บทที่ 493 มุ่งหน้าสู่เมืองบรรพกาล
บทที่ 493 มุ่งหน้าสู่เมืองบรรพกาล
สถานที่แห่งนี้เป็นหุบเขาที่พบได้ทั่วไปในสมรภูมิบรรพกาล มีลำธารใสไหลคดเคี้ยวและส่งเสียงที่ไพเราะออกมา พุ่มดอกไม้ป่าเติบโตที่ริมลำธาร ในขณะที่ผีเสื้อหลากสีโบยบินไปมา ทำให้ทิวทัศน์ดูวิจิตรตระการตา
เฉินซีนั่งไขว่ห้างอยู่ริมฝั่งแม่น้ำและกำลังจัดแจงวัสดุต่าง ๆ ที่เขาครอบครอง
ในแง่ของการต่อสู้ เขาเชี่ยวชาญเต๋าแห่งกระบี่มากที่สุด แต่พลังของยันต์ศัสตราในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถตอบสนองในการต่อสู้ของเขาได้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงตั้งใจที่จะปรับปรุงยันต์ศัสตราอีกครั้งในอนาคตอันใกล้นี้
“เจ้ากำลังทำอะไรหรือ?” รอยยิ้มอันงดงามปกคลุมไปทั่วใบหน้าของหวงฝู่ฉิงอิงขณะที่นางเดินเข้ามา ชุดของนางปลิวไสวไปตามสายลมขณะที่ร่างกายแกว่งไปมา ทำให้ร่างกายที่เพรียวบางของนางเผยเสน่ห์อันน่าตกตะลึงขณะที่นั่งลงข้าง ๆ เฉินซี
“ข้ากำลังจัดของอยู่ ข้าตั้งใจที่จะขัดเกลากระบี่ของข้าสักหน่อย” ชายหนุ่มตอบกลับอย่างสบาย ๆ ในตอนนี้เขาได้รวบรวมวัสดุทั้งหมดแล้ว และสิ่งที่ขาดไปก็คือการดำเนินการขัดเกลา
ยันต์ศัสตรานั้นแตกต่างจากสมบัติวิเศษทั่วไป มันมีพื้นที่ในการเติบโตอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และถ้าคุณภาพของมันดีขึ้นไปอีกขั้น มันก็อาจจะเทียบกับสมบัติกึ่งอมตะได้อย่างแน่นอน
แต่กระบวนการขัดเกลานั้นยากและลำบากมาก และถึงขั้นที่ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็อาจทำลายวัสดุทั้งหมดได้ ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ก่อนอื่น… เฉินซีจะต้องพิจารณาคุณสมบัติของวัสดุต่าง ๆ อย่างถี่ถ้วนและจัดระเบียบให้เป็นหมวดหมู่ แล้วจึงดำเนินการต่อไป
เมื่อเห็นเฉินซีกำลังจดจ่อกับวัสดุต่าง ๆ ที่อยู่ตรงหน้า หวงฝู่ฉิงอิงก็เม้มริมฝีปากจนเกิดเป็นรอยยิ้ม จากนั้นนางก็คิดไม่รบกวนเขาอีกต่อไป เพียงแค่นั่งลงข้างกายเขาอย่างเงียบงัน และการทำเช่นนี้ก็ทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก
เมื่อตอนที่หวงฝู่ฉิงอิงอยู่ในราชวงศ์ซ่งก่อนหน้านี้ นางไม่ได้สนใจเกี่ยวกับเฉินซีสักเท่าไร เพราะในฐานะบุตรสาวของจักรพรรดิซ่ง ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้ความสนใจชายคนนี้ และมีเพียงตอนที่การชุมนุมดาวรุ่งได้เริ่มขึ้นเท่านั้น นางจึงพบกับเฉินซีเป็นครั้งแรก
ในเวลานั้น นางมองว่าเฉินซีเป็นเพียงผู้ติดตามของย่าชิงผู้เป็นพี่ใหญ่ และไม่มีความสำคัญ กอปรกับย่าชิงร้องขอให้นางคอยดูแลเฉินซีอยู่หลายต่อหลายครั้ง หลังจากนั้น หวงฝู่ฉิงอิงจึงรู้ว่าชายหนุ่มไม่ใช่ผู้ติดตามของนาง แต่เป็นชายหนุ่มเจ้าสำอางที่หวังพึ่งหญิงสาว อีกทั้งยังใช้ประโยชน์จากย่าชิงผู้เป็นพี่ใหญ่ของนาง ทำให้นางไม่ค่อยพอใจในตัวเฉินซีสักเท่าไร!
แต่ตอนนี้นางกลับไม่คิดเช่นนั้น อาจกล่าวได้ว่านางกลับเป็นฝ่ายพึ่งพาเฉินซีแทนและได้รับการปกป้องจากเขาตลอดเวลา ซึ่งนางก็ไม่เคยรู้ตัวว่าเฉินซีนั้น ได้กลายเป็นสหายที่นางไว้ใจมากที่สุดแล้ว
“แต่น่าเสียดายที่เขามีหญิงงามรายล้อมอยู่มากมาย…”
นางเอียงศีรษะและจ้องมองไปที่ใบหน้าด้านข้างของเฉินซีที่มีเค้าโครงแบบชายชาตรี
รูปลักษณ์ที่งดงามเกินต้านของชิงซิ่วอี้ ฟ่านอวิ๋นหลาน ย่าชิงและหญิงสาวคนอื่น ๆ ก็แวบเข้ามาในความคิดของหวงฝู่ฉิงอิงโดยไม่รู้ตัว นางจึงลอบถอนหายใจเบา ๆ
หญิงสาวเหล่านี้ล้วนมีความงามที่ไม่มีใครเทียบได้ ราวกับเทพธิดาที่จุติมายังโลก อีกทั้งยังงดงามและเย้ายวนใจด้วยเสน่ห์ที่ไม่ธรรมดา พวกนางทุกคนล้วนมีความโดดเด่นเป็นพิเศษ และเมื่อเทียบกับพวกนางแล้ว แม้หวงฝู่ฉิงอิงจะมีความภูมิใจมาก แต่นางก็ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าจะในแง่ใด นางก็ไม่อาจเอาชนะหญิงสาวทั้งหมดได้ และอย่างมากที่สุดก็แค่ไล่เลี่ยกับพวกนาง
“ชิงเหอยังไม่กลับมาอีกหรือ?” จู่ ๆ เสียงของชายหนุ่มก็ดังขึ้นที่ข้างหูของนาง และมันทำให้หวงฝู่ฉิงอิงได้สติจากความคิดที่ฟุ้งซ่าน
หญิงสาวอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้าและกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “เขายังไม่กลับมา ทั้งที่ผ่านไปเกือบครึ่งวันแล้ว ข้าก็สงสัยว่าเขาจะทรมานหงจัวอีกนานแค่ไหน แต่ก็เป็นการดีที่ปล่อยให้เขาได้ระบายเช่นกัน เพราะถ้าเป็นข้าแล้วละก็ จะไม่ฆ่าหงจัวง่าย ๆ อย่างแน่นอน”
ในขณะที่พวกเขากำลังกล่าว เสียงฝีเท้าดังก้องมาจากระยะไกล จ้าวชิงเหอและนายน้อยโจวก็เดินเข้ามา
ท่าทางของจ้าวชิงเหอนั้นเยือกเย็นและนิ่งสงบ ซึ่งจากรูปลักษณ์ภายนอกนั้น ก็ทำให้รับรู้ได้ว่าท่าทางผ่อนคลายที่ปรากฏนั้นเกิดจากการได้ระบายความเกลียดชังและความขุ่นเคืองในใจออกไปแล้ว ส่วนนายน้อยโจวที่อยู่ข้าง ๆ กลับมีสีหน้าหวาดกลัวแทน และดูเหมือนจะถูกกระตุ้นด้วยบางสิ่งบางอย่าง ทำให้ดวงตาที่จ้องมองจ้าวชิงเหอนั้น มีร่องรอยแปลก ๆ อยู่ภายใน
“เป็นอย่างไรบ้าง” เฉินซียืนขึ้นและเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ข้าไม่ได้ฆ่าเขา เพราะเขาบอกข้าว่า เขาจะทำให้ข้าต้องทุกข์ทรมานไปชั่วนิรันดร์ ดังนั้นข้าจึงอยากให้เขาได้ลิ้มรสของมันก่อน” จ้าวชิงเหอพลิกฝ่ามือขึ้นซึ่งมีสมบัติโปร่งแสงที่ดูเหมือนผลึกปรากฏอยู่ในนั้น ซึ่งสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่า แก่นวิญญาณของหงจัวถูกกักขังอยู่ เขากำลังดิ้นรนและคำรามอย่างบ้าคลั่งด้วยรูปลักษณ์ที่น่าสังเวชเป็นอย่างยิ่ง
นายน้อยโจวดูเหมือนจะจำฉากที่น่ากลัวบางอย่างได้เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ทำให้เขาดูอยากจะอาเจียนออกมา แต่ก็ไม่สามารถอาเจียนได้อยู่เป็นเวลานาน ก่อนที่จะกล่าวไม่กี่คำออกมา “สหายคนนี้ช่างอำมหิตนัก ข้าไม่อยากเห็นว่าเขาทรมานคนอื่นอย่างไรอีก แม้ว่าข้าจะต้องตายก็ตาม”
หวงฝู่ฉิงอิงตกตะลึงทันที การที่สามารถทำให้นายน้อยโจวรู้สึกขยะแขยงได้ถึงขนาดนี้ จึงเห็นได้ว่าวิธีการทรมานของจ้าวชิงเหอนั้นโหดร้ายและวิปริตถึงเพียงใด
เฉินซีไม่ได้ใส่ใจสิ่งเหล่านี้ เขาเพียงแนะนำว่า “การปล่อยให้แก่นวิญญาณของมันคงอยู่ เพียงเพื่อต้องการให้มันทนทุกข์ทรมานอยู่ตลอดเวลานั้น แท้จริงแล้ว กลับทำให้มันมีโอกาสรอดชีวิต แล้วจะเกิดสิ่งใดขึ้นถ้าแก่นวิญญาณของมันได้รับการช่วยเหลือ มันก็จะสามารถยึดร่างของผู้อื่นเพื่อเกิดใหม่ได้อีกครั้ง”
จ้าวชิงเหอตกตะลึง ก่อนจะพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย ข้าจะฆ่ามันทันที”
เฉินซีส่ายศีรษะและกล่าวว่า “ช้าก่อน ถ้าเจ้ายังรู้สึกว่ายังระบายโทสะไม่สาแก่ใจ ก็จงให้แก่นวิญญาณของมันเข้ายึดร่างของสัตว์ แล้วก็กำจัดสติสัมปชัญญะของมันไปซะ นี่ไม่ใช่เรื่องดีหรอกหรือที่จะทำให้มันกลายเป็นสัตว์ไปตลอดชีวิตจนกว่ามันจะตายไปเสียเอง”
“ทำให้องค์รัชทายาทผู้สูงส่งแห่งราชวงศ์ต้าเฉียนต้องยึดร่างของสัตว์และไม่มีสติสัมปชัญญะใด ๆ…” หวงฝู่ฉิงอิงกับนายน้อยโจวอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านพร้อมกันเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ซึ่งตอนนี้พวกเขาก็ตระหนักได้ว่า ในแง่ของทักษะการทรมานนั้น เฉินซีกลับโหดเหี้ยมและน่ากลัวยิ่งกว่าจ้าวชิงเหอเสียอีก!
อย่างไรก็ตาม คำแนะนำนี้กลับทำให้จ้าวชิงเหอยิ้มด้วยความพึงพอใจแทน และเขาก็พุ่งตรงไปที่หุบเขาทันที ผ่านไปไม่นาน เขาก็กลับมาพร้อมกับสัตว์อสูรที่น้ำลายไหลออกมาตลอดเวลา
สัตว์อสูรที่น้ำลายไหลนั้น มีรูปร่างที่หน้าตาอัปลักษณ์ ร่างกายของมันอ้วนท้วมและมีปากกว้างที่เต็มไปด้วยฟันที่ยื่นออกมา ทั้งตัวของมันปล่อยเมือกที่เหม็นมากออกมา ทำให้มันดูน่าขยะแขยงเป็นอย่างยิ่ง มันเป็นสัตว์อสูรชนิดหนึ่งที่พบได้ทั่วไปในสมรภูมิบรรพกาล และแม้ว่ามันจะอ่อนแอ แต่ก็ไม่มีใครคิดจะยุ่งเกี่ยวกับมัน เนื่องจากกลิ่นที่รุนแรงเป็นอย่างมาก อีกทั้งตัวมันก็ไม่มีส่วนใดที่เป็นประโยชน์ แม้แต่เนื้อของมันก็มีกลิ่นที่เลวร้ายจนอาจทำให้คนถึงตายได้
เห็นได้ชัดว่าจ้าวชิงเหอได้ผนึกแก่นวิญญาณของหงจัวไว้ภายในร่างกายของสัตว์อสูรตัวนี้ก่อนที่จะกำจัดสติสัมปชัญญะของมัน ทำให้มันดูโง่เง่า อีกทั้งยังไม่สามารถจดจำเฉินซีและคนอื่น ๆ ได้โดยสิ้นเชิง
หวงฝู่ฉิงอิงและนายน้อยโจวอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านอีกครั้งเมื่อเห็นฉากนี้ และรู้สึกยินดีที่ไม่ได้เป็นศัตรูกับเฉินซีและจ้าวชิงเหอ มิฉะนั้น มันคงจะน่าสยดสยองเกินไป
…
เนื่องจากกังวลต่อความปลอดภัยของเจิ้นหลิวชิงและชิงซิ่วอี้ เฉินซีกับคนอื่น ๆ จึงไม่ได้รั้งอยู่ที่นี่ต่อไป จากนั้นพวกเขาก็พุ่งขึ้นไปในอากาศก่อนที่จะบินไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ
ในระหว่างทาง เมื่อเฉินซีรู้ว่าจ้าวชิงเหอถูกหงจัวและคนอื่น ๆ ซุ่มโจมตีในขณะที่มาช่วยเขา เขาก็รู้สะเทือนใจเป็นอย่างมาก และไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า สหายคนนี้ที่ภายนอกดูเย็นชาราวกับก้อนหิน จะเป็นคนที่มากน้ำใจและอบอุ่นได้ถึงขนาดนี้
ยิ่งเมื่อได้รู้ว่าลู่เซียวที่มาช่วยเขากลับต้องเสียชีวิตลง อีกทั้งยังล้มตายภายใต้เงื้อมมือของหวงฝู่ฉางเทียน สีหน้าของเฉินซีก็มืดมนลงทันที เขาทั้งรู้สึกผิดและโกรธแค้นอยู่ในใจ นอกจากนี้ ความรู้สึกซับซ้อนอย่างยิ่งยวดยังเกือบทำให้เขาไม่อาจยับยั้งเจตนาฆ่าได้
หวงฝู่ฉิงอิงกับนายน้อยโจวต่างก็โกรธแค้นเช่นกัน เนื่องจากพวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า หวงฝู่ฉางเทียนจะสมคบคิดกับศัตรูและร่วมมือกันเพื่อทำร้ายสหายของพวกเขา การกระทำที่น่ารังเกียจและไร้ยางอายเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ไม่น่าให้อภัยและสมควรตาย!
“จริงสิ ข้าลืมบอกบางอย่างไป หลังจากที่หวงฝู่ฉางเทียนฆ่าลู่เซียว หงจัวก็ส่งเขาไปรวมตัวกับผู้บ่มเพาะของราชวงศ์ต้าเสวียน เนื่องจากพวกเขาตั้งใจใช้แผ่นหยกเพื่อทำร้ายผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ จากราชวงศ์ซ่งของเรา” จู่ ๆ จ้าวชิงเหอก็ดูเหมือนจะนึกถึงบางสิ่งได้ ใบหน้าของเขาก็เคร่งขรึมและกล่าวอย่างเร่งรีบ
“เจ้าว่ากระไรนะ? เขาฆ่าลู่เซียวไปแล้วยังไม่พอ แต่ยังต้องการทำร้ายคนอื่นด้วยหรือ?”ดวงตาของ หวงฝู่ฉิงอิงเบิกกว้าง และโกรธเสียจนร่างกายสั่นสะท้าน เพราะนางไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าคนผู้นี้จะน่ารังเกียจได้ถึงขนาดนี้
“ไอ้สารเลวนั่นสมควรตายจริง ๆ! มันคิดว่าตัวเองจะทำสิ่งใดก็ได้เพียงเพราะมีราชวงศ์ระดับสูงหนุนหลังอย่างนั้นหรือ?” นายน้อยโจวกัดฟันในขณะที่กล่าวว่า “หากข่าวนี้ถูกส่งกลับไปยังราชวงศ์ซ่ง ตำหนักจ้าวปัญญาจะกลายเป็นศัตรูต่อโลกแห่งการบ่มเพาะทั้งหมดภายในวันเดียว และการทำลายตำหนักจ้าวปัญญาจะเป็นการปล่อยพวกมันไปอย่างง่ายดายเท่านั้น”
“พี่จ้าว เจ้ารู้หรือไม่ว่าหวงฝู่ฉางเทียนนั้นอยู่ที่ใด” เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ในขณะที่เขาพยายามสงบสติอารมณ์ เพราะรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะโกรธเคืองในตอนนี้ อีกทั้งเรื่องเร่งด่วนที่สุดก็คือการค้นหาที่อยู่ของหวงฝู่ฉางเทียนและกำจัดคนทรยศไปซะ
จ้าวชิงเหอขมวดคิ้วและครุ่นคิดเป็นเวลานานก่อนที่เขาจะกล่าวว่า “เหลือเวลาอีกไม่ถึงสามเดือนที่การทดสอบขั้นสุดท้ายของสมรภูมิบรรพกาลจะเริ่มขึ้น ดังนั้นผู้บ่มเพาะของราชวงศ์ต้าเสวียนคงจะเร่งรุดไปที่เมืองบรรพกาลอย่างแน่นอน ถ้าการคาดเดาของข้าไม่ผิดพลาด หวงฝู่ฉางเทียนอาจจะไปที่นั่นแล้ว”
“เมืองบรรพกาล?” เฉินซีพึมพำกับตัวเอง เขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงชิงซิ่วอี้กับเจิ้นหลิวชิง ทำให้หัวใจของเขารู้สึกหนักอึ้ง
“ภัยพิบัติมักไม่มาเพียงลำพัง ชิงซิ่วอี้กับเจิ้นหลิวชิงได้เข้าร่วมกับศิษย์ของตระกูลอันทรงเกียรติจากอาณาจักรโบราณและไม่อาจทราบชะตากรรมของพวกนางได้ ตอนนี้คนทรยศเช่นหวงฝู่ฉางเทียนได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว สถานการณ์นั้นร้ายแรงกว่าที่ข้าคาดไว้อย่างไม่ต้องสงสัย”
“ไปกันเถอะ เราจะรีบไปที่เมืองบรรพกาลด้วยความเร็วเต็มที่!” หลังจากครุ่นคิดอยู่เงียบ ๆ เป็นเวลานาน เฉินซีก็ตระหนักได้ว่า หากเขาต้องการแก้ปัญหาทุกอย่าง เขาต้องรีบไปที่เมืองบรรพกาลเสียก่อน
…
สถานที่แห่งนี้เป็นที่ราบกว้างใหญ่และแห้งแล้ง ซึ่งบนพื้นปกคลุมไปด้วยหินสีน้ำตาล และตรงกลางมีค่ายกลหินที่เปล่งแสงจาง ๆ
ค่ายกลหินนี้ครอบคลุมพื้นที่เพียงสิบสองจั้ง พื้นผิวของมันถูกจารึกด้วยอักขระยันต์ที่หนาแน่นและซับซ้อนนับไม่ถ้วน เมื่อถูกอาบด้วยแสงจาง ๆ มันได้ปล่อยคลื่นมิติผันผวนอันแปลกประหลาดออกมา ซึ่งทำให้มิติโดยรอบดูเหมือนบิดเบี้ยว
นี่คือค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติโบราณที่จะนำไปสู่เมืองบรรพกาล และมีเพียงผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติเท่านั้น ที่จะสามารถต้านทานคลื่นมิติผันผวนของค่ายกลและสามารถเคลื่อนย้ายไปยังเมืองบรรพกาลได้ทันที
สำหรับคนที่มีฐานการบ่มเพาะต่ำกว่าขอบเขตจุติ ทันทีที่ก้าวเท้าไปใกล้ค่ายกล ร่างกายของพวกเขาจะถูกบดขยี้ด้วยพลังจากคลื่นมิติผันผวน และแทบไม่มีโอกาสที่จะมีชีวิตรอด
ในขณะนี้ มีกลุ่มผู้บ่มเพาะสองสามกลุ่มกำลังเข้าสู่ค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ และด้วยการสั่นสะเทือนของอักขระยันต์ มันได้เคลื่อนย้ายผู้บ่มเพาะกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าไปยังเมืองบรรพกาล
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
คลื่นเสียงของท้องฟ้าที่ถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ ดังขึ้น ในขณะที่เฉินซี หวงฝู่ฉิงอิง นายน้อยโจวและจ้าวชิงเหอได้ปรากฏกายขึ้นบนท้องฟ้าที่ห่างจากค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติเพียงหกลี้
“นี่คือค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติหรือ? มันประกอบด้วยมหาเต๋าแห่งมิติ และมีเพียงเซียนค่ายกลยันต์อักขระที่มีฐานการบ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีเท่านั้น จึงจะสามารถสร้างมันขึ้นมาได้…”
เฉินซีจ้องมองไปที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ และความรู้อยากเห็นอย่างมากมายได้ผุดขึ้นในใจของเขา
เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติมาก่อน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นมันด้วยสองตาของเขาเอง
“เอ๊ะ เฉินซี? พวกเจ้าทุกคนก็อยู่ที่นี่เช่นกัน!” ในตอนที่เฉินซีกำลังตรวจสอบค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ มีลำแสงหลายสายปรากฏขึ้นจากระยะไกลอีกครั้ง และหนึ่งในลำแสงเหล่านั้นก็อดไม่ได้ที่จะร้องออกมาด้วยความประหลาดใจเมื่อสังเกตเห็นเฉินซีและคนอื่น ๆ