บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 497 ทำลายสถิติ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 497 ทำลายสถิติ

บทที่ 497 ทำลายสถิติ

ศิลาจารึกวิญญาณแห่งการต่อสู้ของจักรพรรดิสงครามมีความสูงถึงหกลี้ดุจภูเขาสูงชันตั้งตระหง่าน มันเปล่งแสงแวววาววิจิตรตระการตา อีกทั้งยังมีคลื่นพลังที่น่าสะพรึงกลัวขยายออกไปโดยรอบ และเกิดเป็นแรงกดดันอันแรงกล้าที่เข้าสู่จิตวิญญาณของผู้คนโดยตรง ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว

เมื่อเฉินซีและคนอื่น ๆ มาถึงที่เบื้องหน้าศิลาจารึก ก็มีคนมากมายรายล้อมมันอยู่

เหล่าผู้บ่มเพาะที่เข้าสู่สมรภูมิบรรพกาลในครั้งนี้ มีจำนวนนับร้อยนับพันคน และแม้ว่าจะเป็นส่วนน้อยที่สามารถสู่เมืองบรรพกาลได้ แต่เมื่อรวมทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้ว จำนวนของพวกเขาก็ยังมากถึงเกือบพันคน

ซึ่งยังไม่รวมผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตจุติที่ยังมาไม่ถึง

ในขณะนี้ มีผู้บ่มเพาะเกือบร้อยคนกำลังรวมตัวอยู่ที่ศิลาจารึก ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นจำนวนน้อย แต่เมื่อใครก็ตามที่ได้เห็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตจุติเกือบร้อยคนที่รวมตัวเป็นกลุ่มหนาแน่นเช่นนี้ พวกเขาย่อมรู้สึกได้ว่าภาพนี้งดงามเพียงใด

“หากข้าไม่ได้ออกมาจากแผ่นดินซ่ง มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับข้าที่จะจินตนาการได้ว่ามีผู้เยี่ยมยุทธ์มากมายอยู่ในโลกใบนี้และพวกเขาล้วนมีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา ซึ่งก็จริงตามคำกล่าวที่ว่า เหนือคนยังมีคน เหนือฟ้ายังมีฟ้า” นายน้อยโจวกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ขณะที่ถอนหายใจ

คนอื่น ๆ ก็เห็นด้วยเช่นกัน เพราะมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ยิ่งปีนขึ้นไปสูงและไปได้ไกลเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าโลกนี้ไม่เคยขาดคนที่เก่งกล้า หากเป็นคนที่ไม่รู้จักพัฒนาตัวเองและกลายเป็นคนหยิ่งยโสโอหัง คนคนนั้นก็คงไม่ต่างอะไรกับกบในบ่อน้ำที่ไม่รู้ว่าโลกใบนี้กว้างใหญ่เพียงใด

เฉินซียิ้มและเริ่มประเมินทุกคนที่อยู่รายล้อมศิลาจารึก เนื่องจากพวกเขาสามารถผ่านสมรภูมิบรรพกาลที่เต็มไปด้วยอันตรายมากมายจนกระทั่งมาถึงเมืองนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงน่าจะเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับแนวหน้าของราชวงศ์ต่าง ๆ

พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติ และส่วนใหญ่มีฐานการบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตจุติระดับที่หนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติระดับที่สองและระดับที่สาม แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติระดับที่สี่นั้นค่อนข้างหายาก

สำหรับผู้บ่มเพาะที่บรรลุขอบเขตจุติระดับที่ห้านั้น การดำรงอยู่ของพวกเขาอาจถือได้ว่าเป็นขนวิหคเขากิเลน ซึ่งมีจำนวนน้อยจนสามารถนับด้วยนิ้วมือได้

ในขณะที่สายตาของเฉินซีกวาดออกไปโดยรอบ จู่ ๆ ดวงตาของเขาก็พลันหรี่ลง เนื่องจากสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันแข็งแกร่งและอยู่ใกล้กับศิลาจารึกมาก

กลิ่นอายที่ดึงดูดความสนใจของเขามากที่สุดคือคนสองกลุ่ม

ที่ฝั่งตะวันออกมีคนประมาณห้าคนที่มีกลิ่นอายอันน่าเกรงขามและดูเหมือนว่าจะมีการบ่มเพาะในขอบเขตจุติระดับที่สี่ โดยเฉพาะชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงที่อยู่ตรงกลาง รูปร่างหน้าตาของเขาค่อนข้างหล่อเหลา สีหน้านั้นเยือกเย็นและไม่แยแส ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่เชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของตัวเองมาก

แต่เขาก็มีสิทธิ์ที่จะเย่อหยิ่ง เพราะสังเกตได้จากพลังชีวิตที่ไหลเวียนอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในร่างกายของเขา เห็นได้ชัดว่าการบ่มเพาะของเขาบรรลุขอบเขตจุติระดับที่ห้าแล้ว! แน่นอนว่ามันเป็นเพียงแค่การบ่มเพาะเท่านั้น เนื่องจากพลังต่อสู้ของเขายังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด

ทางด้านขวาของคนกลุ่มนี้คือกลุ่มคนที่คล้ายคลึงกันอีกกลุ่มหนึ่ง และทุกคนมีกลิ่นอายที่ไม่ด้อยกว่าชายหนุ่มในชุดสีม่วงเลย นอกจากนี้ หญิงสาวที่อยู่ตรงกลางของกลุ่มนี้ก็มีฐานการบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตจุติระดับที่ห้าเช่นเดียวกับชายหนุ่ม

แม้กระทั่งเมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงสาว ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงก็ดูเหมือนจะจืดจางลง ส่วนเหตุผลนั้นก็เรียบง่ายมาก นั่นเพราะว่ารูปลักษณ์ของหญิงสาวคนนี้งดงามเกินไป นางสวมเสื้อผ้าที่มีสีขาวราวกับหิมะในขณะที่ผมสีดำของนางสยายลงมาราวกับน้ำตก กอปรกับตอนที่นางขยับกาย เอวที่ผอมบางนั้นก็ขับเน้นส่วนโค้งที่งดงามและเย้ายวน

แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือนางเดินด้วยเท้าเปล่า นิ้วเท้าของนางสวยงามราวกับหยกขาว และมีเชือกสีแดงเส้นเล็กผูกอยู่ที่ข้อเท้า

ผิวที่ใสดุจผลึกแก้ว เมื่อรวมเข้ากับเชือกสีแดงเพลิงที่ข้อเท้า เสื้อผ้าสีขาวราวหิมะและผมสีดำขลับดั่งน้ำตก มันทำให้นางดูเหมือนเทพธิดาจากสรวงสวรรค์

สายตาหลายคู่ที่มองมายังหญิงสาวคนนี้ ได้เผยให้เห็นถึงความปรารถนาอันแรงกล้า

แต่นางกลับดูสงบนิ่งเมื่อเผชิญกับสายตาที่หลากหลายเหล่านี้ ดวงตาสีดำสนิทที่ใสดุจอัญมณีของนางจ้องมองเพียงพื้นผิวของศิลาจารึกและกะพริบเป็นบางครั้ง ซึ่งดูมีชีวิตชีวาอย่างยิ่งและมีร่องรอยของกลิ่นอายอันชาญฉลาด

เมื่อเผชิญกับหญิงสาวที่ไม่อาจควบคุมและมีนิสัยที่ไม่แยแส อีกทั้งยังมีร่องรอยของความมีชีวิตชีวา คงไม่มีใครทนทำร้ายนางได้

‘ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก! กองกำลังทั้งสองนี้เหนือกว่าราชวงศ์ระดับสูงอย่างราชวงศ์ต้าฉินและราชวงศ์ต้าจิ้นอย่างเห็นได้ชัด…’ เฉินซีกวาดสายตามองผ่านกองกำลังทั้งสองนี้และตกอยู่ในห้วงความคิด

“คนเหล่านี้เป็นศิษย์ของตระกูลเซวียแห่งแคว้นไฮวอินและชายที่เป็นผู้นำนั้นเรียกว่าเซวียหรานเฉิน เขาเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติระดับที่ห้า นิสัยของเขาเย็นชาและไร้ความปรานี อีกทั้งยังหยิ่งยโสเป็นอย่างมาก เช่นเดียวกับซางคุนของตระกูลซาง เขาเป็นผู้นำของตระกูลอันทรงเกียรติจากแคว้นโบราณ” หลิงเจ๋ออธิบายผ่านกระแสปราณจากทางด้านข้าง

