บทที่ 499 สร้างความตกตะลึงให้แก่ผู้คน
บทที่ 499 สร้างความตกตะลึงให้แก่ผู้คน
“ฮึ่ม! ดูท่าคนผู้นี้จะค่อนข้างมีชื่อเสียงเลยนี่”
“ยิ่งมีชื่อเสียงมากเท่าไร เขาก็ยิ่งตายเร็วขึ้นเท่านั้น คนผู้นี้ได้ล่วงเกินราชวงศ์มากมายเข้าแล้ว และยังกล้าปรากฏตัวที่ศิลาจารึกวิญญาณแห่งการต่อสู้ของจักรพรรดิสงครามโดยไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย นี่เขาไม่ได้กลัวว่าจะถูกคนอื่นรุมสับจนตายหรอกหรือ?”
“ข้าสงสัยว่าชายหนุ่มคนนี้จะน่ากลัวอย่างที่ข่าวลือว่าไว้หรือไม่”
…
ห่างจากศิลาจารึกออกไป มีคนไม่กี่คนกำลังพูดคุยกันอย่างเบา ๆ และคนที่เป็นผู้นำก็คือซางเชวี่ยนั่นเอง
เมื่อเขาเห็นทุกคนที่อยู่เคียงข้างต่างแสดงท่าทีดูถูกเหยียดหยามเฉินซี ซางเชวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะเบา ๆ
อันที่จริง เขาก็ไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับเฉินซีสักเท่าไร เพราะชายหนุ่มคนนี้เป็นเพียงผู้บ่มเพาะตัวเล็ก ๆ จากราชวงศ์ระดับกลาง แม้ว่าเฉินซีจะสามารถพิชิตทัณฑ์สวรรค์วิหคอมตะแห่งการจุติในตำนาน และมีพลังแฝงที่อาจจะกลายเป็นสุดยอดฝีมือในอนาคต แล้วมันจะเป็นอย่างไร?
เพราะพลังแฝงก็เป็นเพียงพลังแฝงในท้ายที่สุด และไม่ใช่ความแข็งแกร่งที่แท้จริง หากการบ่มเพาะของเฉินซีได้บรรลุขอบเขตจุติระดับที่ห้า บางทีซางเชวี่ยอาจต้องประเมินอีกฝ่ายใหม่ แต่เห็นได้ชัดว่า ฐานการบ่มเพาะของเฉินซีอยู่ที่ขอบเขตจุติขั้นต้นเท่านั้น และฐานการบ่มเพาะดังกล่าวก็เป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไปภายในเมืองบรรพกาล มันจึงไม่ควรค่าที่จะกล่าวถึง
แต่เมื่อนึกถึงคำแนะนำก่อนหน้านี้ของนายน้อย ซางเชวี่ยก็ได้สติจากภวังค์ครุ่นคิดทันที จากนั้นจึงหันหลังกลับมาและกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ทุกคน เรามาเพื่อดูและไม่ได้จะฆ่าใคร แต่ถ้าใครกล้าทำผลีผลามและทำลายเรื่องสำคัญของนายน้อย ข้าคงไม่จำเป็นต้องบอกพวกเจ้าว่าผลที่ตามมาคืออะไรจริงไหม?”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ หัวใจของทุกคนก็เยียบเย็น และเหล่าศิษย์ของตระกูลซางที่แต่เดิมตั้งใจจะลงมือกับเฉินซี ก็ละทิ้งความคิดเหล่านี้ทันที
พวกเขาไม่ได้ถามเหตุผลสักคำ เพราะนี่คือคำสั่งของนายน้อยซางคุน พวกเขาต้องปฏิบัติตามอย่างไม่มีเงื่อนไข และไม่กล้าที่จะฝ่าฝืนเลยแม้แต่นิดเดียว
“เอ๊ะ ชายหนุ่มคนนั้นเริ่มทดสอบพลังแล้ว ให้ข้าดูหน่อยสิว่าความแข็งแกร่งของเขาอยู่ในระดับใด” ซางเชวี่ยกวาดสายตาไปและเห็นเฉินซีเดินไปที่ศิลาจารึกแล้ว ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาด้วยความใคร่รู้
…
ภายใต้การจ้องมองของทุกคนในตอนนี้ เฉินซีได้มาถึงที่หน้าศิลาจารึก ก่อนจะวางมือลงบนพื้นผิวที่เย็นดุจน้ำแข็งของมัน
“หืม? นั่นมัน… ช่างเป็นร่างที่คุ้นเคย ดูเหมือนว่าจะเป็นอวี๋เซวียนเฉิน?”
