บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 498 ปาฏิหาริย์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 498 ปาฏิหาริย์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

บทที่ 498 ปาฏิหาริย์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เมื่อผู้คนเห็นว่าชื่อของเซวียหรานเฉินได้หยุดอยู่ที่อันดับที่ห้าของศิลาจารึก ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความชื่นชม

ความแข็งแกร่งที่สามารถอยู่ในห้าอันดับแรกได้ ก็เพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจของทูตแห่งแดนภวังค์ทมิฬ

แต่เซวียหรานเฉินดูจะไม่พอใจนัก เขาขมวดคิ้ว ก่อนจะหันกลับมาและถอนตัวกลับไปที่ด้านข้าง ในขณะที่ร่องรอยความโศกเศร้าปรากฏขึ้นที่หว่างคิ้วของเขา เพราะเดิมทีชายหนุ่มคิดว่าเขาจะสามารถติดหนึ่งในสี่อันดับแรกได้ และอย่างน้อยก็เบียดซางคุนตกจากทำเนียบการจัดอันดับ แต่น่าเสียดายที่เขายังอยู่ห่างออกไปเพียงหนึ่งก้าวในตอนท้าย

“ข้าก็จะทดสอบเช่นกัน” เมื่อผู้คนอุทานด้วยความชื่นชมต่อการจัดอันดับของเซวียหรานเฉิน เสียงที่ชัดเจนและไพเราะก็ดังกังวานออกมา ซูชิงเยียนที่สวมชุดสีขาวกำลังเดินมาด้วยท่วงท่าสง่างาม ในขณะที่เสื้อผ้าของนางปลิวไสวไปมา และนางก็พลันมาถึงหน้าศิลาจารึกแล้ว

“แม่นางซู เจ้าคิดว่าตัวเองมีความสามารถเหนือกว่าข้าหรือไม่” เซวียหรานเฉินที่ถอนตัวกลับไปรู้สึกตกตะลึง จากนั้นเขาก็มองไปที่รูปร่างอันสง่างาม เพรียวบาง และงดงามของซูชิงเยียน เขาจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามอย่างเย็นชา

“แล้วเจ้าจะได้รู้ หลังจากที่ข้าลองแล้ว” ดวงตาที่ใสกระจ่างของซูชิงเยียนเป็นประกายขณะที่นางกะพริบตาและยิ้มบาง โดยไม่สนใจเจตนาเยาะเย้ยในคำพูดของเซวียหรานเฉินเลยสักนิด เพียงยื่นมือที่ขาวราวกับหิมะออกไป เพื่อกดเบา ๆ ลงบนศิลาจารึก

“ฮึ่ม!” เซวียหรานเฉินเม้มริมฝีปากและดูจะค่อนข้างเฉยเมย แต่สายตาของเขากลับจับจ้องไปยังศิลาจารึก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขากำลังกังวลว่าซูชิงเยียนอาจจะเหนือกว่าเขา

โอม!

ในขณะที่มือขาวของหญิงสาวเพิ่งสัมผัสบนพื้นผิวของศิลาจารึก แสงสีทองอร่ามก็พุ่งออกมาเช่นกัน มันปกคลุมร่างที่เพรียวบางและสง่างามของนางเอาไว้ จากนั้นดวงแสงก็พุ่งขึ้นจากด้านล่างของศิลาจารึกอย่างรวดเร็ว

ภายใต้การจ้องมองที่ตกตะลึงของทุกคนที่อยู่ที่นั่น แสงที่ส่องประกายแวววาวนั้นได้เคลื่อนตัวราวกับกระสุนและพุ่งผ่านรายชื่อไปมากมาย ในท้ายที่สุด มันก็หยุดอยู่ที่อันดับที่สี่ และผลักซางคุนจากตระกูลซางลงจากอันดับ

ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นผลให้อันดับของเซวียหรานเฉินลดลงเช่นกัน เขาถูกผลักออกจากห้าอันดับแรกและกลายเป็นอันดับที่หกแทน

“นายน้อยเซวีย เป็นการแข่งขันที่ดี” ซูชิงเยียนยิ้มขณะที่หันกลับมาและพยักหน้าให้เซวียหรานเฉิน

สีหน้าที่เย็นชาของเซวียหรานเฉินกลายเป็นเศร้าหมองในทันที เดิมที การที่เขาไม่สามารถเอาชนะซางคุนได้ ก็ทำให้เขารู้สึกไม่มีความสุขราวกับมีเข็มทิ่มแทงอยู่ในหัวใจ แต่การถูกซูชิงเยียนผลักลงมาจากห้าอันดับแรกในตอนนี้ มันส่งผลให้ชายหนุ่มรู้สึกหดหู่จนอยากจะหันหลังกลับและจากไปในบัดดล

“ซูชิงเยียนแห่งราชวงศ์ต้าฮั่นนั้นไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง…“ เฉินซีถอนหายใจด้วยความหนักอึ้ง และสิ่งนี้กระตุ้นความสนใจที่มีต่อศิลาจารึกของเขามากยิ่งขึ้น

การทดสอบพลังของซูชิงเยียนทำให้เกิดเสียงอุทานด้วยความชื่นชมอีกครั้ง หญิงสาวในสวมชุดสีขาวที่สวยงามและมีชีวิตชีวาคนนี้ คู่ควรกับการเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตจุติที่น่าจับตามอง เพราะนางประสบความสำเร็จเหนือว่าเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ในเมืองบรรพกาล

ในขณะเดียวกัน นอกจากจะมีสายตาแผดเผาเมื่อพวกเขามองไปที่ซูชิงเยียน หลายคนยังมีร่องรอยของความเคารพอยู่ภายในสายตาของพวกเขา

เพราะก่อนจะมาถึงสมรภูมิบรรพกาล พวกเขาต่างก็เป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของราชวงศ์ตัวเอง แต่หลังจากเข้าสู่สมรภูมินี้ ก็พบว่าแม้แต่อัจฉริยะก็ยังจัดเป็นระดับต่าง ๆ

บางคนค่อย ๆ กลายเป็นคนธรรมดา ถูกทิ้งอยู่ในเงามืดและเสียชีวิตในท้ายที่สุด

บางคนเปิดเผยความสามารถพิเศษของพวกเขา กลายเป็นผู้แข็งแกร่งและน่าตื่นตาเป็นอย่างมาก

ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ผู้มีพรสวรรค์จากราชวงศ์ต่าง ๆ เข้าใจหลักการอย่างชัดเจนว่า มีภูเขาที่สูงกว่าเสมอ แม้หลักการนี้จะดูตื้นเขินและเข้าใจได้ง่าย แต่ก็ไม่อาจมองข้ามได้เป็นอันขาด

“พี่เฉิน พวกเจ้าทุกคนควรไปทดสอบพลังเช่นกัน ข้าจะตั้งตารอดูปาฏิหาริย์ที่สามารถดึงความสนใจของผู้คนจากพวกเจ้า” หลิงเจ๋อหันกลับมา พร้อมกับยิ้มให้เฉินซีและคนอื่น ๆ

พวกเขาทั้งหมดมาจากราชวงศ์ระดับกลาง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้รับความสนใจเหมือนเซวียหรานเฉินหรือซูชิงเยียน และแม้ว่าจะสังเกตเห็นพวกเขา ผู้คนก็แค่มองว่าพวกเขาเป็นแค่กลุ่มผู้บ่มเพาะธรรมดา

“สหายคนนี้ช่างใจร้อนนัก ด้วยการบ่มเพาะของเขาที่ขอบเขตจุติขั้นต้น เขาอาจจะอยู่ในอันดับที่มากกว่าสองสามร้อยเสียด้วยซ้ำ” หวงฝู่ฉิงอิงหัวเราะเบา ๆ ขณะที่นางกล่าวหยอกล้อ “ข้ากังวลจริง ๆ ว่าเขาจะไปพร้อมกับความหวังอันยิ่งใหญ่ แต่ต้องกลับมาอย่างผิดหวังและถูกทุบตีจนหมดท่าอย่างสิ้นเชิง”

ทุกคนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เพราะพวกเขาเข้าใจอุปนิสัยของนายน้อยโจวที่เป็นคนเปิดเผย ไร้กังวลและไม่คำนึงถึงการกระทำ ถ้าเขาอยู่ในอันดับล่างสุดจริง ๆ พวกเขาก็สงสัยว่าสหายคนนี้จะมีสีหน้าแบบไหน

แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องขำขันและเป็นการหยอกล้อระหว่างสหายเท่านั้น

“ข้าคิดว่าความแข็งแกร่งของพี่โจวนั้นน่าเกรงขามมาก และเขาจะไม่มีทางได้อันดับต่ำสุดอย่างแน่นอน”หลิงอวี๋ที่อยู่ใกล้ ๆ เกาศีรษะและกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“เอ๊ะ ชายคนนี้มาจากราชวงศ์ใดกัน ถึงสามารถติดห้าสิบอันดับแรกได้?” ในขณะนี้ กลุ่มคนที่อยู่ด้านข้างกำลังเกิดความโกลาหล

เฉินซีและคนอื่น ๆ ก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองศิลาจารึก ซึ่งพวกเขาก็ต้องตะลึงอีกครั้ง

ดวงแสงบนศิลาจารึกที่แสดงการจัดอันดับของนายน้อยโจวนั้น ส่องประกายระยิบระยับและพุ่งขึ้นสู่ห้าสิบอันดับแรกอย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้น ความเร็วของมันก็ไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อยและมันยังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“หรือว่าสหายคนนี้ปกปิดความแข็งแกร่งของเขามาตลอดเช่นกัน?” หวงฝู่ฉิงอิงกล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ นางแค่หยอกล้อนายน้อยโจวในตอนแรก และนางก็เชื่อว่าความแข็งแกร่งของเขาจะไม่ถูกจัดอยู่ในอันดับล่างสุดเช่นกัน แต่กลับไม่เคยคิดมาก่อนว่า เขาไม่เพียงแต่จะไม่ติดอยู่ในอันดับล่าง แต่ยังพุ่งขึ้นสู่ห้าสิบอันดับแรกเสียด้วยซ้ำ แล้วนางจะไม่ประหลาดใจได้อย่างไร

“พี่ใหญ่ อันดับของพี่โจวแซงหน้าเจ้าไปแล้ว ฮ่า ๆๆ! ข้าบอกแล้วว่า ความแข็งแกร่งและพลังแฝงของพี่โจวนั้นยอดเยี่ยมมาก” หลิงอวี๋หัวเราะอย่างมีความสุขอยู่ที่ด้านข้าง

อย่างไรก็ตาม เฉินซีและคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้หัวเราะ เพราะจิตใจของพวกเขาถูกศิลาจารึกที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องดึงดูด เช่นเดียวกับที่หลิงอวี๋กล่าว อันดับของนายน้อยโจวแซงหน้าหลิงเจ๋อและพุ่งขึ้นสู่ยี่สิบอันดับแรก จากนั้นจึงหยุดอยู่ที่อันดับสิบหกในท้ายที่สุด

แม้ว่าอันดับของนายน้อยโจวจะด้อยกว่าเซวียหรานเฉินและซูชิงเยียนมาก แต่ฐานการบ่มเพาะของเขาอยู่ที่ขอบเขตจุติระดับที่หนึ่งเท่านั้น และมันก็น่าทึ่งสำหรับเขาที่สามารถเข้าสู่ยี่สิบอันดับแรกด้วยความแข็งแกร่งดังกล่าว

นายน้อยโจวตกตะลึงเมื่อเห็นอันดับของเขา เขาจึงเกาศีรษะและกล่าวด้วยสีหน้าที่งุนงงว่า “อะไรกันเนี่ย? ข้ากังวลว่าจะไม่ติดหนึ่งร้อยอันดับแรกด้วยซ้ำ…”

“ชิ หยุดเสแสร้งได้แล้ว!” หวงฝู่ฉิงอิงอดไม่ได้ที่จะกลอกตาใส่นายน้อยโจว

นายน้อยโจวหัวเราะเบา ๆ ด้วยท่าทางงี่เง่าเช่นเดียวกับหลิงอวี๋

พวกเขากำลังพูดคุยอย่างเป็นกันเอง ในขณะที่ฝูงชนที่อยู่ใกล้เคียงกำลังตกอยู่ในโกลาหล เนื่องจากการจัดอันดับที่นายน้อยโจวได้รับ

ท้ายที่สุดแล้ว สามสิบอันดับแรกบนศิลาจารึกได้ถูกครอบครองโดยผู้บ่มเพาะของตระกูลอันทรงเกียรติและราชวงศ์ระดับสูงสุดมานานแล้ว แต่ตอนนี้กลับมีม้ามืดที่พุ่งทะยานมาถึงอันดับที่สิบหก ดังนั้นนายน้อยโจวจึงกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนในทันที

แต่น่าเสียดายที่แทบไม่มีใครจำได้ว่านายน้อยโจวคือใคร เพราะผู้บ่มเพาะที่มาจากราชวงศ์ระดับกลางและสามารถเข้าสู่เมืองบรรพกาลได้นั้น มีจำนวนน้อยมาก และผู้คนที่อยู่ที่นี่ล้วนมาจากราชวงศ์อื่น ๆ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะจดจำชายหนุ่มได้

“ไม่เคยคิดเลยว่าข้าเพิ่งกล่าวถึงปาฏิหาริย์และพี่โจวก็แสดงออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ข้าคงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องชื่นชมเจ้า” หลิงเจ๋อประเมินนายน้อยโจวอีกครั้งก่อนจะกล่าวพร้อมกับแย้มยิ้มออกมา

เนื่องจากเฉินซีนั้นเป็นผู้เก่งกล้าที่สามารถท้าทายสวรรค์ได้อยู่แล้ว ดังนั้นหลิงเจ๋อจึงไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า สหายของเขาจะมีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากชื่นชมอีกฝ่าย

แต่เขาก็สามารถคาดเดาได้อย่างคลุมเครือว่า นอกจากความแข็งแกร่งแล้ว เหตุผลที่นายน้อยโจวสามารถได้อันดับที่สูงนั้น ส่วนใหญ่เป็นเพราะพลังแฝงของเขา

เพราะนอกจากความแข็งแกร่งแล้ว พลังแฝงของคนคนหนึ่งก็มีส่วนสำคัญที่จะส่งผลต่ออันดับบน ศิลาจารึกวิญญาณแห่งการต่อสู้ของจักรพรรดิสงคราม

กล่าวอีกนัยหนึ่ง พลังแฝงของนายน้อยโจวนั้นมหาศาลจนน่าตกใจ และนี่คือสาเหตุที่เขาสามารถพุ่งขึ้นสู่ยี่สิบอันดับแรกได้อย่างแข็งแกร่งและได้รับเกียรติให้ขึ้นสู่อันดับที่สิบหก

หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งหมด ใจของหลิงเจ๋อก็รู้สึกสงบลงเล็กน้อย กล่าวตามตรง เขาเองรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยที่อันดับของเขาถูกนายน้อยโจวแซงหน้า

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปนี้ก็เกือบทำให้หลิงเจ๋ออ้าปากค้าง และเขาแทบไม่อยากจะเชื่อเสียด้วยซ้ำ…

เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก เพราะหลังจากที่นายน้อยโจวได้รับการทดสอบพลังแล้ว หวงฝู่ฉิงอิง จ้าวชิงเหอ และหลิงอวี๋ก็ทยอยรับการทดสอบพลังอย่างต่อเนื่อง และการจัดอันดับของทุกคนก็พุ่งเข้าสู่ยี่สิบอันดับแรก!

หวงฝู่ฉิงอิงอยู่อันดับที่สิบเจ็ด จ้าวชิงเหออยู่อันดับที่สิบแปดและหลิงอวี๋กลับน่ากลัวยิ่งกว่า เขาพุ่งตรงไปยังอันดับที่สิบเอ็ด! ซึ่งผลักนายน้อยโจวและคนอื่น ๆ ลงไปหนึ่งอันดับ!

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ไม่เพียงทำให้หลิงเจ๋อตกใจจนกล่าวไม่ออก แม้แต่ผู้บ่มเพาะที่อยู่ใกล้เคียงก็อดไม่ได้ที่จะเปล่งเสียงอุทานออกมาด้วยความตกใจ

“หวงฝู่ฉิงอิง! สวรรค์! หรือว่าพวกเขามาจากราชวงศ์ซ่ง?”

“อะไรนะ? สี่คนนี้ล้วนมาจากราชวงศ์ซ่งหรือ? เป็นไปได้อย่างไรกัน? ราชวงศ์ซ่งเป็นเพียงราชวงศ์ระดับกลางเท่านั้น ดังนั้นการที่พวกเขาสามารถมาถึงเมืองบรรพกาลได้ ก็นับว่าโชคดีเป็นอย่างยิ่งแล้ว จู่ ๆ พวกเขาจะปรากฏตัวขึ้นและทยอยติดยี่สิบอันดับแรกได้อย่างไร?”

“มันเป็นความจริง! แม้ว่าราชวงศ์ระดับกลางจะไม่ควรค่าแก่การให้ความสนใจ แต่หวงฝู่ฉิงอิงเป็นถึงบุตรสาวของจักรพรรดิซ่ง ตามข้อมูลที่ข้ามี พวกเขาเป็นต้องเป็นผู้บ่มเพาะจากราชวงศ์ซ่งอย่างแน่นอน”

“สวรรค์! เฉินซีที่มาจากราชวงศ์ซ่งเพียงคนเดียว ก็แข็งแกร่งอย่างผิดปกติแล้ว แต่ตอนนี้แม้แต่ผู้บ่มเพาะคน ๆ อื่นของราชวงศ์ซ่งก็ยังน่าเกรงขามอีก! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!”

“ช้าก่อน! เจ้ากล่าวว่าเฉินซีหรือ? ถ้าอย่างนั้น… คนผู้นั้นคงจะไม่ใช่เฉินซีหรอกกระมัง?”

เมื่อมองไปที่หวงฝู่ฉิงอิงและคนอื่น ๆ เหล่าผู้บ่มเพาะที่อยู่ที่นี่ก็ไม่อาจทนความตกตะลึงในใจได้อีก และเริ่มสนทนากันอย่างเงียบ ๆ จากนั้นเสียงอุทานด้วยความตกใจก็ดังออกมาอย่างกะทันหันและทำให้สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่เฉินซีในทันที

หลังจากพวกเขาจ้องมองไปยังชายหนุ่มและเปรียบเทียบกับข้อมูลที่พวกเขามีก่อนหน้านี้ ทุกคนก็ยิ่งแน่ใจว่าคนคนนี้คือเฉินซีอย่างไม่ต้องสงสัย!

เมื่อพวกเขานึกถึงเหตุการณ์ที่ชายคนนี้ต่อสู้กับผู้เยี่ยมยุทธ์หลายคนเพียงลำพังและบดขยี้ประกาศิตเซียนสวรรค์บนเกาะสมบัติที่ร่วงหล่น อีกทั้งยังสามารถพิชิตทัณฑ์สวรรค์วิหคอมตะแห่งการจุติ ซึ่งจะปรากฏในช่วงกำเนิดโลกเท่านั้น ผู้คนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกมึนงงและตกตะลึงอยู่ในใจ

“ชายคนนี้คือเฉินซีหรือ?” ในขณะเดียวกัน กลุ่มของเซวียหรานเฉินและซูชิงเยียนที่เดิมตั้งใจจะจากไปก็พลันหยุดฝีเท้าพร้อมกัน และมองไปที่เฉินซีซึ่งอยู่ห่างออกไปด้วยความประหลาดใจ

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเคยได้ยินเกี่ยวกับวีรกรรมมากมายของเฉินซี

เมื่อเผชิญกับสายที่จับจ้องจากผู้คน เฉินซีกลับดูสงบนิ่ง เพราะเขาเองก็รู้มานานแล้วว่า ไม่มีทางที่เขาจะปกปิดตัวเองได้ตลอดไป เหตุผลนั้นก็เรียบง่ายมาก ตราบใดที่เขาเข้ารับการทดสอบพลังที่ศิลาจารึกวิญญาณแห่งการต่อสู้ของจักรพรรดิสงคราม ชื่อของเขาก็จะปรากฏบนศิลาจารึก และเป็นไปไม่ได้ที่ผู้คนจะไม่สังเกตเห็น

ดังนั้น แม้ว่าเขาจะถูกจับจ้องด้วยสายตามากมาย มันก็ไม่ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของเขาแม้แต่น้อย

เพียงชั่วพริบตาต่อมา เขาได้เคลื่อนตัวไปถึงหน้าศิลาจารึกแล้ว จากนั้นเขาจึงยกมือขึ้นและกดศิลาจารึกลงไป

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท