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ตั้งแต่ตอนแรกที่หลี่ว์ไห่เข้ามา ชาวบ้านก็มองหลี่ว์ไห่ไม่เหมือนเดิมอยู่บ้าง คนที่นี่รู้ว่าในหมู่บ้านมีคนชื่อหลี่ว์ไห่ แต่กลับไม่มีใครสนิทสนมกับเขาเลย
เขาพาครอบครัวมาอาศัยอยู่ที่บ้านเก่าๆ บนไหล่เขา เดินลงเขาเข้าหมู่บ้านน้อยครั้งมาก เขาคนเดียวเลี้ยงดูครอบครัวด้วยการแล่นเรือประมงออกหาปลา และปลูกผักกินเองในพื้นที่ว่างแปลงหนึ่งหลังบ้านพักตากอากาศ มีเพียงตอนซื้อของจำเป็นบางอย่างถึงจะเข้าหมู่บ้าน
หลังจากนั้นพอหลัวอ้ายอวี้มาแล้ว งานพวกนี้ก็เปลี่ยนเป็นหน้าที่ของหลัวอ้ายอวี้
คนที่บังเอิญเห็นหลี่ว์ไห่ ภาพความทรงจำเดียวที่มีก็คือ หนวดเครารุงรังยุ่งเหยิงอยู่ตลอด และกลิ่นเหล้าบนตัวเขา ก็กส่งลิ่นแรงยิ่งกว่ากลิ่นของมหาสมุทรอยู่บ้าง
เขาเป็นคนขี้เมา
พอวันนี้เขาเป็นผู้กระทำความผิดที่มีสายตาน่ากลัว ก็เหมือนอีกคนไปเลย
เขาเปิดปากพูดแล้ว
เขาหัวเราะเยาะอยู่ครู่หนึ่ง ในสายตามีแววเหยียดหยาม เขามองไปรอบๆ ชาวบ้านพวกนั้นที่ถูกสายตาเขามองก็รู้สึกขลาดกลัว สะดุ้ง พากันก้มหน้าก้มตาลง
“เพราะอะไรน่ะเหรอ? ไม่มีเหตุผลอะไรหรอก” หลี่ว์ไห่ไม่ได้ใส่ใจจนเห็นความเย็นชาได้ชัดเจน “ก็แค่คนในหมู่บ้านนี้เหมือนจะลืมไปแล้วว่าพวกเขาเคยทำเรื่องเลวร้ายอะไรเอาไว้บ้าง และลืมไปว่าพวกเขาเคยละทิ้งจิตใจอันดีงามไปเมื่อครั้งนั้น ผมก็เลยเตือนสักหน่อยเท่านั้นเอง”
“ตอน…ตอนนั้นพวกเราหลงผิดไป แต่ก็ถูกคนยุยงมาเหมือนกัน แต่แก…แต่แก…” คนชราอายุมากแล้วคนหนึ่งพูดอย่างมีน้ำโห “มีเรื่องอะไร แกมาลงที่พวกเรา! อยากตีอยากฆ่า! แต่คาดไม่ถึงว่าแกทำให้คนทั้งหมู่บ้านเป็นแบบนี้โดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น!! เด็กพวกนั้นทำผิดอะไรด้วย?!”
หลี่ว์ไห่หัวเราะเยาะอีกครั้ง “สี่สิบห้าปีก่อน ฉันทำอะไรผิดอีกล่ะ ครอบครัวฉันสงบสุขดี หลังจากนั้นล่ะ? ถูกคนบงการงั้นเหรอ? แค่นั้นพวกแกก็ถือว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วเหรอ ใช้ชีวิตสงบสุขมั่นคงที่นี่ ลูกหลานเต็มบ้าน ครอบครัวรักใคร่กลมเกลียวกันใช่ไหม?”
“ฉัน…หลายปีมานี้ พวกเรา ในใจพวกเราไม่เคยสงบสุขเลย แกคิดจริงๆ เหรอว่าพวกเราไม่รู้สึกผิดน่ะ?”
“งั้นเพราะอะไร พวกแกถึงจะเซ่นคนทั้งเป็นอีกครั้ง?” หลี่ว์ไห่พูดเหยียดหยาม “ฟังให้ชัดๆ นะ ‘อีกครั้ง’ หลายปีมานี้ ที่พวกแกบอกว่ารู้สึกผิด แต่ก็ยังทำผิดซ้ำเดิม วันนี้ เมื่อเช้า ที่นี่”
“ฉัน…ฉันจะฆ่าแก!” คนชรานั่นพุ่งเข้ามาทันที
หลี่ว์ไห่กลับตะคอกเสียงดังลั่น “ไสหัวไป!”
คนชรานั่นตกใจจนหน้าซีดเผือดทันที ถอยหลังไปสองก้าวติด พอโซเซก็ล้มนิ่งอยู่บนพื้น
หลี่ว์ไห่ด่าเสียงดังด้วยโทสะ “ดูนะ! ทุกคนดูไว้! นี่ก็คือความไม่สงบสุขที่พวกแกพูดถึง นี่ก็คือชีวิตที่ไม่สงบสุขที่พวกแกพูดถึง! ถ้าพวกแกเอาชนะด้วยเหตุผลไม่ได้ แล้วพวกแกจะทำยังไงต่อ? ใช้กำลัง! ตัวเอง!”
ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งถูกประณามจนเงียบกริบ ก้มหน้าก้มตา บอกว่าใช้ชีวิตไม่สงบสุข ตอนนี้ชีวิตไม่สงบสุขจริงๆ แล้ว พูดอะไรก็ไม่ได้ สาบานก็ไม่ได้
“ไม่ใช่นะ…หลี่ว์ไห่ คุณบอกว่าไวรัสของโรค คุณเป็นคนแพร่เชื้อนี่?” อู๋ชิวสุ่ยเป็นคนที่รู้ประวัติหมู่บ้านแห่งนี้ดี ไม่ทันไรเขาก็นึกถึงจุดที่น่าสงสัยได้อย่างรวดเร็ว “สี่สิบห้าปีก่อน คุณเพิ่งอายุเท่าไรเอง? หรือจะบอกว่า ตอนนั้นคุณก็แพร่เชื้อโรคนี้เหมือนกัน?”
หลี่ว์ไห่พูดเสียงเฉยเมย “เรื่องนี้ก็ลองถามหลี่ว์เฉาเซิงดูสิ ผมพาเขามาแล้ว”
หม่าโฮ่วเต๋อขมวดคิ้ว หันไปทางนายตำรวจหนุ่มที่ด้านหน้าประตูนั่น ส่งสายตาบอกใบ้ ไม่นาน
หลี่ว์เฉาเซิงก็ถูกนำตัวเข้ามา
สองมือของเขาเปลี่ยนเป็นสีเทาดำขยับไม่ได้แล้ว ถูกคนใช้สองมือดึงลากเข้ามา
ผมของหลี่ว์เฉาเซิงเต็มไปด้วยเหงื่อเกือบหมดแล้ว หนังตาหย่อนปิดลงมาครึ่งตา ทั้งเนื้อทั้งตัวดูแล้วไร้เรี่ยวแรงมาก
“คุณหมอหลี่ว์ คุณ…คุณก็ติดเชื้อเหรอครับ?” อู๋ชิวสุ่ยพูดอย่างตกใจ เขาคิดจะเข้าไปใกล้ๆ แต่ก็รู้สึกกลัว ถึงได้เดินไปสองก้าวก็หยุด พูดด้วยความตกใจว่า “หลี่ว์ไห่บอกว่า คุณรู้ดีทุกอย่าง…คุณรู้อะไรเหรอครับ?”
หลี่ว์เฉาเซิงขยับริมฝีปาก พูดพึมๆ พำๆ
หลี่ว์ไห่กลับหัวเราะเยาะครู่หนึ่ง “พูดสิ คุณหมอหลี่ว์ เรื่องที่คุณเคยทำ ยังคิดจะปิดบังต่อไปเหรอ? งั้นผมพูดแทนคุณแล้วกัน”
หลี่ว์เฉาเซิงมองหลี่ว์ไห่อย่างตื่นกลัวแวบหนึ่ง เขาก้มหน้า พูดเสียงสั่น “ไวรัส ไวรัสพวกนั้น…ตอนแรก ตอนแรกผมเป็นคนค้นพบเอง…”
“อะไรนะ?”
“เป็นไปไม่ได้!”
ชาวบ้านตกใจทันที พากันมองมาทางหลี่ว์เฉาเซิงอย่างไม่อยากเชื่อ ในหมู่บ้านตระกูลหลี่ว์นี่ ไม่มีสักคนที่ไม่รู้จักหมอคนนี้
เขาอายุยังน้อยก็ออกไปเรียนแพทย์ หลังจากเรียนจบก็กลับมาหมู่บ้าน คลินิกเล็กๆ แห่งนั้นไม่รู้ว่าช่วยชีวิตคนไปมากมายเท่าไร ผู้คนจะไปเชื่อได้อย่างไรว่าคนที่ช่วยชีวิตผู้คนแบบนี้จะเกี่ยวข้องกับโรคอย่างกับปีศาจนั่น…แถมเขายังเป็นคนค้นพบเชื้ออีก?
“คุณเป็นคนค้นพบ?” หม่าโฮ่วเต๋อตะลึงงัน ขมวดคิ้วถาม “คุณอายุเท่าไร? เมื่อสี่สิบห้าปีก่อน คุณเพิ่งอายุเท่าไรเอง?”
“คือ…คือว่าผมเพิ่งค้นพบหลังจากที่เรียนแพทย์จบกลับมา” หลี่ว์เฉาเซิงไม่กล้ามองเซอร์หม่าซึ่งมีท่าทางเคร่งขรึมจริงจังคนนี้
“คุณพบได้ยังไง? ทำไมคุณถึงพบได้?”
สิ่งที่หม่าโฮ่วเต๋อให้ความสนใจย่อมไม่เหมือนกัน ถ้าไวรัสโรคนี้มีมาตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อนในที่ห่างไกลแบบนี้ เบื้องหลังก็มีเรื่องราวพัวพันไปถึงคนอื่นมากมาย ดีไม่ดีอาจจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้
“ผม ผม…ผมคือ…ผม…” หลี่ว์เฉาเซิงมองหลี่ว์ไห่ กำลังจะพูดแล้วก็หยุดลงอีก
หลี่ว์ไห่ทำเสียงหัวเราะเยาะในลำคอแล้วพูดว่า “ไม่กล้าพูดใช่ไหม? ผมพูดแทนคุณเอง! คุณก็คือลูกลับของร่างทรงชราในตอนนั้น!”
หลี่ว์เฉาเซิงคือลูกลับของหวงเหล่าเซียนกู?
ข่าวราวกับระเบิดนี้ทำให้พวกชาวบ้านอ้าปากค้างทันที พากันไม่อยากเชื่อ “เป็นไปไม่ได้! เห็นชัดๆ ว่าเฉาเซิงเป็นลูกชายของครอบครัวคุณอาฉัน! ตอนเขาอายุหนึ่งเดือนเต็มฉันยังไปดื่มเหล้ามงคลอยู่เลย! หลี่ว์ไห่ แกอย่ามาพูดเหลวไหลที่นี่!”
หลี่ว์ไห่ทำเสียงหัวเราะเยาะในลำคอพร้อมบอกว่า “พูดเหลวไหลหรือเปล่า แกให้เขามาพูดเองสิ!”
หลี่ว์เฉาเซิง ถ้าไม่อยากตายล่ะก็ แกอย่ามาถ่วงเวลาที่นี่!”
หลี่ว์เฉาเซิงตื่นกลัวจนตัวสั่นทันที พร้อมกับก้มหน้าก้มตาพูด “ผม…ผมเป็นลูกของผู้หญิงคนนั้นจริงๆ ตอนนั้น ตอนนั้นเธอแอบคลอดผมเงียบๆ ในบ้านบนเขา ในเวลานั้นหลานชายของครอบครัวของชีอากงเกิดออกมาก็ไม่ร้องไห้ เลยพามาให้เธอเรียกขวัญ และในตอนนั้นเอง เธอก็สลับตัวพวกเราสองคน เพราะเธอรู้ว่า ด้วยสถานะแบบนั้นของเธอ ทั้งยังไม่ได้แต่งงานอีก ก็จะไม่เหลืออะไรเลย ดังนั้น…ถึงได้…”
หลี่ว์เฉาเซิงรีบมองคนชราที่ช่วยตนเองพูด แล้วพูดอย่างเจ็บปวดว่า “ผมก็ไม่อาจเลือกชีวิตของตัวเองได้…ผมก็เพิ่งมารู้เรื่องนี้ทีหลังเหมือนกัน”
คนชราคนนั้นโมโหจนตัวสั่นระริก แต่ก็ยังไม่ค่อยอยากเชื่อ “บอกมา! ไอ้สารเลวนั่นที่มาลักลอบได้เสียกันเป็นใคร!?”
หลี่ว์เฉาเซิงก้มหน้า ไม่ได้พูดอะไร
ตอนที่สายตาทั้งหมดของทุกคนจับจ้องไปที่ตัวหลี่ว์เฉาเซิงนั้น กลับมีเสียงโมโหดังขึ้นมาในทันใด “อาเป่ากง แกคิดจะไปไหน?”
หลี่ว์ไห่ใช้มือข้างหนึ่งคว้าคอเสื้ออาเป่ากงไว้แล้วเหวี่ยงล้มลงไปบนพื้น หัวเราะเยาะบอกว่า “ลูกชายแกเป็นแบบนี้แล้ว แกจะไม่ดูดำดูดีสักหน่อยเหรอ?”
อาเป่ากงที่ถูกผลักล้มลงไปบนพื้นลุกขึ้นมาอย่างลุกลี้ลุกลน สบสายตาผู้คนทั้งหมดที่มองมา รู้สึกแค่เหมือนโดนรุมและโดดเดี่ยว
เขาพูดเสียงสูง “หลี่ว์ไห่!! แกทำร้ายหมู่บ้านพวกเราไม่พอ แกคิดจะใส่ร้ายคนอื่นที่นี่ด้วยเหรอ?!!”
“แกยังคิดจะปฏิเสธอีกเหรอ?” หลี่ว์ไห่หัวเราะเยาะครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็กระโดดพุ่งกระโจนเข้ามากดอาเป่ากงลงไปบนพื้น ยื่นมือออกไปฉีกเสื้อผ้าของเขา
“แกไอ้เดรัจฉานไร้ยางอาย!”
เสื้อผ้าของอาเป่ากงถูกฉีกขาดออกมาทันที บนหลังของเขา ปรากฏรอยสักสีดำอันหนึ่งให้เห็น! แต่ด้วยความชราของเขา รอยสักนี้จึงเป็นรอยย่นมาตั้งนานแล้ว แต่ยังพอเห็นลักษณะรอยสักได้อย่างชัดเจนอยู่ เป็นลักษณะปีศาจหน้าตาดุร้าย
…
หลีจื่อเห็นรอยสักนั่นก็นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “นี่เป็น…รอยสักปีศาจแห่งความริษยานี่!”
“เธอรู้จักเหรอ?” “เริ่นจื่อหลิงตะลึงมองมาที่หลีจื่อแล้วถาม
หลีจื่อพยักหน้า พูดด้วยความรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย “อื้ม…นี่เป็นรอยสักชนิดหนึ่งซึ่งกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นค่อนข้างชอบกัน โดยเฉพาะพวกทหารที่ทำสงครามในตอนนั้น”
“นี่…”
ทันใดนั้นเอง ผู้คนทั้งหมดต่างมองไปที่อาเป่ากง หลี่ว์ไห่กลับหัวเราะเยาะแล้วพูดว่า “อาเป่ากง…ไม่สิ! ซะไก ทัตสึโอะ แกยังมีอะไรจะพูดอีก?!”
เห็นแต่สีหน้าซะไก ทัตสึโอะยอมจำนนสิ้นหวัง หลับตาสองข้างลงแล้วไม่ต่อสู้ขัดขืนอีก นอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้นนิ่งราวกับยอมจำนน
“ฝูงปีศาจ*!?”
“ฝูงปีศาจ?”
ชาวบ้านรู้สึกไม่อยากจะเชื่ออีกครั้ง “อาเป่ากงจะเป็นฝูงปีศาจไปได้อย่างไร?”
หลี่ว์ไห่ตอบ “ก่อนสงคราม ฝูงปีศาจที่อยู่ในละแวกหมู่บ้านพวกเราแอบส่งหน่วยหนึ่งออกไป ทำการทดลองอย่างลับๆ สิ่งที่ทำให้ชาวบ้านพวกนั้นเป็นโรคแท้จริงแล้วไม่ใช่คำสาปอะไร แต่เป็นสิ่งที่ฝูงปีศาจสร้างจากห้องทดลอง! ผมคิดว่าคนที่อายุมากส่วนใหญ่ย่อมรู้ดี ตอนนั้นหมู่บ้านมักจะมีคนหายตัวไปบ่อยๆ ต่อมาต่างรู้ว่าถูกฝูงปีศาจจับตัวไป ตอนนั้นอาเป่ากงตัวจริงก็เป็นคนที่ถูกจับตัวไปเช่นกัน และถูกจับทรมานจนตายไปตั้งนานแล้ว เพียงแต่ผ่านมาหลายปีนี้ ไม่สามารถรักษาฐานลับของฝูงปีศาจเอาไว้ได้ เจ้าหมอนี่ก็เอาไวรัสของโรคหนีออกมาด้วย ตอนนั้นเขาบาดเจ็บหนัก หนีมาถึงที่นี่ ถูกร่างทรงชรานั่นพบเข้า ร่างทรงชรานั่นเดิมก็ไม่ใช่คนดีอะไร เจ้าหมอนี่รับปากจะให้แก้วแหวนเงินทองเธอ เธอก็เลยซ่อนตัวเขาไว้ ให้เขารักษาตัวเป็นเวลานานมาก ต่อมาหลังจากสงครามจบแล้ว สองคนนี้ก็ปรึกษากัน สุดท้ายซะไก ทัตสึโอะก็มีชีวิตอยู่ต่อด้วยการสวมรอยอาเป่ากง…จนกระทั่งตอนนี้!”
*ฝูงปีศาจ เป็นคำที่ชาวจีนใช้เรียกชาวต่างด้าวที่บุกรุกประเทศจีน (ด้วยความเกลียดชัง)