ทันทีที่ฝ่ามือของเฉินซีสัมผัสกับพื้นผิวของศิลาจารึก และก่อนที่เขาจะได้สัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น มีร่างผอมบางร่างหนึ่งปรากฏขึ้นที่ถนนซึ่งอยู่ห่างออกไปจากระยะสายตาของเขา จากนั้นมันก็เหมือนสายฟ้าแลบ และเพียงแวบเดียวมันก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันที
“เดี๋ยวก่อน! ทั้งที่องค์หญิงและคนอื่น ๆ รวมทั้งข้าอยู่ที่นี่ และพวกเราก็โดดเด่นมาก แต่เหตุใดเขาถึงทำเหมือนไม่เห็นพวกเราและรีบจากไปทันที หรือว่าจะมีเหตุร้ายเกิดอะไรขึ้น?” เฉินซีขมวดคิ้ว
อวี๋เซวียนเฉินเป็นคนที่สุขุมและสงบเสงี่ยม แม้ว่าจะเป็นตอนที่พวกเขาอยู่ที่ราชวงศ์ซ่ง ความสัมพันธ์ของเขากับคนอื่น ๆ ก็เป็นเรื่องปกติ ดังนั้นหากเป็นเวลาอื่น เฉินซีจะไม่ให้ความสนใจกับคนผู้นี้มากนัก
แต่ตอนนี้มันแตกต่างออกไป คนทรยศหวงฝู่ฉางเทียนได้มาถึงเมืองบรรพกาลแล้ว และคงจะเป็นเรื่องเลวร้ายมาก หากหวงฝู่ฉางเทียนหลอกลวงและทำให้อวี๋เซวียนเฉินได้รับอันตราย
ครืน!
ในพริบตาต่อมา แสงสีทองขนาดใหญ่ก็ปกคลุมลงมาจากศิลาจารึก ทำให้เฉินซีสะดุ้งตื่นจากการครุ่นคิด และตอนนี้เขาสังเกตเห็นว่าการทดสอบพลังของเขาได้เริ่มขึ้นแล้ว
…
ชิ้ง!
แสงสีทองที่ยิ่งใหญ่และงดงามส่องลงมาบนศิลาจารึก ภายใต้การจ้องมองที่ตกตะลึงของผู้คน ดวงแสงได้พุ่งออกมาตามพื้นผิวของศิลาจารึกอย่างบ้าคลั่ง และพุ่งขึ้นสูงด้วยความเร็วที่น่าอัศจรรย์
ดวงแสงที่พุ่งขึ้นสูงนั้น ไม่เพียงแต่ดึงดูดของผู้คนที่อยู่ในที่นั่น แม้แต่ผู้บ่มเพาะที่เดินไปมาตามท้องถนนก็ยังต้องหยุดไปทีละคน จากนั้นก็จ้องไปที่พื้นผิวของศิลาจารึกด้วยความประหลาดใจ
ในเวลาเพียงชั่วพริบตา ประกายแสงก็ได้เคลื่อนตัวดุจดาวหางและพุ่งตรงเข้าสู่สิบอันดับแรกในทันที!
“โอ๊ะ มันพุ่งเข้าสู่สิบอันดับแรกแล้ว ช่างรวดเร็วยิ่งนัก!” เกิดความโกลาหลขึ้นบริเวณโดยรอบของศิลาจารึก สายตาของผู้คนจดจ้องไปยังอันดับที่สิบอย่างพร้อมเพรียงกัน และดวงตาของพวกเขาก็ส่องประกายด้วยความตกตะลึงที่ไม่อาจปกปิดได้ เนื่องจากผู้บ่มเพาะที่สามารถพุ่งตรงเข้าสู่สิบอันดับแรกนั้น ไม่ได้ปรากฏขึ้นมาเป็นเวลานานแล้ว
แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว หวงฝู่ฉิงอิงกับคนอื่น ๆ ดูจะสงบกว่ามาก เพราะพวกเขารู้อยู่แล้วว่า ด้วยความแข็งแกร่งของเฉินซี เขาจะสามารถติดอันดับหนึ่งในสิบอันดับแรกได้อย่างแน่นอน และมันก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
แต่เมื่อเห็นชื่อของเฉินซีพุ่งขึ้นสู่สิบอันดับแรกในทันที พวกเขาก็ยังรู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย
“ความเร็วในการพุ่งนี้ไม่รุนแรงไปหน่อยหรือ?”
“ยังเร็วเกินไปที่จะตื่นเต้นในตอนนี้” ปี้หลิงอวิ้นมองไปที่ร่างสูงกำยำที่อยู่ด้านข้างของศิลาจารึกด้วยสีหน้าซับซ้อน ในฐานะที่เป็นคนเดียวที่เคยต่อสู้กับเฉินซีมาก่อนและไม่ได้ถูกสังหาร นางจึงรู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของชายหนุ่มได้อย่างชัดเจน ซึ่งนางก็คาดว่าคนผู้นี้จะไม่หยุดเพียงแค่อันดับที่สิบอย่างแน่นอน
หลิงเจ๋ออดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างขมขื่นเมื่อได้ยินเรื่องนี้ และเขาสงสัยด้วยซ้ำว่าชายหนุ่มผู้นี้มาจากราชวงศ์ระดับกลางจริง ๆ หรือไม่ เนื่องจากความแข็งแกร่งเช่นนี้… มันทรงพลังยิ่งกว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ส่วนใหญ่ในราชวงศ์ระดับสูงสุดเหล่านั้นเสียอีก
“เขาขึ้นสู่อันดับที่เจ็ดแล้ว!” เมื่อปี้หลิงอวิ้นกล่าวจบ เสียงอุทานก็ดังขึ้นจากบริเวณโดยรอบอีกครั้ง ประกายแสงเรืองรองบนศิลาจารึกที่เป็นตัวแทนชื่อของเฉินซีนั้น ได้แซงหน้าคนที่อยู่ในอันดับที่เจ็ดก่อนหน้านี้ไปอย่างง่ายดาย
เมื่อเซวียหรานเฉินเห็นภาพนี้ สีหน้าของเขาก็อดไม่ได้ที่จะเผยให้เห็นถึงความตกใจ และกล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างกายของเขาก็ตึงขึ้นโดยไม่รู้ตัว
อันดับของเขาตกลงไปอยู่ที่ลำดับหก หลังจากถูกซูชิงเยียนแซงหน้าไปก่อนหน้านี้ ในขณะนี้ เมื่อเขาเห็นอันดับของเฉินซีพุ่งขึ้นสู่อันดับที่เจ็ดอย่างรวดเร็วและกำลังจะแซงหน้าเขา เขาจะรักษาความสงบไว้ได้อย่างไร?
แต่ไม่ว่าเขาจะไม่เต็มใจสักแค่ไหนก็ตาม อันดับของเฉินซีก็ยังพุ่งด้วยความเร็วที่ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงแม้แต่น้อย และมันได้ผลักชื่อของเขาลงไป ซึ่งเซวียหรานเฉินก็สงสัยว่าศิลาจารึกวิญญาณแห่งการต่อสู้ของจักรพรรดิสงครามนั้นชำรุดหรือไม่…
การที่ไม่สามารถแซงหน้าซางคุนได้ทำให้เซวียหรานเฉินไม่พอใจอยู่แต่เดิม และการถูกซูชิงเยียนแซงหน้าในเวลาต่อมา ก็ทำให้เขาไม่มีความสุขเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งตอนนี้เขายังถูกผู้บ่มเพาะตัวเล็ก ๆ จากราชวงศ์ระดับกลางแซงหน้าไปอีก สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ทำให้ชายหนุ่มเสียใจจนแทบกระอักเลือด และใบหน้าที่เย็นยะเยือกของเขาก็กลายเป็นบิดเบี้ยว
แต่ไม่ว่าใบหน้าของเซวียหรานเฉินจะอัปลักษณ์สักเพียงใด ดวงแสงที่พุ่งอยู่นั้นก็ไม่ได้สลายไป และภายใต้การจ้องมองของสายตาที่ตกตะลึงของผู้คน หลังจากผลักชื่อของเขาลงไป มันก็พุ่งขึ้นสูงอีกครั้งและทำให้ชื่อของซางคุนตกลงไปเช่นกัน
“เป็นไปได้อย่างไรกัน!?” ในขณะนี้ สีหน้าที่ผ่อนคลายของซางเชวี่ยและเหล่าศิษย์จากตระกูลซางได้หายไป และถูกแทนที่ด้วยสีหน้าที่หนักอึ้ง!
เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาคิดว่ามันไม่เลวเลยถ้าเฉินซีสามารถติดในสามสิบอันดับแรกได้ แต่พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าชายหนุ่มคนนี้จะพุ่งเข้าสู่สิบอันดับแรกได้ในทันที และความแตกต่างที่ชัดเจนเช่นนี้ ก็เหมือนกับการตบไปที่ใบหน้าของพวกเขาอย่างแรง จนทำให้รู้สึกปวดแสบปวดร้อนขึ้นมา
แต่นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งที่สำคัญก็คือหลังจากดวงแสงที่แสดงถึงอันดับของเฉินซี ได้แซงหน้าเซวียหรานเฉินไปแล้ว มันก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด และมันก็ได้ผลักชื่อนายน้อยของพวกเขาลงด้วยความเร็วที่ไม่เร็วแล้วก็ไม่ช้า
เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ พวกเขาแทบไม่กล้าเชื่อแม้แต่สายตาของตัวเอง ศิษย์ผู้สูงส่งของตระกูลอันทรงเกียรติแห่งแคว้นโบราณ ผู้นำรุ่นเยาว์ของตระกูลซางกลับถูกผู้บ่มเพาะจากราชวงศ์ระดับกลางผลักให้ตกจากการจัดอันดับอย่างนั้นหรือ?
หากข่าวนี้ถูกเผยแพร่ออกไป จะมีใครเชื่อบ้าง?
“ดูเหมือนว่ามีผู้แข็งแกร่งอีกคนหนึ่งได้ปรากฏขึ้นในเมืองบรรพกาลแห่งนี้แล้ว” ดวงตาของซูชิงเยียนหรี่ลง จากนั้นนางก็ดูจะสูญเสียความคิดขณะที่มองไปยังร่างกำยำของเฉินซีที่ถูกแสงสีทองปกคลุม
ในขณะนี้ ชายหนุ่มได้อยู่ในอันดับที่ห้าและอันดับที่สี่ก็เป็นของซูชิงเยียน!
ใครบางคนไม่อาจทนความประหลาดใจของเขาได้ จึงกล่าวพึมพำออกมาว่า “ชายคนนี้เห็นได้ชัดว่ามีฐานการบ่มเพาะที่ขอบเขตจุติระดับที่หนึ่ง เหตุใดเขาถึงแข็งแกร่งขนาดนี้!?
“เขากำลังจะแซงหน้าซูชิงเยียน!” หลังจากได้ยินข่าวนี้ บริเวณโดยรอบก็มีผู้คนมาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ตัว และดวงตาของพวกเขาก็จดจ้องไปยังดวงแสงที่ยังคงพุ่งอย่างช้า ๆ ด้วยสีหน้าตกตะลึง
ดวงแสงค่อย ๆ เข้าใกล้ตำแหน่งของอันดับที่สี่
บรรยากาศที่อึกทึกครึกโครมพลันเงียบสนิทลง สายตามากมายจับจ้องไปที่ดวงแสงที่พุ่งขึ้นด้วยความเร็วที่ไม่ช้าหรือเร็ว จนพวกเขาแทบลืมหายใจ
ผู้คนส่วนใหญ่เคยได้ยินชื่อเสียงของเฉินซีมาก่อน พวกเขาจึงรู้ว่าชายหนุ่มได้ทำให้เลือดหลั่งเป็นห่าฝนขณะต่อสู้กับผู้เยี่ยมยุทธ์มากมายเพียงลำพังที่บนเกาะสมบัติที่ร่วงหล่น และทำให้ทั้งสมรภูมิบรรพกาลตกตะลึง
แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงข่าวลือ และในความคิดของผู้คน มันยากที่จะเปรียบเทียบเฉินซีกับศิษย์เหล่านั้นที่มาจากสามราชวงศ์ระดับสูงสุดและตระกูลอันทรงเกียรติ
เพราะแม้ว่าเฉินซีจะพิชิตทัณฑ์สวรรค์วิหคอมตะแห่งการจุติได้ แต่การบ่มเพาะของเขาก็อยู่ที่ขอบเขตจุติระดับที่หนึ่งเท่านั้น และเขาก็มาจากราชวงศ์ระดับกลางเช่นราชวงศ์ซ่ง ไม่ว่าจะเป็นการบ่มเพาะ ทรัพยากร หรือทุนทรัพย์ เขาก็ด้อยกว่ามาก
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่พวกเขามองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาอยู่ในตอนนี้ ความคิดที่ฝังแน่นอยู่ในใจของพวกเขาก็เลือนหายไปทันที และพวกเขาไม่กล้าที่จะประเมินเฉินซีต่ำอีกต่อไป
“เขาแซงอันดับที่สี่ไปแล้ว!” ทันใดนั้น เสียงอุทานอันแหบห้าวก็ดังขึ้น และผู้คนที่อยู่ตรงนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเอามือป้องปาก เนื่องจากพวกเขาสังเกตเห็นเช่นเดียวกันว่า ดวงแสงที่พุ่งขึ้นไปด้วยความเร็วที่ไม่ช้าหรือเร็วนั้น ได้แซงหน้าซูชิงเยียนซึ่งอยู่ในอันดับที่สี่และแทนที่นางแล้ว!
“โอ้สวรรค์! มันยังไม่จบ…” เมื่อทุกคนตกใจจนหนังศีรษะชา ดวงแสงยังคงไม่หยุด และทำให้บางคนอดไม่ได้ที่จะร้องคร่ำครวญในทันที
สีหน้าของทุกคนที่อยู่รอบ ๆ ศิลาจารึกนั้น กลายเป็นแข็งทื่อเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า เฉินซีซึ่งมาจากราชวงศ์ซ่งจะแสดงผลลัพธ์ที่น่าตกใจเช่นนี้
ในขณะนี้ ไม่ใช่แค่เซวียหรานเฉิน ซูชิงเยียนหรือกลุ่มของซางเชวี่ยที่อยู่ห่างออกไป แม้แต่หวงฝู่ฉิงอิงและคนอื่น ๆ ที่เป็นสหายของเฉินซีซึ่งคุ้นเคยกับเขาเป็นอย่างดี ก็ยังต้องตกใจจนรู้สึกมึนงง
ทั้งสามชื่อที่ติดอันดับหนึ่งในสามนั้น ยังคงรักษาอันดับได้ไว้อย่างมั่นคงเสมอมา ซึ่งนับตั้งแต่เมืองบรรพกาลได้เปิดขึ้น มันก็ไม่เคยขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย และไม่ว่าจะมีผู้บ่มเพาะที่เข้ารับการทดสอบพลังสักกี่คน ก็ไม่มีใครสักคนที่สามารถสั่นคลอนอันดับของพวกเขาได้ แล้วจะนับประสาอะไรกับการแซงหน้าพวกเขา
ทว่าตอนนี้ดวงแสงที่เป็นตัวแทนของเฉินซี กำลังพุ่งขึ้นไปด้วยความเร็วที่ช้าพร้อมกับความตั้งใจที่จะพุ่งเข้าสู่สามอันดับแรก และถ้าเขาทำสำเร็จจริง ๆ ละก็…
ทุกคนกลั้นหายใจขณะจ้องมองที่พื้นผิวของศิลาจารึกโดยไม่กะพริบตา พวกเขารู้ว่าตราบใดที่เฉินซีก้าวหน้าไปอีกขั้น ความหมายที่แสดงออกมาก็จะแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง!