บทที่ 509 พังประตูเข้าไป
บทที่ 509 พังประตูเข้าไป
สถานที่แห่งนี้เป็นห้องหินที่มืดมิดและอับชื้น แม้แต่อากาศก็ส่งกลิ่นเหม็นฉุนรุนแรง
หากเป็นสถานการณ์ปกติ เจิ้นหลิวชิงจะสามารถทะลวงห้องหินนี้และหลบหนีไปได้อย่างง่ายดาย แต่ตอนนี้นางไม่อาจกระทำเช่นนั้นได้ …ถึงขั้นที่นางไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะลุกยืนขึ้น
เป็นเพราะนางถูกวางยาพิษ
ยาพิษนี้ไม่มีทั้งสีและกลิ่น แต่สามารถปิดผนึกพลังบ่มเพาะและจิตวิญญาณของคนได้ ซึ่งมันถูกเรียกว่า ‘ผงกล่อมเซียนหยาดอสูร’ ซึ่งแม้แต่ผู้เป็นเซียนก็ยังถูกมอมเมา ด้วยฤทธิ์นี้ของมัน ทำให้พิษชนิดนี้ทรงอานุภาพอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะถูกเรียกว่ายาพิษ แต่ผงกล่อมเซียนหยาดอสูรนั้นกลับไม่เป็นพิษ มันเพียงแค่ปิดผนึกพลังบ่มเพาะและจิตวิญญาณ ทำให้สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปชั่วคราว
“คิดว่าจะมีใครมาช่วยเราหรือไม่” เจิ้นหลิวชิงหันหลังให้กำแพงอันเย็นเยือกขณะหันกลับไปมองชิงซิ่วอี้ที่อยู่ด้านข้าง
ภายในห้องหินที่มืดมิด ใบหน้าที่งดงามไร้ที่เปรียบของชิงซิ่วอี้ถูกซ่อนไว้ในเงามืด นางนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น แม้ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เรียบง่ายและอับชื้นเช่นนี้ แต่นางก็ยังเปล่งประกายโดดเดี่ยวราวกับอยู่กันคนละโลก
ชิงซิ่วอี้ไม่ได้ตอบเจิ้นหลิวชิง หรือบางที นับตั้งแต่ที่รู้ตัวว่าถูกวางยาพิษและถูกขังไว้ในห้องหินแห่งนี้ นางก็ไม่ได้กล่าวอะไรเลยแม้แต่คำเดียว ราวกับว่ายอมจำนนต่อชะตากรรม
แต่เจิ้นหลิวชิงรู้ว่าหญิงสาวผู้ภาคภูมิซึ่งเป็นดั่งเซียนสวรรค์กลับชาติมาเกิด จะไม่ยอมจำนนต่อชะตากรรมของตัวเองอย่างแน่นอน และนางก็จะไม่มีความรู้สึกหดหู่ ไม่พอใจ หรือขุ่นเคืองด้วยซ้ำ
นางเพียงนั่งตัวตรงอย่างสงบและใช้เวลาอันมีค่าเพื่อพยายามขจัดพิษในร่างกายให้ได้มากที่สุด ถึงแม้การยืนหยัดเช่นนี้จะดูเหมือนไร้ประโยชน์ และหากเป็นคนอื่น ๆ ก็คงจะยอมแพ้ต่อชะตากรรมไปนานแล้ว แต่ชิงซิ่วอี้นั้นต่างออกไป นางยืนหยัดอดกลั้นมาตลอดจนถึงตอนนี้ และไม่เคยท้อถอยเลยแม้แต่น้อย
“ข้ามีลางสังหรณ์อย่างแรงกล้าว่า เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันกำลังจะเกิดขึ้นกับเจ้าในไม่ช้า อาจจะเป็นวันนี้หรือพรุ่งนี้ก็ได้” เจิ้นหลิวชิงพึมพำกับตัวเอง ใบหน้าที่สง่างามของนางเต็มไปด้วยความผิดหวังและความรู้สึกสูญเสีย
“เจ้าแน่ใจหรือ?” ชิงซิ่วอี้ที่ไม่เคยกล่าวอะไรสักคำ พลันโพล่งขึ้นมา เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้เฉยเมยกับสถานการณ์ในขณะนี้เหมือนที่เห็นภายนอก
“ข้ามั่นใจมาก” เจิ้นหลิวชิงตกตะลึง และกล่าวด้วยน้ำเสียงค่อนข้างมั่นใจว่า “อย่าลืมว่าข้ามาจากหอวารีหมอก และสิ่งที่ข้าเชี่ยวชาญที่สุดไม่ใช่การต่อสู้ แต่เป็นเคล็ดวิชาโหราศาสตร์และการทำนาย”
ชิงซิ่วอี้ตกอยู่ในความเงียบงันอีกครั้ง
เจิ้นหลิวชิงยิ้มและกล่าวอย่างหยอกล้อว่า “เจ้าคิดว่าเฉินซีจะหลั่งน้ำตาให้พวกเราหรือไม่? ถ้าหากพวกเราต้องล้มตาย”
“ข้าคิดว่ามันไร้สาระ” เมื่อเจิ้นหลิวชิงกล่าวถึงเฉินซี ในที่สุดก็มีร่องรอยของความผันผวนในความรู้สึกของชิงซิ่วอี้ และน้ำเสียงของนางก็แฝงด้วยการดูถูกเหยียดหยาม นางดูจะมั่นใจมากว่าเฉินซีจะไม่รู้สึกเศร้าโศกและหลั่งน้ำตาให้กับการตายของนางอย่างแน่นอน
“ข้าคิดว่ามันไม่เลว อย่างน้อยก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าเขาใส่ใจเราหรือไม่และเขาสนใจเจ้าหรือข้ามากกว่ากัน” เจิ้นหลิวชิงหัวเราะเบา ๆ
“เจ้าต้องการใช้ความตายของเจ้าเพื่อพิสูจน์ความรู้สึกของเขาหรือ?”ชิงซิ่วอี้เอ่ยถาม
“แล้วเจ้าคิดว่าเรายังมีโอกาสที่จะหลบหนีอยู่อีกหรือ?” เจิ้นหลิวชิงตอบกลับด้วยคำถาม
คิ้วที่งดงามของชิงซิ่วอี้ขมวดเข้าหากันขณะที่นางครุ่นคิดอย่างจริงจังอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางจึงตอบกลับไปว่า “ใช่!”
“ใช่?” เจิ้นหลิวชิงตกตะลึงกับคำตอบ
“เจ้ารู้จักสิ่งที่เรียกว่าไท่จี๋ไหม” ชิงซิ่วอี้ไม่ได้ตอบนางด้วยความมั่นใจ แต่กลับกล่าวถึงเรื่องอื่นแทน
“แน่นอนว่า มหาเต๋าไท่จี๋เป็นมหาเต๋าอันลึกล้ำซึ่งหาได้ยากมาก น่าเสียดายที่ไม่มีใครสามารถบรรลุมหาเต๋านี้มาเป็นเวลานานแล้ว” เจิ้นหลิวชิงตอบโดยไม่ต้องคิด
“เอาล่ะ ทำตามที่ข้าบอกแล้วเราจะสำเร็จได้” ทันใดนั้นดวงตาของชิงซิ่วอี้ก็เต็มไปด้วยประกายแวววาว จนดูเหมือนว่ามีสายฟ้าฟาดออกมาจากดวงตาคู่นั้น ทำให้นางดูเปล่งประกายเป็นพิเศษภายในห้องที่มืดมิดนี้
“แล้วข้าควรทำอย่างไร?” เจิ้นหลิวชิงรู้สึกตื่นเต้นทันทีเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เนื่องจากจะมีใครบ้างที่ยินดีรอความตาย หากพวกเขามีโอกาสมีชีวิตอยู่ได้?
…
นายน้อยโจวยืนอย่างภาคภูมิอยู่บนกำแพงทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองบรรพกาล ซึ่งเต็มไปด้วยความรู้สึกพึงพอใจและจิตวิญญาณอันสูงส่ง
ไม่นานมานี้ เขาเพียงอาศัยอยู่ในอาณาเขตของราชวงศ์ต้าถังเท่านั้น แต่ตอนนี้นายน้อยโจวกลับครอบครองอาณาเขตเป็นของตนเอง แล้วจะไม่ให้ปลื้มได้อย่างไร
ท้ายที่สุดแล้ว นี่คือส่วนหนึ่งของอาณาเขตในเมืองบรรพกาล ซึ่งนอกเหนือจากราชวงศ์ระดับสูงสุดและตระกูลอันทรงเกียรติเหล่านั้นแล้ว จะมีราชวงศ์ระดับกลางแห่งใดสามารถครอบครองพื้นที่แห่งนี้ได้อีก?
เมื่อนึกถึงท่าทางที่สดใสบนใบหน้าของหลิงเจ๋อ และได้ยินว่าเฉินซีสามารถยึดครองอาณาเขตทางตะวันออกเฉียงเหนือด้วยตัวคนเดียว นายน้อยโจวก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างมีความสุข
เพราะใครจะไปคาดคิดว่าเฉินซีจะสามารถบรรลุสิ่งนี้ได้? สหายคนนี้ช่างรู้จักวิธีสร้างปาฏิหาริย์และความประหลาดใจอันน่ายินดีได้ไม่หยุดเลยจริง ๆ!
ในอีกด้านหนึ่ง จ้าวชิงเหอก็มีความสุขเช่นกัน การตายของคนทรยศอย่างหวงฝู่ฉางเทียนกับอวี๋เซวียนเฉิน ทำให้เขาสามารถระบายความเกลียดชังได้ในที่สุด ซึ่งเขาก็รู้สึกว่าตนเองสามารถแบกหน้าไปพบกับลู่เซียวในปรภพได้แล้ว
“อย่าได้ประมาท ตอนนี้เฉินซีไม่ได้อยู่ที่นี่และเขาขอให้เราปกป้องอาณาเขตทางตะวันออกเฉียงเหนือทั้งหมด อย่าปล่อยให้คนอื่นมาฉกฉวยโอกาสในยามที่เขาไม่อยู่และแย่งชิงอาณาเขตนี้ไปจากเรา” หวงฝู่ฉิงอิงเตือนพวกเขาจากด้านข้าง
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ไม่ใช่แค่นายน้อยโจวและจ้าวชิงเหอ แม้แต่หัวใจของหลิงอวี๋กับฟ่านอวิ๋นหลานก็เยียบเย็นและไม่กล้าละเลยอีกต่อไป
เมืองบรรพกาลถูกเรียกอีกอย่างว่า เมืองแปดทิศ และมันถูกแบ่งด้วยแปดเส้นทางที่นำไปสู่โลกภายนอก
ซึ่งอาณาเขตทั้งแปดแห่งก็ถูกควบคุมด้วยกองกำลังต่าง ๆ และไม่ใช่แค่เพื่อกรรโชกทรัพย์จากผู้บ่มเพาะที่เข้ามาในเมือง หรือใช้มันเป็นสถานที่เพื่อรวบรวมกองกำลังเพื่อขยายอำนาจของตัวเอง แต่มันมีเหตุผลที่สำคัญยิ่งกว่านั้น
ว่ากันว่า ในสมัยโบราณเพื่อต่อต้านศัตรูร้ายที่รุกรานเข้ามา เหล่าทวยเทพได้แบ่งเมืองบรรพกาลออกเป็นแปดส่วนและฝังสมบัติวิเศษจำนวนมากที่มีพลังมหาศาลเอาไว้ ซึ่งสมบัติวิเศษทุกชิ้นก็แข็งแกร่งกว่าสมบัติอมตะอย่างแท้จริง
ยิ่งกว่านั้น ทุกครั้งที่การทดสอบสุดท้ายของสมรภูมิบรรพกาลมาถึง หนึ่งในสมบัติดังกล่าวจะปรากฏขึ้นในอาณาเขตทั้งแปดแห่ง และผู้มีสิทธิ์ที่จะได้ครอบครองสมบัติ จะต้องเป็นผู้ควบคุมอาณาเขตแห่งนั้นเท่านั้น
ส่วนเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ก็น้อยคนนักที่จะเข้าใจ
แต่หลังจากนั้นอีกสามเดือน ทูตแห่งแดนภวังค์ทมิฬก็จะมาถึงเมืองบรรพกาล และเมื่อถึงเวลานั้น คำตอบก็จะถูกเปิดเผย
สรุปแล้ว การครอบครองอาณาเขตของเมืองบรรพกาลล่วงหน้านั้นมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง
“ว่าแต่เฉินซีได้บอกหรือไม่ว่าเขาจะไปที่ใด” นายน้อยโจวถามทันที
คนอื่นต่างก็ตกตะลึง “จริงสิ เฉินซีไปที่ใดกัน?”
“ข้าคิดว่าต้องเกี่ยวข้องกับชิงซิ่วอี้และเจิ้นหลิวชิง” ฟ่านอวิ๋นหลานครุ่นคิดเป็นเวลานาน ก่อนที่นางจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า “เขาอาจมุ่งหน้าไปยังอาณาเขตทางตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นอาณาเขตของตระกูลซางเพื่อหาข้อมูล”
“ไอ้เวรนั่น! นั่นเป็นอาณาเขตของตระกูลอันทรงเกียรติแห่งอาณาจักรโบราณ แต่เขากลับไปเพียงลำพัง ไม่บุ่มบ่ามเกินไปหน่อยหรือ? อย่างน้อย…เขาก็น่าจะพาพวกเราไปด้วย!” นายน้อยโจวบ่นพึมพำ
“ถ้าพวกเราไปกันหมด แล้วใครจะดูแลอาณาเขตเล่า” ฟ่านอวิ๋นหลานค่อนข้างใจเย็น จากนั้นก็กล่าวว่า “อย่ากังวลไป เนื่องจากเฉินซีกล้าที่จะลุยเดี่ยว เขาจึงมีความมั่นใจมากพอ ไม่ต้องกล่าวถึง ว่าเจ้าเคยเห็นเขาล้มเหลวบ้างหรือไม่?”
ทุกคนรู้ว่าสิ่งที่ฟ่านอวิ๋นหลานกล่าวนั้นถูกต้อง แต่การไม่อาจช่วยเหลือเฉินซีก็ทำให้พวกเขารู้สึกเสียใจเล็กน้อย
“เอาล่ะ ไม่มีประโยชน์ที่จะกล่าวอีกแล้ว การปกป้องอาณาเขตนี้อย่างเต็มที่คือการช่วยเหลือที่ดีที่สุดที่เจ้าสามารถมอบให้กับเฉินซีได้” หวงฝู่ฉิงอิง กล่าว
…
เฉินซีซ่อนตัวอยู่ในเงามืดมุมหนึ่งที่ห่างไกลออกไป เขามองไปที่อาคารขนาดใหญ่และงดงามที่ดูคล้ายตำหนัก จากนั้นก็พึมพำกับตัวเอง “นี่คือฐานทัพของตระกูลซางหรือ? ข้าสงสัยนักว่าแม่นางชิงกับแม่นางเจิ้นจะถูกคุมขังไว้ที่ใดกัน…”
โอม!
ในช่วงเวลาต่อมา จิตสัมผัสเทพของเขาก็แผ่ออกไปผ่านเคล็ดวิชาคลื่นจิตสะท้อน ซึ่งคล้ายกับระลอกคลื่นที่ซัดเข้าหาอาคารอันยิ่งใหญ่
ตั้งแต่บรรลุสู่ขอบเขตจุติ จิตสัมผัสเทพของเฉินซีก็ทะลวงผ่านอีกครั้ง และอีกเพียงขั้นเดียวก็จะเทียบได้กับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี จนแม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตสถิตกายาทั่วไปก็มีทักษะนี้ด้อยกว่าเขา
ในเวลาไม่นาน จิตสัมผัสเทพของเขาก็ระบุเป้าหมายเอาไว้สองเป้าหมาย
นั่นคือซางเชวี่ยกับซางผิง
พวกเขากำลังสนทนาอยู่ในห้องโถง และพวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกว่า ทุกคำที่พวกเขาได้กล่าวออกไป ล้วนถูกเฉินซีสดับฟังได้อย่างชัดเจน
“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นนายน้อยโกรธ มันช่างน่ากลัวจริง ๆ” ซางผิงกล่าวด้วยความกลัวที่ยังคงอยู่ในใจของเขา “แต่เฉินซีก็แข็งแกร่งมากถึงขั้นสามารถยั่วยุนายน้อยได้ถึงขนาดนี้”
“มันไม่ใช่แค่แข็งแกร่ง เจ้าไม่เห็นหรือว่ามันลงมือฆ่าอย่างไร และพลังต่อสู้ของมันก็เป็นสิ่งที่แม้แต่ข้าเองก็ยังรู้สึกหวาดกลัวมาก ข้าไม่รู้ว่าชายคนนี้ได้บ่มเพาะมาอย่างไร จึงแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้”
“มันแข็งแกร่งหรือ? แล้วจะเป็นอย่างไรล่ะ!? มันกล้ากล่าววาจาใหญ่โตและล่วงเกินนายน้อย ตอนนี้นายน้อยได้ไปแก้แค้นสาวน้อยทั้งสองโดยตรง ถ้าเฉินซีรู้เรื่องนี้เข้าละก็ มันจะต้องเสียใจที่กล่าวคำนี้ออกไป” ซางผิงหัวเราะ เขาไม่ได้เห็นตอนที่เฉินซีสังหารลวี่เทียนเจ๋อ ดังนั้นจึงไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกของซางเชวี่ยได้
“เสียใจ เฮ้อ…” ซางเชวี่ยพึมพำ จากนั้นเขาก็ถอนหายใจอีกครั้ง “มันเสี่ยงอย่างยิ่งที่นายน้อยจะใช้หญิงสาวสองคนนั้นเพื่อบ่มเพาะในขณะนี้ หากเขาล้มเหลว ภาชนะบ่มเพาะทั้งสองอาจจะตายทันทีและไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้”
“นายน้อยจะล้มเหลวเพราะพรสวรรค์ของเขาได้อย่างไร” ซางผิงกล่าวเชิงไม่เห็นด้วย “ข้ากลับตั้งตารอจริง ๆ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับลูกไก่สองตัวนั้น หลังจากที่พวกนางถูกนายน้อยดูดซับพลังบ่มเพาะออกไปจนหมดสิ้น พวกนางจะเลือดลมตีกลับจนตายหรืออวัยวะภายในถูกแผดเผาจนกลายเป็นคนพิการ?”
“มันไม่ได้บานปลายถึงขั้นนั้น เคล็ดวิชาเทพธิดาประทานพรเป็นเพียงการขัดเกลากายาของพวกนางให้เป็นภาชนะและถูกดูดซับเพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ หลังจากสูญเสียพลังบ่มเพาะ พวกนางก็จะตายโดยไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่หากพวกนางได้รับการรักษาทันเวลา ก็อาจจะช่วยชีวิตของพวกนางได้” ซางเชวี่ยส่ายศีรษะ
“โอ้?” ซางผิงกลอกตาและหัวเราะอย่างมีเลศนัย “พี่ใหญ่ซางเชวี่ย หลังจากนายน้อยบ่มเพาะกับพวกนางเสร็จแล้ว หากข้าขอสาวน้อยทั้งสองจากนายน้อยและอนุญาตให้ข้าได้สนุกกับเรือนร่างของพวกนาง เช่นนั้นจะไม่น่ายินดีหรอกหรือ เพราะพวกนางเป็นผู้หญิงของเฉินซี แค่ข้าก็คิดก็รู้สึกตื่นเต้นแล้ว”
ซางเชวี่ยตกตะลึงและกำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่จู่ ๆ สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึม
ฟุ่บ!
เขาทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับคำรามในเวลาเดียวกัน “ผู้ใดแอบดูอยู่กัน! ไสหัวออกมาซะ!” เสียงของเขาดุจเสียงฟ้าร้องที่เต็มไปด้วยเจตนาฆ่า
โครม!
คำตอบสำหรับคำถามของเขาคือเสียงดังโครมคราม เมื่อประตูบานใหญ่และแข็งแรงของอาคารถูกพลังทำลายกระแทกอย่างรุนแรง ทำให้มันแหลกเป็นผงทันที ยิ่งกว่านั้น ศิษย์ทั้งสองคนที่เฝ้าประตูอยู่ ไม่มีโอกาสแม้แต่จะร้องโหยหวนและถูกบดขยี้จนตาย
ท่ามกลางฝุ่นควันที่ฟุ้งกระจายในอากาศ ร่างกำยำก็พุ่งพรวดเข้ามาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับกลิ่นอายที่แข็งแกร่งดุจกลิ่นอายของเทพอสูร