บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 507 ตกตะลึงกันถ้วนหน้า

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 507 ตกตะลึงกันถ้วนหน้า

บทที่ 507 ตกตะลึงกันถ้วนหน้า

ตู้ม!

ปราณกระบี่สายนี้เป็นดั่งคลื่นสมุทร …ดุจกระแสธารอันเชี่ยวกรากนับไม่ถ้วนคล้ายธาราคลั่งสีเงิน เกิดปรากฏการณ์ตะวันจันทราสลับกัน ทั้งยังมีลมพายุอยู่ภายในแรงกดดันอันมหาศาล

ในเมื่อเฉินซีฝึกเคล็ดกระบี่หมื่นบรรจบจนถึงขั้นสมบูรณ์แล้ว และสามารถออกหนึ่งกระบวนท่าทว่าหลายรูปลักษณ์มาบรรจบกันได้แล้ว ทุกท่วงท่ากระบี่จึงไม่ถูกจำกัดด้วยกระบวนท่าหรือเต๋ารู้แจ้งใด ๆ หากแต่ใช้ไปตามใจสั่ง ทว่าทุกท่ากลับแฝงไปด้วยมหาเต๋าที่น่ากลัวนัก

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อครู่ที่ซัดท่ากระบี่ออกไป มันมีกลิ่นอายดุดันที่สามารถรีดผ่านคลื่นลมทั้งหลายด้วยเจตจำนงอันแกร่งกล้า ทรงพลังมากจนมีแรงกดดันสูง เหมือนดั่งดวงใจของผู้บ่มเพาะกระบี่ที่มิอาจมีใครมาหยุดยั้ง ไม่อาจแปดเปื้อน มันทั้งส่องประกายและมั่นคงในการสังหารนัก!

นี่คือ ‘แนวทางใจหลอมรวมกระบี่’

ใต้หล้ามีผู้บ่มเพาะกระบี่อยู่มากมาย แต่มีเพียงหนึ่งในล้านเท่านั้นที่จะสามารถทำได้เช่นนี้

ลวี่เทียนเจ๋อหายใจแทบไม่ออกเมื่อเผชิญกับพลังเช่นนี้ ราวกับเลือดในร่างใกล้ถึงจุดเยือกแข็ง และแตกสลายด้วยเจตจำนงกระบี่อันเย็นเยียบ ภายในหัวใจบังเกิดความหวาดกลัว รู้สึกไร้พลังราวกับกำลังจะสิ้นใจ

ถึงกระนั้นนั่นก็ทำให้เรียกสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดออกมา นัยน์ตาพลันฉายแววดุดัน เขาเหินร่างขึ้นฟ้าในขณะที่ดาบมังกรหิมะในมือซัดออกไปพร้อมกัน

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!

ลำแสงดาบดูราวกับหิมะ ผนึกฟ้าไว้ด้วยน้ำแข็ง

ครืน!

ชือเหวิน*[1] ตัวสีขาวดั่งหิมะพลันพุ่งออกมาจากภายในลำแสงกระบี่สายนั้น ร่างของมันเต็มไปด้วยแสงสว่างอันเยือกเย็น นัยน์ตาสีแดงก่ำ มีท่วงท่าสง่างามแลไม่ใส่ใจสิ่งใด

ชือเหวินเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์โบราณ ซึ่งเป็นลูกของบรรพบุรุษมังกร ในเวลานี้ กลิ่นอายดุดันของมังกรกำจายออกมาพร้อมกับแสงดาบ ทำให้ฟ้าดินมืดมนลงไปทีเดียว

ผู้ชมทั้งหลายร้องชื่นชมอยู่ภายในใจ ลวี่เทียนเจ๋อช่างสมกับเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติระดับที่สี่ พลังต่อสู้ที่ระเบิดออกมาเมื่อใช้ดาบมังกรหิมะ ไม่อาจดูถูกได้เลย

ตู้ม!

ชือเหวินขาวที่พุ่งขึ้นไปกลางอากาศ พลันปะทะเข้ากับปราณกระบี่ ภาพที่ปรากฏขึ้นหลังจากนั้นราวกับวัวกำลังถูกแล่เนื้อก็มิปาน

ปราณกระบี่เจือมหาเต๋ากรีดผ่านร่างชือเหวินตัวขาว แยกร่างของมันออกเป็นสองส่วนก่อนจะหายไป

“อะไรกัน!?” ทุกคนยังไม่ทันหายตกใจกับภาพที่เห็น พวกเขาตกตะลึงถึงจิตใจ จนเกือบลืมหายใจกันทีเดียว

ลวี่เทียนเจ๋อเป็นองค์รัชทายาทของราชวงศ์ต้าเสวียน และมีการบ่มเพาะขอบเขตจุติระดับที่สี่ ดังนั้นจึงสามารถข้ามขอบเขตทำการต่อสู้ได้เมื่อมีสมบัติกึ่งอมตะ แต่กลับถูกเฉินซีสยบได้อย่างง่ายดาย!

ปราณกระบี่ที่เฉินซีซัดออกมาทั้งกว้างใหญ่และหนาแน่นราวกับธารดารา สวยงามจนมองแล้วใจสั่น ทว่าก็ร้ายแรงจนหนังศีรษะด้านชา

“เป็นไปได้อย่างไรกัน?” ลวี่เทียนเจ๋อไม่อาจยอมรับได้ จึงคำรามเสียงโกรธขึ้นมา จากนั้นสะบัดกระบี่เตรียมโจมตีอีกครั้ง

ครั้งนี้ ฟ้าดินรอบข้างพลันเกิดหิมะปกคลุม ผลึกน้ำแข็งปลิวว่อน ควบแน่นเป็นชือเหวินหิมะที่มีลำตัวยาวหกลี้ มันมีเกล็ดมังกรหนาปกคลุมทั่วร่าง นัยน์ตาสีแดงก่ำราวกับกำลังเผาไหม้ หนวดพลิ้วไหวไปมาราวกับมันกลับมาจุติยังโลกอีกครั้ง

จากนั้นมันก็เข้าโจมตีเฉินซี

“สังหาร!” ชายหนุ่มตะโกนอย่างเย็นชาและไม่แยแสสิ่งใด

เมื่อแนวทางใจหลอมรวมกระบี่รวมกับกระบี่โศกนภาระเบิดออกมาอีกครั้ง ปราณกระบี่ในครั้งนี้ประหนึ่งคันไถสวรรค์ กรีดร่างพุ่งขึ้นบนนภา ราวกับเป็นรอยไถบนฟ้า

ตู้ม!

ปราณกระบี่กรีดผ่านฟ้าทิ้งรอยเป็นทางเอาไว้ กระทั่งภาพมายาของชือเหวินและปราณกระบี่พลังสูงที่อาจหาญใช้น้ำแข็งผนึกฟ้าได้ยังถูกพลังนี้ผ่าออกเป็นสองส่วน ก่อนจะสลายหายไป

ผู้ชมตื่นตาตื่นใจกับฉากนี้ จนพูดไม่ออกอยู่นานทีเดียว

“เป็นไปไม่ได้! เราใช้สมบัติกึ่งอมตะเหมือนกัน อีกทั้งพลังของข้ายังเหนือชั้นกว่าตั้งขอบเขตหนึ่ง เหตุใดจึงเอาชนะเจ้าไม่ได้กัน?” แววตาของลวี่เทียนเจ๋อดูไม่อยากเชื่อ สีหน้าโหดเหี้ยมพลันปรากฏขึ้น “ข้าไม่เชื่อหรอก! มดปลวกตัวน้อยจากราชวงศ์ระดับกลางอย่างเจ้าจะสู้ข้าได้อย่างไร!?”

“คมหนามหิมะเอ๋ย จงปกคลุมฟ้าดิน!” เขาคำรามอย่างเกรี้ยวกราดและบ้าคลั่ง …ออกแรงทั้งหมดที่มีเพื่อซัดการโจมตีในครั้งนี้ออกมา

ชั่วขณะหนึ่ง หิมะและลำแสงดาบที่ปกคลุมท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นโซ่หนาม ก่อนจะประสานกันชั้นแล้วชั้นเล่า กักขังสิ่งรอบข้างไว้ ก่อนจะบดขยี้ลงมาทางเฉินซี

แต่ในขณะนั้นเอง ปีกคู่หนึ่งซึ่งเปล่งแสงแห่งดาราก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของเฉินซี จากนั้นปีกก็พลันกระพืออย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ชายหนุ่มพุ่งเข้ามาราวกับลำแสงสายหนึ่ง

ฟิ้ว!

ปราณจากกระบี่โศกนภาในมือเฉินซีบินออกไปทั้งในแนวนอนและแนวตั้ง ร่างของเขาแวบหายไปมาอยู่กลางอากาศหลายครั้ง

ทักษะการแปรสภาพร่างกายของเฉินซีในตอนนี้ถึงขอบเขตจุติแล้ว อีกทั้งยังฝึกวิชาแกร่งกล้าอย่างวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพ ตราบใดที่แก่นวิญญาณไม่ถูกทำลาย เขาก็จะสามารถฟื้นคืนร่างกายได้ในพริบตา ไม่ต้องกล่าวถึงลวี่เทียนเจ๋อ กระทั่งขอบเขตจุติขั้นสมบูรณ์เขาก็ยังกล้าต่อกรด้วย

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

หนามและกรงหิมะที่ปกคลุมฟ้าดินอยู่ทั้งหมดพลันแตกสลาย ไม่สามารถกักขังเฉินซีที่พุ่งเข้ามาได้เลย

“ไม่!!” ลวี่เทียนเจ๋อถูกอัดยับจนหวาดกลัวไปทั้งร่าง และพยายามกระโดดหนี

แต่มีหรือจะหลบหนีปีกนภาดารกะที่เทียบได้กับการเคลื่อนมิติไปได้!?

เฉินซียื่นมือซ้ายออกมาราวกับเป็นมือของเทพอสูร บีบคอลวี่เทียนเจ๋อเอาไว้ เกิดเสียงค่อกแค่กจากเจ้าตัว ทว่าไม่อาจเปล่งคำใดออกมาได้

ตั้งแต่เริ่มสู้จนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปเพียงครู่เดียวเท่านั้น แต่ความอันตรายและความน่ากลัวของการต่อสู้ในครั้งนี้ทำให้จิตใจของทุกคนที่ยืนชมอยู่พลุ่งพล่านจนไม่อาจยับยั้งได้ ในตอนนี้ เมื่อเห็นร่างสูงของเจ้าของกลิ่นอายดุดันดั่งเทพอสูรแล้ว จึงไม่อาจสะกดความกลัวภายในใจลงได้

“นี่น่ะหรือตัวตนยิ่งใหญ่ที่พวกเจ้ายอมทรยศราชวงศ์ซ่งอย่างไม่ลังเลเพื่อมัน?” เฉินซีคว้าคอลวี่เทียนเจ๋อแล้วหันไปมองทางหวงฝู่ฉางเทียนกับอวี๋เซวียนเฉินด้วยสายตาเย็นชา

น้ำเสียงของเขาดูสงบ แต่เมื่อลอยเข้าหูหวงฝู่ฉางเทียนและอวี๋เซวียนเฉินก็ไม่ต่างจากสายฟ้าฟาด ริมฝีปากสั่นสะท้าน กลัวจนหัวหด

ก่อนหน้านี้ลวี่เทียนเจ๋อเป็นตัวตนที่พวกเขาได้แต่แหงนหน้ามอง ได้แต่ทำตามคำสั่ง พวกเขาจึงไม่ลังเลที่จะทรยศราชวงศ์ซ่ง สังหารสหายร่วมราชวงศ์อย่างโหดเหี้ยมเพื่อให้ลวี่เทียนเจ๋อสนใจ จากนั้นก็เข้าร่วมกองกำลังของอีกฝ่าย แต่ว่าตอนนี้เมื่อได้เห็นลวี่เทียนเจ๋อถูกเฉินซีคว้าคอลอยหวิวเหมือนสุนัขตายตัวหนึ่ง ความเศร้าสลดและความเกลียดชังในใจก็ยิ่งพุ่งสูง

ในขณะนี้ทั้งคู่สิ้นหวังอย่างถึงที่สุดแล้ว

การถูกเฉินซีบีบคอหิ้วร่างขึ้นดั่งไก่ตัวหนึ่งต่อหน้าทุกคนเช่นนี้ทำให้ลวี่เทียนเจ๋อเผยสีหน้าอัปยศและขุ่นเคือง หายใจไม่ออกจนหน้าแดงเกือบกระอักเลือด

เขาพยายามดิ้นอย่างแรง แต่มือซ้ายของอีกฝ่ายก็ไม่ใช่ธรรมดา มันมีอำนาจถึงขนาดทลายขุนเขาได้ ลวี่เทียนเจ๋อจึงไม่อาจเป็นอิสระ ราวกับตุ๊กตาไม้น่าสมเพชตัวหนึ่งแทน

“ไม่! ไม่นะ!” ลวี่เทียนเจ๋อนัยน์ตาแดงก่ำ ความอัปยศเช่นนี้เจ็บปวดยิ่งกว่าการถูกตบต่อหน้าผู้คน ส่งผลให้องค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์ระดับสูงอับอายยิ่งนัก

แต่เมื่อเทียบกับความอับอายของเขาแล้ว ความกลัวตายที่เกาะกุมจิตใจยังมีมากกว่า เขาหวาดกลัวเฉินซีจริง ๆ ในใจรู้สึกว่าอีกฝ่ายเหมือนปีศาจที่เย็นชาไร้อารมณ์

“อย่าสังหารข้าเลย เจ้าอยากได้สิ่งใดข้าย่อมมอบให้ได้ ขอแค่เจ้าไว้ชีวิต ข้าสาบานว่าจะไม่ตามแก้แค้นเจ้าอีก!” เมื่อคิดว่ายังไม่ทันได้เห็นแดนภวังค์ทมิฬเลยด้วยซ้ำ แต่กลับเกือบต้องมาตายในเงื้อมมือของคนตรงหน้าแล้ว ลวี่เทียนเจ๋อจึงร้องตะโกนดังลั่นออกมาราวกับคนเสียสติ

“เจ้าคิดว่าสามารถให้ในสิ่งที่ข้าต้องการได้หรือ?” แววเยาะเย้ยเจืออยู่ที่มุมปากเฉินซี ก่อนจะออกแรงบีบที่มือซ้าย

กร๊อบ!

จังหวะเดียวกับที่เขาหักคอลวี่เทียนเจ๋อ พลังที่ปลดปล่อยออกมาจากฝ่ามือก็ทำลายแก่นวิญญาณของอีกฝ่ายไปด้วย นับว่าทำลายล้างเขาจนหมดสิ้น

ตุ้บ!

ร่างของลวี่เทียนเจ๋อร่วงลงพื้น ทั้งเลือดและเนื้อกระเด็นไปทั่ว ปลุกหวงฝู่ฉางเทียนและอวี๋เซวียนเฉินที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ความหวาดกลัวให้ตื่นขึ้น

“เฉินซี ข้าผิดไปแล้ว ข้าขอร้องเจ้าล่ะ อภัยให้ข้าด้วย ข้าไม่ได้คิดจะสังหารคนร่วมราชวงศ์เลยหลังจากไปเข้ากับพวกราชวงศ์ต้าเสวียน แต่เป็นพวกมันบังคับให้ข้าทำ” อวี๋เซวียนเฉินอ้อนวอนตัวสั่นด้วยน้ำเสียงน่าสมเพช

หวงฝู่ฉางเทียนยั้งตัวเองไม่ให้ร้องขอความเมตตาแม้จะหวาดกลัวแทบตาย จากนั้นเขาก็กัดฟันเอ่ยขึ้นว่า “เฉินซี หากต้องการก็สังหารข้าเสีย แต่ก่อนทำจงคิดให้ดี เมื่อท่านพ่อรู้เรื่องนี้เข้า ตระกูลเฉินคงถูกทำลายสิ้น ถึงตอนนั้นเจ้าจะได้เข้าแดนภวังค์ทมิฬ ก็คงสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปตลอดกาล อยากให้เรื่องมันเป็นเช่นนั้นหรือ?!”

ตู้ม! ตู้ม!

เสียงตู้มสองครั้งดังขึ้นพร้อมกัน ศีรษะของหวงฝู่ฉางเทียนและอวี๋เซวียนเฉินถูกซัดจนแยกออกราวกับผลแตง ก่อนร่างของทั้งคู่จะหงายหลังล้มลงกับพื้น

สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ฝีมือเฉินซี แต่เป็นฟ่านอวิ๋นหลาน เมื่อสังหารทั้งสองแล้ว นางก็เดินมาอยู่ข้างกายเฉินซีพร้อมกล่าวอธิบายว่า “ข้าเหม็นขี้หน้าพวกมันเต็มทน เจ้าคงไม่โทษข้ากระมัง?”

เฉินซีส่ายหน้า “พวกนี้สมควรตายแล้ว หากแค่ทรยศราชวงศ์ซ่งข้าก็คงให้พวกเขาตายสบาย แต่พวกมันช่วยเหลือคนนอก รังแกคนของเรา เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจเกินไป ความตายของพวกเขาไม่มีอะไรให้ต้องเสียใจหรอก”

“ข้ากลัวว่าเจ้าจะทำไม่ลง” ฟ่านอวิ๋นหลานคลี่ยิ้มบาง

ชายหนุ่มเองก็ยิ้ม จากนั้นกวาดสายตามองผู้คนรอบข้าง

แม้เขาจะไม่ได้เอ่ยคำใด แต่สายตาเยือกเย็นคู่นั้นก็ทำเอาทุกคนกลัวจนไม่กล้ายืนอยู่ตรงนี้อีก และพากันแยกย้ายหลบหนีไป เพราะหากยังไม่ไป แล้วเฉินซีผู้สังหารคนตาไม่กะพริบผู้นี้คิดว่าพวกเขาเป็นพวกเดียวกับลวี่เทียนเจ๋อก็คงแย่

“ในเมื่อลวี่เทียนเจ๋อตายแล้ว พื้นที่ทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองบรรพกาลจึงไร้คน ไปกันเถอะ เราไปยังเขตของราชวงศ์ต้าถังแล้วเรียกคนของเรามา พวกเราไม่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ใต้หลังคาคนอื่น และทำตามคำสั่งของคนอื่นเหมือนเด็กอีกต่อไปแล้ว” เฉินซีถอนสายตากลับมา จับมือฟ่านอวิ๋นหลานไว้ แล้วแวบร่างหายไป

เมื่อมือถูกเฉินซีกุมไว้เช่นนี้ ทำให้ร่างของฟ่านอวิ๋นหลานแข็งทื่อ ความสุขสายหนึ่งผุดขึ้นภายในใจ นางคลี่ยิ้มออกมาบนใบหน้างาม ติดตามอยู่ข้างกายของเฉินซีแต่โดยดีพร้อมกับความรู้สึกปลื้มปีติในใจ

ในวันนั้น เมืองบรรพกาลก็เกิดความโกลาหล

“ผู้เยี่ยมยุทธ์ห้าคนจากราชวงศ์ซ่งติดยี่สิบอันดับแรกในศิลาจารึกวิญญาณแห่งการต่อสู้ กระทั่งเฉินซียังได้อันดับแรกและเอาชนะผู้คนทั้งหลายไปได้!”

“กองกำลังที่คุมพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองถูกทำลายสิ้น ผู้เยี่ยมยุทธ์จากราชวงศ์ต้าเสวียน ราชวงศ์ต้าฉิน ราชวงศ์ต้าจิ้น และราชวงศ์ต้าเฉียนมลายสูญ ไร้ผู้ใดมีโอกาสเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬอีก ซึ่งคนคนเดียวที่เป็นต้นเหตุเรื่องทั้งหมดนี้ก็คือเฉินซี!

“เฉินซี…”

“เฉินซี…”

เหตุการณ์สำคัญมากมายที่เกิดขึ้นในวันนี้ สั่นสะท้านจิตใจของทุกผู้คน ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับชื่อเพียงชื่อเดียวนั่นคือเฉินซี!

ราวกับชื่อนี้มีมนต์วิเศษ ภายในค่ำคืนเดียวทุกคนก็ได้รู้จักชื่อนี้กันถ้วนทั่ว จนกลายเป็นประเด็นร้อนที่ผู้คนถกเถียงกันทั่วทั้งเมือง

[1] ชือเหวินเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์โบราณ เป็นเหมือนลูกหลานของมังกร

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท