บทที่ 495 ร่างมารวิบัติ
บทที่ 495 ร่างมารวิบัติ
หากอยากผ่านประตูเมืองเข้าไป ทุกคนต้องจ่ายสิ่งของที่มีมูลค่าไม่ต่ำกว่าสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ขั้นสุดยอดอย่างนั้นหรือ?
เมื่อมองศิษย์ตระกูลซางจำนวนมากที่คุมประตูเมืองอยู่ คนทั้งหลายก็เดือดดาลขึ้นมา ทุกคนเองก็เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์จากราชวงศ์ต่าง ๆ มาเจอค่าผ่านทางที่ราวกับถูกปล้นเช่นนี้ย่อมต้องรู้สึกไม่ชอบใจ
“เมืองบรรพกาลไม่ได้เป็นของผู้ใด แต่พวกเจ้ากลับคุมประตูเมืองไว้และบังคับจะเอาสมบัติเป็นค่าผ่านทางหรือ? ไม่เกินไปหน่อยหรือไร?!”
“ไม่คิดเลยว่าคนจากตระกูลอันทรงเกียรติแห่งอาณาจักรโบราณจะกระทำการเยี่ยงโจรเช่นนี้ ข้าล่ะอับอายแทนบรรพบุรุษของเจ้าจริง ๆ”
บางคนก็อดกล่าวเย้ยหยันไม่ได้ สมบัติวิเศษระดับสวรรค์ขั้นสุดยอดย่อมไม่ใช่ของหายากสำหรับพวกเขา แต่การกระทำเช่นนี้ทำให้พวกเขารับไม่ได้ คนเราเกิดมาก็ต้องสู้คน ไม่มีใครเต็มใจถูกปล้นสมบัติเช่นนี้หรอก
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
ทว่าเมื่อทุกคนไม่ยอมทำตาม ก็มีบางสิ่งถูกโยนข้ามกำแพงเมืองมา มันร่วงลงเสียงหนัก ก้อนฝุ่นกระจายทั่ว ทั้งยังมีเลือดกระเซ็นออกมา เสียงกระดูกหักดังลั่นให้ได้ยิน
เมื่อทุกคนมองแล้วก็หรี่ตาลงในพลัน เป็นศพชุ่มเลือดนั่นเอง!
“คนผู้นี้ชื่ออู๋โหยวมาจากราชวงศ์อวิ๋นหลิง ก่อนหน้านี้เขาไม่ยอมจ่ายค่าผ่านทางจึงต้องพบจุดจบเช่นนี้ หากพวกเจ้าไม่ยอมก็ลองดูแล้วกัน” น้ำเสียงเย่อหยิ่งเยียบเย็นดังขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเผยเจตนาฆ่าอันน่าสะพรึงและเต็มไปด้วยกลิ่นอายข่มขู่
ทุกอย่างจึงหยุดนิ่งเมื่อทุกคนเห็นภาพนี้ ศพบนพื้นคือผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นก็คงมาถึงเมืองบรรพกาลไม่ได้ ทว่าตอนนี้คนผู้นั้นกลับมีร่างผิดรูป กลายเป็นศพเย็นชืดไปแล้ว ทำให้ทุกคนตระหนักรู้ถึงบางอย่าง
ที่นี่คือสมรภูมิบรรพกาลซึ่งไร้กฎเกณฑ์ใด หากอยากเอาชีวิตรอดก็ต้องแข็งแกร่ง พูดง่าย ๆ คือใครที่มีพละกำลังมากที่สุดก็เป็นฝ่ายคุมอำนาจไป
“ช่างมันเถอะ ซางผิง ให้พวกเขาเข้ามา วันนี้นายน้อยพบเรื่องน่ายินดี ทำให้อารมณ์ดียิ่งนัก จะให้เห็นฉากสังหารไม่ได้” จังหวะนั้นเองที่มีน้ำเสียงเฉียบคมทว่าเยือกเย็นดังขึ้น ในน้ำเสียงมีปราณแท้เจืออยู่ มันดังมาจากภายในประตูเมืองราวกับสายฟ้าซัดลงมาจนปวดหูไปหมด
อีกทั้งเมื่อเสียงนี้ดังขึ้นมา ก็มีแรงกดดันหนาแน่นแผ่ออกมาด้วย เป็นแรงกดดันที่วนเวียนไม่รู้จบ ทำให้ทุกคนในที่แห่งนี้พากันหน้าซีด
“ขอบเขตจุติระดับห้าหรือ?!”
ทุกคนตื่นตะลึง เพราะมีเพียงขอบเขตจุติระดับห้าเท่านั้นที่จะสามารถโคจรกลิ่นอายออกมากดดันคนอื่นได้อย่างไม่รู้จบเช่นนี้ หรือก็คือคนที่กล่าวคำเมื่อครู่อย่างน้อยก็มีพละกำลังอยู่ที่ขอบเขตจุติระดับห้าแล้ว!
เฉินซีหรี่ตาลงเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่านอกจากซางคุนแล้วจะยังมีคนตระกูลซางที่มีฐานการบ่มเพาะอยู่ขอบเขตจุติระดับห้าอีก
“ตระกูลอันทรงเกียรติจากอาณาจักรโบราณเป็นไปอย่างที่คิดจริง ๆ พลังบ่มเพาะเช่นนั้นสามารถบดขยี้ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่เข้าสู่เมืองบรรพกาลส่วนมากได้ด้วยซ้ำ ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดพวกเขาจึงกล้ายึดประตูเมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือ” หวงฝู่ฉิงอิงพึมพำ ขณะลอบส่งสายตามองเฉินซี
ชายหนุ่มคลี่ยิ้มและส่งสายตากลับไปเป็นเชิงบอกให้นางวางใจ เพราะเขารู้ดีว่านางกังวลสิ่งใด ตอนนี้ชิงซิ่วอี้กับเจิ้นหลิวชิงอยู่กับคนตระกูลซาง สถานการณ์ไม่ดีเท่าไรนัก หากอยากจะช่วยเหลือทั้งสองคน ก็คงเลี่ยงการต่อสู้กับคนตระกูลซางไม่ได้
แล้วเมื่อตอนนี้ได้เห็นฝีมือของคนตระกูลซางกับตาแล้ว ก็ไม่แปลกที่องค์หญิงน้อยจะเครียด
“พี่ซางเชวี่ย นายน้อยทำสำเร็จแล้วหรือ?” หลังจากศิษย์ตระกูลซางที่อยู่บนกำแพงเมืองได้ยินเสียงนั้น ก็ดูมีกำลังใจขึ้น มีคนหนึ่งอดถามขึ้นไม่ได้
“เหลือขั้นตอนสุดท้ายเท่านั้น ใช่แล้ว เฝ้าประตูเมืองให้ดีล่ะ ถึงจะเอาสมบัติจากพวกราชวงศ์ระดับต่ำมาไม่ได้ แต่ก็ต้องใส่ใจกับคำสั่งของนายน้อยด้วย” คนที่ชื่อซางเชวี่ยสั่ง ก่อนน้ำเสียงจะเลือนหายไปจากด้านหลังประตูเมืองทันที
ซางผิง ผู้เป็นเจ้าของน้ำเสียงเย่อหยิ่งเมื่อครู่อยู่ในชุดที่ดูพลิ้วไหว หน้าตาของเขาหล่อเหลา ทว่าดวงตารูปสามเหลี่ยมคู่นั้นทำให้ชายหนุ่มดูมืดมนระคนเจ้าเล่ห์
เมื่อได้คำสั่งจากซางเชวี่ยแล้ว ดวงตาคู่นั้นพลันเกิดประกายไฟ เขากวาดตามองทุกคนที่อยู่นอกประตูเมืองแล้วยิ้มแสยะให้ “ทุกคนโชคดีจริง ๆ มาถึงวันที่นายน้อยพบเรื่องยินดี ฉะนั้นข้าจะไม่เก็บสมบัติเป็นค่าผ่านทางแล้ว”
ทุกคนมีสีหน้าดีขึ้นทันที พวกที่รอไม่ไหวก็เดินตรงไปที่ประตูเมือง ไม่นานก็เดินหายไปแล้ว
เมื่อเห็นว่ามีคนเข้าเมืองไปได้อย่างปลอดภัย โดยไม่ได้ถูกคนตระกูลซางขวางไว้แต่อย่างไร ทุกคนจึงรู้สึกวางใจขึ้นมาและมุ่งหน้าสู่ประตูเมืองเช่นกัน
“ทุกคนโปรดหยุดก่อน!” ทว่าเมื่อเฉินซีกับคนอื่น ๆ กำลังเดินตามหลังหลิงเจ๋อไปทางประตูเมือง พวกเขากลับถูกขวางไว้
หลิงเจ๋อมุ่นคิ้วขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “อะไรกัน? จะหยุดข้าอย่างนั้นหรือ?”
“อ้อ เป็นสหายเต๋าหลิงเจ๋อจากราชวงศ์ต้าถังนี่เอง ช่างเป็นแขกที่หาได้ยากเสียจริง ราชวงศ์ต้าถังของเจ้าคุมประตูเมืองตะวันออกเฉียงใต้ แล้วเจ้าจะมาถิ่นพวกข้าตระกูลซางเพื่ออะไร?” ซางผิงเหลือบมองหลิงเจ๋อเล็กน้อย ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงสบายอารมณ์
ว่าแล้วเขาก็กวาดสายตามองไปยังเฉินซี แววตาของคนผู้นี้ก็ตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อยจนแทบสัมผัสไม่ได้
แม้จะปิดบังเอาไว้ข้างในแล้ว ทว่าชายหนุ่มก็ยังคงเห็นมันอยู่ดี ภายในใจรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาไม่ได้ หรือคนผู้นี้จะได้รับคำสั่งให้จัดการกับข้ากันนะ?
“ฮึ่ม! ตัวข้าหลิงเจ๋อจำเป็นต้องรายงานเจ้าหรือว่าข้าไปไหนมาไหน?” หลิงเจ๋อหรี่ตาลงแล้วเอ่ยเสียงเย็น “หากไม่มีเรื่องอื่นแล้วก็ถอยไปเถอะ”
ซางผิงยิ้มอย่างไม่สนใจ จากนั้นกวาดสายตามองหวงฝู่ฉิงอิง นายน้อยโจว และคนอื่น ๆ ก่อนจะพลันถามขึ้นว่า “คนเหล่านี้คือคนจากราชวงศ์ซ่งกระมัง?”
หวงฝู่ฉิงอิงและคนอื่น ๆ ชะงักไปเล็กน้อย ไม่คิดว่าจู่ ๆ อีกฝ่ายจะรู้ตัวตนของพวกเขาแล้ว
“ไปกันเถอะ” หลิงเจ๋อเองก็เหมือนจะจับทางได้ จึงส่งสัญญาณให้หวงฝู่ฉิงอิงและคนอื่น ๆ ทางสายตา ก่อนจะหันไปและมุ่งหน้าสู่ประตูเมือง
คนอื่นก็รู้สึกได้เช่นกันว่าบรรยากาศดูประหลาดพิกล พวกเขาเดินตามหลังหลิงเจ๋อเข้าไปในประตูเมืองทันที
…
“ในที่สุดเด็กคนนี้ก็ปรากฏตัวขึ้นสักที!” หลังจากส่งเฉินซีและคนอื่น ๆ เข้าเมืองทางสายตา ก่อนที่คนทั้งหมดจะเดินลับตาไป ซางผิงก็ไม่อาจเก็บความตื่นเต้นยินดีเอาไว้ภายในได้อีกต่อไป จากนั้นก็ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงยินดี
“เขาคือเฉินซีหรือ?” คนข้าง ๆ ผู้หนึ่งถามขึ้นด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
“ใช่แล้ว ผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะที่เอาชนะทัณฑ์สวรรค์วิหคอมตะแห่งการจุติมาได้ น่าเสียดายที่คงอยู่ได้อีกไม่กี่วัน” ซางผิงถอนหายใจด้วยความเสียดาย แล้วออกคำสั่งว่า “ไปรายงานเรื่องนี้ให้นายน้อยทราบเสีย ท่านรอเขามานานแล้ว”
“ขอรับ”
…
เมืองบรรพกาล เป็นเมืองโบราณที่ตั้งตระหง่านอยู่มานานนับหลายชั่วอายุคน
เมืองที่เคยเจริญรุ่งเรืองถูกแบ่งออกเป็นแปดประตูเมือง โดยแยกเป็นแปดทิศนับตั้งแต่ก่อสร้างขึ้น ดังนั้นมันจึงมีอีกชื่อว่าเมืองแปดทิศ โดยนำมาจากไตรลักษณ์ทั้งแปดที่กล่าวถึงการเชื่อมแปดทิศเข้าด้วยกันเพื่อครอบครองโลก
ภายในตัวเมือง พื้นถนนถูกสร้างขึ้นจากหินขนาดใหญ่ ทั้งกว้างใหญ่และมั่นคงแข็งแรง เรียงตัวเป็นระเบียบเรียบร้อย นำไปสู่เส้นทางต่าง ๆ ศาลาสูงหลากหลายรูปแบบตั้งอยู่ทั่วเมือง แม้จะผ่านกาลเวลามานานหลายปี แต่ชั้นทั้งหลายของศาลาเหล่านั้นก็ยังปลดปล่อยกลิ่นอายโบราณออกมา
ยังมีตึกแห่งหนึ่งสูงเด่นเป็นสง่าตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นเหมือนพระราชวังที่ดูตระการตายิ่งนัก
ที่นั่นคือที่พักของศิษย์ตระกูลซางแห่งเมืองบรรพกาล
ตอนนี้มีชายหนุ่มสวมชุดสีเขียว เรือนผมสีแดง ยืนหลังตรงอยู่ภายในวังนั้น เขามีผิวขาวดั่งหยก มีหน้าตาหล่อเหลา ทว่าดวงตากลับเจือแสงสีน้ำเงิน ขณะปลดปล่อยกลิ่นอายมารออกมาจาง ๆ
“ในหมู่ประตูเมืองทั้งแปดของเมืองบรรพกาล สามราชวงศ์ระดับสูงสุด ราชวงศ์ต้าถัง ราชวงศ์ต้าฮั่น และราชวงศ์ต้าโจวต่างคุมอย่างละหนึ่ง ตระกูลซางแห่งแคว้นลั่วเหอของเรา ตระกูลเซวีย และตระกูลเฟิงเองก็คุมคนละด้านเช่นกัน ที่เหลืออยู่สองประตูก็ตกเป็นของราชวงศ์ระดับสูงแห่งอื่น” ด้านข้างชายชุดเขียวผมสีแดง คือชายหนุ่มที่มีสีหน้าเรียบเฉย ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเคารพนอบน้อม น้ำเสียงเฉียบคมเอ่ยขึ้นช้า ๆ ว่า “เท่าที่ข้าประเมินดู คนจากราชวงศ์ระดับสูงพวกนั้นไม่นับเป็นอะไรในการทดสอบครั้งสุดท้าย ที่เราต้องคอยระวังคือพวกสามราชวงศ์ระดับสูงสุดและ…”
ชายขุดเขียวผมแดงพลันเอ่ยขัด “ซางเชวี่ย การสื่อสารระหว่างตระกูลเซวียกับตระกูลเฟิงเป็นอย่างไรบ้าง? พวกเขายอมร่วมมือเป็นพันธมิตรกับตระกูลซางของข้าเพื่อต่อต้านสามราชวงศ์ระดับสูงสุดหรือไม่?”
“เรื่องนั้น…” ซางเชวี่ยลังเลเล็กน้อยก่อนตอบ “ตระกูลเซวียกับตระกูลเฟิงยังปรึกษากันอยู่และยังไม่ได้ให้คำตอบเราขอรับ”
“ฮึ่ม! ปรึกษาอะไรกัน? ไร้สาระสิ้นดี! พวกนั้นไม่เต็มใจจะร่วมมือกับตระกูลซางของเราต่างหาก” ชายชุดเขียวผมแดงว่าด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ช่างเถอะ! หลังจากข้าชิงพลังบ่มเพาะจากสตรีทั้งสองคนนั้นมาได้เมื่อใด ข้าก็จะสามารถบรรลุสู่ขอบเขตจุติขั้นสมบูรณ์ได้ ถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องการพันธมิตรอะไรแล้ว แล้วข้าก็จะ…กลืนอำนาจพวกมันไปเสีย!”
“นายน้อยช่างกล้าหาญและมีใจเด็ดเดี่ยวนัก!” ซางเชวี่ยรีบเอ่ยชม
ชายผมแดงในชุดเขียวยิ้มบาง ๆ จากนั้นจึงมุ่นคิ้ว “แต่ปัญหาเดียวคือชิงซิ่วอี้กับเจิ้นหลิวชิงกำลังตกหลุมรักคนคนหนึ่งอย่างลึกล้ำ หากไม่สามารถสังหารเจ้าของหัวใจนั่นได้ ก็ไม่สามารถทำลายเกราะป้องกันจิตของพวกนางได้ เพื่อทำให้ทั้งสองคนกลายมาเป็นภาชนะให้ข้าใช้บ่มเพาะพลังได้ ช่างน่ารำคาญเสียจริง”
“นายน้อย สตรีทั้งสองคนนั้นมีประโยชน์มากขนาดนั้นเชียวหรือขอรับ?” ซางเชวี่ยถามอย่างระมัดระวัง
“แน่นอน” เมื่อเอ่ยถึงพวกนาง ชายผมแดงในชุดเขียวก็ดูตื่นเต้นนัก “คนหนึ่งเป็นร่างจุติเซียนสวรรค์ที่เชี่ยวชาญเคล็ดวิชาเกี่ยวกับแสง อีกคนมีร่างวิญญาณวารีบรรพกาลผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับความมืด เหมือนเป็นฝาแฝดนั่นล่ะ หากข้าสามารถดูดกลืนพลังบ่มเพาะของพวกนางมาได้ทั้งหมด ก็จะสามารถฝึกเคล็ดวิชาเทพธิดาประทานพรและได้ร่างมารวิบัติมา ถึงตอนนั้นยังจะมีใครในสมรภูมิบรรพกาลเทียบเคียงข้าได้อีก?”
“ร่างมารวิบัติ!” ซางเชวี่ยร้องขึ้นมาด้วยความตกใจ “ไม่ใช่ว่าวิชานี้หายไปตั้งแต่ยุคโบราณแล้วหรือขอรับ? เหตุใดจึงยังคงอยู่ในใต้หล้านี้ได้? นี่มัน… ปาฏิหาริย์จริงเชียว!”
“ฮ่า ๆๆ…” ชายคนนั้นถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะ “ปาฏิหาริย์หรือ? ข้า ซางคุนคือผู้สร้างปาฏิหาริย์นั้น แล้วยังจะมีสิ่งใดที่ข้าทำไม่ได้อีก?”