“โอ้ เขาเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์จริง ๆ” เฉินซีพยักหน้า ไม่ว่าเซวียหรานเฉินจะทรงพลังเพียงใด มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องสนใจมากนัก

“หญิงสาวในชุดขาวคนนั้น มีนามว่าซูชิงเยียน นางเป็นผู้นำที่มาจากราชวงศ์ต้าฮั่น นิสัยของนางดีมาก ตราบใดที่ใครไม่ทำให้นางขุ่นเคือง นางก็จะไม่ริเริ่มหาเรื่องกับคนอื่นอย่างเด็ดขาด แน่นอนว่าหากใครตกเป็นเป้าหมายของนาง คนผู้นั้นก็จะมีจุดจบที่ไม่ดี” หลิงเจ๋อยิ้มและอธิบายต่อไป

“น่าสนใจ ด้านหนึ่งเป็นศิษย์ของตระกูลอันทรงเกียรติแห่งแคว้นโบราณ ในขณะที่อีกด้านหนึ่งเป็นผู้บ่มเพาะของราชวงศ์ระดับสูงสุด ข้าไม่เคยพบกองกำลังที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้มาก่อน แต่กลับได้พบมากมายในวันนี้ เมืองบรรพกาลสมควรเป็นสถานที่ที่เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์มารวมตัวกันจริง ๆ” เฉินซีค่อนข้างประหลาดใจในขณะที่เขากล่าว

เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสนใจ เพราะทั้งสองกลุ่มตรงหน้าเขามีความแข็งแกร่งที่ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งตัวเขาก็อยากรู้ว่าคนเหล่านี้จะได้อันดับใดในศิลาจารึกวิญญาณแห่งการต่อสู้ของจักรพรรดิสงคราม

“เอ๊ะ ดูนั่นสิ ชื่อของหวงฝู่ฉางเทียนและอวี๋เซวียนเฉินปรากฏอยู่บนแผ่นหิน พวกมันอยู่ในอันดับที่หกสิบเก้าและเจ็ดสิบสาม ดูเหมือนว่าพวกมันจะมาถึงเมืองบรรพกาลแล้วจริง ๆ” ในขณะนี้ นายน้อยโจวก็ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ

เฉินซีตกตะลึง จากนั้นเขาก็จ้องมองไปที่ศิลาจารึก เขาเห็นชื่อหลายร้อยชื่อเรียงรายกันอย่างหนาแน่นอยู่บนศิลาจารึก และชื่อที่อยู่ในอันดับต่ำกว่าย่อมหมายถึงความแข็งแกร่งที่ด้อยกว่า ส่วนชื่อที่อยู่ในอันดับสูงกว่า ย่อมหมายถึงความแข็งแกร่งก็จะยิ่งสูง

นอกจากนี้ ชื่อของหวงฝู่ฉางเทียนกับอวี๋เซวียนเฉินยังปรากฏอยู่ในหนึ่งร้อยอันดับแรก และทำให้เฉินซีเข้าใจได้ทันทีว่า คนทั้งสองไม่เพียงแต่ได้จะบรรลุขอบเขตจุติ แต่พวกเขาอาจได้รับโชคก้อนโตจากสมรภูมิบรรพกาล ทำให้พวกเขาสามารถติดหนึ่งในร้อยอันดับแรกได้

ในขณะที่สายตาของเขายังกวาดขึ้นไป จู่ ๆ ดวงตาของเฉินซีก็หรี่ลงทันทีและเผยให้เห็นร่องรอยของความยินดี เนื่องจากชื่อของฟ่านอวิ๋นหลานอยู่ในอันดับที่สามสิบสองอย่างน่าประทับใจ ซึ่งหมายความว่านางมาถึงเมืองบรรพกาลอย่างปลอดภัยแล้ว!

หากคำนวณอย่างรอบคอบแล้ว นอกจากลู่เซียวที่ถูกหวงฝู่ฉางเทียนสังหารไป ผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ของราชวงศ์ซ่งที่เข้าสู่สมรภูมิบรรพกาลในครั้งนี้ ก็ได้มาถึงเมืองบรรพกาลครบทุกคนแล้ว

หากเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ราชวงศ์ซ่งที่เป็นเพียงราชวงศ์ระดับกลางจะต้องรู้สึกภาคภูมิใจอย่างมาก เพราะการที่ผู้บ่มเพาะจากราชวงศ์ระดับกลางแห่งอื่นจะสามารถเข้าสู่เมืองบรรพกาลได้สักสองสามคนนั้น ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว

‘ข้าไม่รู้ว่าตอนนี้แม่นางฟ่านอยู่ที่ใด ข้าหวังว่านางจะไม่ถูกเจ้าคนทรยศหวงฝู่ฉางเทียนหลอกเอานะ…’ เฉินซีส่ายศีรษะและรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ในตอนนี้

“ช่างน่ากลัวเหลือเกิน! สามสิบอันดับแรกถูกครอบครองโดยผู้บ่มเพาะของสามราชวงศ์ระดับสูงสุดและตระกูลอันทรงเกียรติ” หวงฝู่ฉิงอิงกำลังดูการจัดอันดับบนศิลาจารึกเช่นกัน และนางก็เปล่งเสียงอุทานด้วยความชื่นชม

เฉินซีเงยหน้าขึ้นมอง เขาเห็นเพียงชื่อของหลิงเจ๋อที่อันดับที่ยี่สิบสี่และเขาจำชื่ออื่นไม่ได้

…ไม่สิ ยังมีบางชื่อที่เขาจำได้

ตัวอย่างเช่น ซางผิงที่เขาเคยพบตรงหน้าประตูเมืองก็อยู่ในอันดับที่ยี่สิบเก้า และซางเชวี่ยที่เขาเคยได้ยินเสียงแต่ไม่เคยเห็นใบหน้าก็อยู่ในอันดับที่ยี่สิบสอง ซึ่งสูงกว่าหลิงเจ๋อเพียงสองอันดับเท่านั้น

นอกจากนั้น เขาเห็นชื่อของซางคุนอยู่ในห้าอันดับแรก คนผู้นี้อยู่ในอันดับที่สี่ และเขาสามารถรับรู้จากสิ่งนี้ได้ว่าซางคุนนั้นแข็งแกร่งเพียงใด

เฉินซีขมวดคิ้วก่อนที่สีหน้าของเขาจะสงบลง ไม่ว่าซางคุนจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่สามารถเปลี่ยนปณิธานที่จะช่วยเหลือชิงซิ่วอี้และเจิ้นหลิวชิงได้ แม้ว่าจะต้องต่อสู้กับซางคุน เขาก็ไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย

แม้ว่าการบ่มเพาะของชายหนุ่มจะอยู่ที่ขอบเขตจุติระดับที่หนึ่งในตอนนี้ แต่เฉินซียังมีการขัดเกลากายา ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวคู่ต่อสู้คนใดเลย

“เฟิงเจี้ยนไป๋ หลี่เซียวอวิ๋น สวี่ลั่ว…” หลังจากที่เขาให้ความสนใจกับชื่อของสามอันดับแรกเป็นพิเศษ เฉินซีก็เบือนสายตาของตนออกไปและเริ่มประเมินผู้บ่มเพาะที่กำลังทดสอบความแข็งแกร่งของพวกเขาอยู่ในขณะนี้ ชายหนุ่มพบว่า ทุกครั้งที่ผู้บ่มเพาะทำการทดสอบเสร็จ ชื่อของพวกเขาจะปรากฏขึ้นบนศิลาจารึก แต่ชื่อเหล่านี้ส่วนใหญ่อยู่ในอันดับที่ต่ำกว่า และมีเพียงไม่กี่คนที่อยู่ในอันดับสูง

จู่ ๆ เฉินซีในขณะนี้ก็สังเกตเห็นว่า เซวียหรานเฉินได้เดินมาถึงหน้าศิลาจารึกแล้ว และเขาตั้งใจที่จะทดสอบความแข็งแกร่งของตนเอง

ในฐานะผู้นำของตระกูลเซวีย เซวียหรานเฉินดึงดูดสายตาของคนส่วนใหญ่ทันทีที่เขาปรากฏตัว

ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ที่สามารถเทียบได้กับเซวียหรานเฉินนั้น ต่างก็อยู่ในสิบอันดับแรก ทันทีที่เขาปรากฏตัวในเวลานี้ ผู้คนล้วนมั่นใจว่าอันดับของเขาจะต้องพุ่งเข้าสู่ยี่สิบอันดับแรกได้อย่างง่ายดาย แต่ผู้คนไม่มั่นใจว่าเขาจะสามารถติดอันดับหนึ่งในสิบได้หรือไม่

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนรอคอยมากที่สุด เพราะท้ายที่สุดแล้ว ชื่อทั้งสิบอันดับแรกที่แสดงอยู่บนศิลาจารึกนั้น ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาเป็นเวลานานมาก ดังนั้นการปรากฏตัวของเซวียหรานเฉินจะสามารถทำลายสถิตินี้ได้หรือไม่?

ภายใต้การจ้องมองของผู้คนที่อยู่ตรงนั้น สีหน้าของเซวียหรานเฉินยังคงเย็นชาเหมือนเคย เขามาถึงที่เบื้องหน้าศิลาจารึกแล้ว จากนั้นก็เหยียดมือขวาออกไปและกดเบา ๆ ไปที่พื้นผิวที่อาบไปด้วยแสงสีทองของศิลาจารึก

โอม!

ทันทีที่ฝ่ามือสัมผัสกับพื้นผิวของศิลาจารึก แสงสีทองสว่างไสวขนาดใหญ่ก็พุ่งออกมาอย่างรวดเร็วและปกคลุมร่างของเขาไว้ ทำให้เขาดูเหมือนเป็นเทพสงครามสีทอง

ในระหว่างที่แสงสีทองบังเกิดขึ้น แสงเรืองรองก็ปรากฏขึ้นบนศิลาจารึกพร้อมกัน และมันก็พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงจากด้านล่างของศิลาจารึก เพียงชั่วพริบตา มันก็พุ่งขึ้นสู่หนึ่งร้อยอันดับแรก!

นอกจากนี้ การเคลื่อนที่ของมันก็ไม่ได้ช้าลงเลยแม้แต่น้อย มันพุ่งผ่านห้าสิบอันดับแรก สามสิบอันดับแรก ยี่สิบอันดับแรก… เมื่อแสงเรืองแรงมาถึงตำแหน่งที่สิบห้าอันดับแรก ก็เกิดเสียงอุทานด้วยความตกใจ ดังก้องไปทั่วบริเวณโดยรอบ

เมื่อลำแสงนั้นพุ่งมาถึงตำแหน่งนี้ การเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วของมันก็แสดงสัญญาณของการชะลอตัว แต่หลังจากผ่านไปไม่กี่อึดใจ มันก็พุ่งเข้าสู่อันดับที่สิบเอ็ดแล้ว

ผู้คนส่วนใหญ่อดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่นเมื่อเห็นฉากนี้ อีกทั้งยังจ้องมองที่พื้นผิวของศิลาจารึกโดยไม่กะพริบตาและจดจ่อ เพราะพวกเขาเกรงว่าจะพลาดรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไป

อารมณ์ของเฉินซีค่อนข้างนิ่งสงบ เนื่องจากเขาสังเกตเห็นแล้วว่า หากไม่มีเหตุคาดฝันเกิดขึ้น เซวียหรานเฉินจะสามารถพุ่งเข้าสู่สิบอันดับแรกได้อย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายอาจมีโอกาสพุ่งเข้าสู่ห้าอันดับแรกเสียด้วยซ้ำ

แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปนี้ ก็ยืนยันว่าการคาดเดาของเฉินซีนั้นไม่ผิดพลาด

ไม่นานหลังจากนั้น แสงเรืองรองก็หยุดลง

“อันดับที่ห้า! เขาสามารถทำลายสถิติได้จริง ๆ !”

หลังจากบริเวณโดยรอบเงียบไปชั่วครู่ เสียงอุทานก็ดังก้องขึ้นมาอีกครั้ง!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท