บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 510 บุกตระกูลซางเพียงลำพัง

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 510 บุกตระกูลซางเพียงลำพัง

บทที่ 510 บุกตระกูลซางเพียงลำพัง

เนื้อหาของการสนทนาระหว่างซางเชวี่ยและซางผิง เป็นดั่งสายฟ้าที่ฟาดเข้าใส่เฉินซีจนทำให้จิตใจของเขาสับสนวุ่นวาย

ชายหนุ่มไม่เคยคิดเลยว่า ซางคุนจะวางแผนชั่วร้ายต่อชิงซิ่วอี้และเจิ้นหลิวชิง และถ้าซางคุนทำได้สำเร็จ พวกนางทั้งคู่ก็จะต้องพบกับจุดจบ!

ถึงแม้ความรู้สึกที่มีต่อชิงซิ่วอี้ของเขาจะซับซ้อนเพียงใด แต่ท้ายที่สุดนางก็ยังคงเป็นมารดาของเฉินอัน แล้วถ้านางตาย เขาจะกล้าสู้หน้าเฉินอันในภายภาคหน้าได้อย่างไร?

ยิ่งกว่านั้น เขาก็รู้สึกเป็นห่วงเจิ้นหลิวชิงอย่างมากเช่นกัน หญิงสาวที่บริสุทธ์และสง่างามคนนี้ ได้ให้ความช่วยเหลือเขามากมายเมื่อตอนที่อยู่ในแผ่นดินซ่ง นอกจากนี้นางยังเผยความรู้สึกที่มีต่อเขาอยู่หลายต่อหลายครั้ง ความรู้สึกนี้หนักหนาจนชายหนุ่มไม่สามารถเพิกเฉยได้เช่นกัน

ในขณะนี้ ทั้งคู่กำลังตกอยู่ในอันตราย และเห็นได้ชัดว่าผลกระทบนี้ส่งผลต่อเฉินซีอย่างมาก

ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ จิตใจของชายหนุ่มจึงสั่นไหวอย่างรุนแรง ซึ่งทำให้ร่องรอยความผันผวนปรากฏขึ้นในจิตสัมผัสเทพของเขา และซางเชวี่ยก็สังเกตเห็นมันได้

แต่เฉินซีก็ไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ เนื่องจากเขาถูกยั่วยุจนถึงจุดที่ไฟแห่งความโกรธลุกโชนราวกับสัตว์ร้ายที่คลุ้มคลั่ง เขาจึงทำลายประตูที่พำนักของตระกูลซางโดยตรง ก่อนที่จะพุ่งเข้าใส่อย่างดุเดือด

เขาต้องการช่วยเหลือชิงซิ่วอี้และเจิ้นหลิวชิง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม พวกมันก็ไม่สามารถขัดขวางฝีเท้าของเขาได้!

“ถ้า…ถ้าทั้งคู่โชคร้ายและถึงวาระจริง ๆ …ถ้าอย่างนั้นข้าจะทำลายล้างตระกูลซางและฝังพวกมันทั้งหมดไปพร้อมกับพวกนาง!”

เฉินซีในขณะนี้โกรธจนถึงขีดสุด แต่นอกจากเปลวไฟแห่งความโกรธที่พลุ่งพล่านและลุกโชน มันก็ยังมีร่องรอยของความเฉยเมยในดวงตาของเขา

เฉินซีผู้รอดชีวิตจากการเข่นฆ่าและการต่อสู้มานับครั้งไม่ถ้วน ไม่เพียงแค่มีเคล็ดวิชาต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวเท่านั้น เขายังมีความตั้งใจอันแน่วแน่ในการต่อสู้อีกเช่นกัน

ความเฉยเมยและความโกรธของเขาไม่อาจส่งผลกระทบต่อพลังต่อสู้ แต่กลับกระตุ้นเจตนาฆ่าในอกอย่างบ้าคลั่ง อีกทั้งยังทำให้จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง!

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

ร่างจำนวนมากพุ่งออกมาจากตำหนักของตระกูลซาง และไปรวมตัวกับซางเชวี่ยซึ่งอยู่บนกลางอากาศ

ในฐานะตระกูลอันทรงเกียรติที่ลึกลับที่สุด ศิษย์ทั้งห้าสิบคนของตระกูลซางที่เข้าสู่สมรภูมิบรรพกาลในครั้งนี้ ล้วนมีจำนวนมากกว่าราชวงศ์อื่น ๆ อย่างมาก และมีจำนวนคนมากกว่าสามราชวงศ์ระดับสูงสุดอยู่เล็กน้อย

ยิ่งไปกว่านั้น ศิษย์ของตระกูลซางเหล่านี้ล้วนมีความแข็งแกร่งที่น่าเกรงขาม และการบ่มเพาะของพวกเขาอย่างน้อยที่สุดก็อยู่ที่ขอบเขตจุติระดับที่สาม พวกเขาจึงทรงพลังอย่างน่าสะพรึงกลัว

เป็นเพราะตระกูลซางมีกองกำลังและความแข็งแกร่งเช่นนี้ พวกเขาจึงสามารถครอบครองอาณาเขตของประตูเมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองบรรพกาลและขึ้นเป็นเจ้าเหนือหัวได้

มีเพียงสามราชวงศ์ระดับสูงสุด ตระกูลเซวีย และตระกูลเฟิงเท่านั้นที่สามารถเทียบกับตระกูลซางได้

“ผู้ใด?!”

“ไอ้สารเลวคนไหนที่หาเรื่องใส่ตัว”

“ไอ้บัดซบคนนี้กล้ารุกล้ำอาณาเขตของตระกูลซางของข้า มันจะต้องถูกทำลาย มิฉะนั้นตระกูลซางของข้าจะยืนหยัดอยู่ในเมืองบรรพกาลต่อไปได้อย่างไร?”

ในขณะเดียวกัน หลังจากได้ยินเสียงตะโกนอันกึกก้องของซางเชวี่ย ศิษย์ของตระกูลซางเหล่านี้ก็รีบมาจากทั่วทุกสารทิศทันที และพวกเขาทั้งหมดล้วนมีสีหน้าอาฆาตแค้นในขณะที่ดวงตาฉายประกายเย็นชา

ในฐานะศิษย์ของตระกูลอันทรงเกียรติ พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีใครที่กล้าบุกรุกเข้ามาในฐานที่มั่นของพวกเขาและยังกล้าแสดงความโอหังออกมา

…คนผู้นี้คงเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่เป็นแน่!

“หุบปาก! พวกเจ้าทุกคนจงระมัดระวังตัวและเตรียมต่อสู้ซะ” ซางเชวี่ยชำเลืองมองไปยังเหล่าศิษย์ที่อยู่เคียงข้าง จากนั้นก็มองไปยังร่างกำยำที่พุ่งเข้ามาจากระยะไกล และคิ้วของเขาก็อดไม่ได้ที่ขมวดเข้าหากันแน่น

ทุกคนตกตะลึงและรู้สึกไม่เชื่อ ซึ่งในขณะนี้เอง พวกเขาก็สังเกตเห็นเฉินซีที่อยู่ห่างไกลออกไป มันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะเข้าใจว่าเหตุใดน้ำเสียงของซางเชวี่ยจึงจริงจังมากเมื่อต้องจัดการกับศัตรูเพียงคนเดียว

“มันคือเฉินซี ผู้ได้อันดับหนึ่งในศิลาจารึกวิญญาณแห่งการต่อสู้ของจักรพรรดิสงคราม เมื่อครู่ที่ผ่านมา มันได้สังหารเหล่ายามรักษาประตูตะวันออกเฉียงเหนือเพียงลำพัง… แม้ว่าตระกูลซางของเราจะไม่เกรงกลัว แต่ก็ต้องระมัดระวังเมื่อต่อสู้กับมันเช่นกัน”

เมื่อเห็นความไม่แยแสของสหายรอบข้าง ซางผิงที่อยู่ใกล้เคียงก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว แล้วเตือนอย่างเร่งรีบ “ในตอนนี้ นายน้อยกำลังอยู่ในการปิดด่านบ่มเพาะและไม่สามารถออกมาได้กลางคัน ดังนั้นเราจึงต้องพึ่งพาตัวเองเพื่อทำลายล้างมัน พวกเจ้าคงตระหนักได้แล้วสินะว่า สถานการณ์นั้นรุนแรงเพียงใด”

หัวใจของทุกคนรู้สึกถึงความหนาวเย็น ทำให้สีหน้าของพวกเขากลายเป็นจริงจังอย่างพร้อมเพรียงกัน

“มันมาแล้ว! เตรียมตัวปะทะซะ!” ซางเชวี่ยกล่าวออกมาทันที

“จงบอกข้ามาซะ ไอ้สารเลวซางคุนนั่นอยู่ที่ใด มิฉะนั้นข้าจะไม่ปรานีพวกเจ้าแน่!” ร่างที่ตั้งตรงเหมือนกระบี่ของเฉินซีพลันหยุดลง ขณะเปล่งกลิ่นอายอันดุร้ายและน่าเกรงขามออกมา จึงทำให้ชายหนุ่มดูเหมือนกับเทพมารที่จุติลงมายังโลก จากนั้นเขาก็กวาดสายตาอันเยือกเย็นไปยังเหล่าศิษย์ตระกูลซางที่อยู่ห่างไกลออกไป แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาดสะท้อนไปทั่วบริเวณโดยรอบ

“ไอ้บัดซบ เจ้ากำลังรนหาที่ตาย!” ศิษย์ของตระกูลซางคนหนึ่งได้ระเบิดความโกรธเมื่อเห็นว่าเฉินซีนั้นหยิ่งผยองมาก เขาจึงพุ่งออกไปทางชายหนุ่มในขณะที่ถือหอกที่มีแสงสีเขียวเปล่งออกมา

ฟุ่บ! ฟุ่บ!

เงาหอกพาดผ่านท้องฟ้าในขณะที่ประกายสีเขียวปะทุขึ้น มันดูเหมือนกับดอกไม้สีเขียวขจีนับไม่ถ้วนที่บานสะพรั่งอย่างรุนแรงขณะที่ปกคลุมไปทั่วทั้งฟ้าดิน พลังที่รุนแรง รวดเร็วและน่าสะพรึงกลัวของหอกได้แทงทะลุท้องฟ้าจนแหวกออก ทำให้เกิดคลื่นกระแทกและเสียงดังฟุ่บก้องออกมา

นี่คือผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติระดับที่สาม แม้เขาจะไม่ได้โดดเด่นมากนักในหมู่ศิษย์ของตระกูลซาง แต่พลังที่ระเบิดออกมานั้นค่อนข้างน่าทึ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทรัพยากรและกองกำลังของตระกูลซางนั้นลึกล้ำเพียงใด

ตู้ม!

อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญกับการโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวนี้ เฉินซีเพียงยกมือขึ้นและชกออกไป ส่งหมัดอันทรงพลังซึ่งแฝงไปด้วยพลังของภูเขา มหาสมุทร กระแสน้ำ พระอาทิตย์และพระจันทร์ถาโถมลงมาจากกลางอากาศ ราวกับฟ้าดินกำลังพังทลาย แม้แต่พระอาทิตย์กับพระจันทร์ก็ยังร่วงหล่นลงมาพร้อมกัน

เพลงหมัดมหาทำลายล้าง… ทลายโกลาหล!

ชายหนุ่มได้บ่มเพาะวิชาหมัดนี้เป็นพิเศษจนถึงระดับที่เชี่ยวชาญอย่างถ่องแท้มาตั้งแต่ครั้งที่อยู่ในทะเลบรรพกาล และเขาได้ใช้มันสังหารอสูรทะเลที่แข็งแกร่งมานับไม่ถ้วน ในขณะนี้ พลังหมัดของเขาพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าเมื่อเขาใช้มันออกไป จากนั้นมันก็ทำลายเงาหอกเหล่านั้นโดยตรง

ฟู่!

ศิษย์ของตระกูลซางที่พุ่งเข้าใส่เฉินซีถูกบดขยี้ด้วยพลังหมัดอันน่าสะพรึงกลัวนี้ และไม่มีโอกาสแม้แต่จะเปล่งเสียงร้องโหยหวน ก่อนที่ร่างของคนคนนั้นจะถูกบดขยี้จนกลายเป็นสายฝนสีแดงที่โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า

ดวงตาของเหล่าศิษย์ตระกูลซางหดตัวเมื่อเห็นภาพนี้และพวกเขาตกใจจนแทบขวัญหนีดีฝ่อ

“นี่มันสังหารสหายของเราด้วยกระบวนท่าเดียวอย่างนั้นหรือ?”

“ก่อขบวนทัพซะ! เราจะจู่โจมพร้อมกัน!” ซางเชวี่ยตะโกนออกมาราวกับเสียงระเบิด

ในช่วงเวลาต่อมา ศิษย์ของตระกูลซางทั้งสี่สิบคนก็แยกย้ายออกไปโดยพร้อมเพรียงกัน ปราณแท้ของพวกเขาส่งเสียงดังกึกก้องขณะที่วงล้อศักดิ์สิทธิ์ส่องประกายบนท้องฟ้า และพวกเขาก็ก่อตัวเป็นขบวนทัพขนาดใหญ่ก่อนที่จะพุ่งเข้าใส่เฉินซี

ในทางกลับกัน ซางเชวี่ยกับซางผิงกลับล่าถอยห่างออกไป เพื่อควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด

จากมุมมองของพวกเขา เนื่องจากพวกเขาได้ส่งเหล่าศิษย์ออกไปจำนวนมาก และคนทั้งหมดก็มีฐานการบ่มเพาะที่สูงกว่าอีกฝ่ายมากถึงหนึ่งขั้น อีกทั้งยังก่อตัวเป็นขบวนทัพขนาดใหญ่ ดังนั้นต่อให้เฉินซีจะแข็งแกร่งถึงเพียงใด วันนี้อีกฝ่ายจะต้องตายอย่างแน่นอน!

ครืน!

ขบวนทัพขนาดใหญ่ที่ก่อตัวขึ้นจากเหล่าศิษย์ของตระกูลซาง ได้เปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ที่พร่างพราว ขณะที่พวกมันพุ่งตรงไปข้างหน้าและสั่นสะเทือนท้องฟ้า ราวกับเป็นพระอาทิตย์ที่ส่องแสงระยิบระยับและค่อย ๆ โผล่ขึ้นมา ทำให้เหล่าผู้บ่มเพาะในเมืองบรรพกาลตกตะลึง จากนั้นจึงมองดูอย่างต่อเนื่อง

“ช่างเป็นพลังที่น่าสะพรึงกลัวนัก ผู้ใดกำลังต่อสู้อยู่ตรงนั้นกันแน่?”

“ดูนั่นสิ! การต่อสู้เกิดขึ้นในตระกูลซาง หรือว่ากองกำลังชั้นนำกำลังเริ่มต่อสู้กันเองแล้ว?”

“ช้าก่อน การทดสอบสุดท้ายของสมรภูมิบรรพกาลยังไม่เริ่มขึ้น ไม่มีใครโง่พอที่จะเริ่มการต่อสู้ในตอนนี้! มันน่าจะเป็นการต่อสู้เพื่อล้างแค้น”

“ไปดูกันเถอะ! มิฉะนั้นเราจะไม่มีวันได้รู้ ถ้าหากไม่รีบมุ่งหน้าไป”

เมืองบรรพกาลในขณะนี้กำลังตกอยู่ในความโกลาหล เหล่าผู้บ่มเพาะต่างมุ่งหน้าไปอย่างพร้อมเพรียงกัน การต่อสู้ได้เกิดขึ้นในตำหนักของตระกูลซาง และมันก็เป็นฉากที่ยอดเยี่ยมมาก ดังนั้นพวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะสงสัย

ในเวลาไม่นาน พวกเขาสังเกตเห็นว่าไม่ใช่กองกำลังที่ต่อสู้กับตระกูลซาง แต่เป็นชายหนุ่มเพียงคนเดียวเท่านั้น!

คนส่วนใหญ่ตะลึงเมื่อเห็นฉากนี้ การต่อสู้กับกองกำลังของตระกูลอันทรงเกียรติเพียงลำพังเช่นนี้ จะไม่ร้ายกาจเกินไปหน่อยหรือ?

“โอ้สวรรค์! เป็นเฉินซีอีกแล้ว!”

“อะไรนะ? เป็นเขาอีกแล้วหรือ? คนผู้นี้ได้อันดับที่หนึ่งบนศิลาจารึกวิญญาณแห่งการต่อสู้ของจักรพรรดิสงครามทันทีหลังจากเข้าเมืองในวันนี้ อีกทั้งยังเข่นฆ่าคนจากราชวงศ์ระดับสูงทั้งสี่แห่งแล้วเข้าควบคุมอาณาเขตทางตะวันออกเฉียงเหนือ และตอนนี้เขายังมาต่อสู้กับตระกูลซางอีก นี่มันบ้าไปแล้ว… ข้าไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี!”

“ตัวตนที่ร้ายกาจเช่นนี้กลับปรากฏตัวขึ้นในราชวงศ์ซ่ง ข้าสงสัยว่ามันเป็นคำอวยพรหรือคำสาปกันแน่?”

เมื่อรู้ว่าบุคคลที่กำลังต่อสู้กับตระกูลซางนั้นคือเฉินซี ผู้บ่มเพาะที่รีบรุดมาจากทั่วทุกสารทิศก็ตกอยู่ในความปั่นป่วน และใบหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความไม่เชื่อ

แต่ในเวลาไม่นาน พวกเขาก็ถูกดึงดูดโดยการต่อสู้ที่อยู่ไกลออกไป

ในขณะนี้ เฉินซีได้กลายร่างเป็นยักษ์ที่มีความสูงกว่ายี่สิบสามจั้ง มีสามเศียรหกกร มีดวงตาแนวตั้งเปิดอยู่ตรงหว่างคิ้วของเขา ในขณะที่พายุสายฟ้าอันพร่างพรายและเจิดจ้านับไม่ถ้วนปกคลุมอยู่รอบตัว ซึ่งเมื่อมองจากระยะไกล ชายหนุ่มก็ดูเหมือนเทพเจ้าแห่งสายฟ้าที่ปล่อยกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัว…แผ่กลิ่นอายแห่งการทำลายล้างทั่วทั้งฟ้าดินออกไปไกล

ทุก ๆ หมัดที่เขาชกออกไปนั้นส่งเสียงดังก้องดั่งฟ้าร้อง ในขณะที่พายุสายฟ้าก็โหมกระหน่ำใส่ฟ้าดินอย่างดุเดือด ทำให้ทุกหนทุกแห่งที่มันผ่านไป ไม่ว่าจะเป็นกระบวนยุทธ์ สมบัติวิเศษ และพลังอิทธิฤทธิ์ใดก็ตาม ล้วนถูกบดขยี้และกลืนกินจนหายไปตรงหน้าเขาทันที ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังศักดิ์สิทธิ์อันร้ายกาจที่ไม่มีใครเทียบได้

รูปร่างของชายหนุ่มสูงตระหง่านดุจขุนเขา แต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อความเร็วของเขาแต่อย่างใด ภายใต้การประสานของปีกนภาดารกะ ร่างของเฉินซีดุจพายุสายฟ้าที่โหมกระหน่ำใส่ทุกสิ่งอย่างไม่หยุดยั้ง และอาละวาดอย่างรวดเร็วดั่งภูตผีที่เคลื่อนตัวผ่าน

เนื่องจากเขามีเนตรเทวะแห่งความจริง ชายหนุ่มจึงสามารถมองข้อบกพร่องต่าง ๆ ของศัตรูออกในทันที ก่อนที่จะทำการโจมตี ดังนั้น แม้ว่าขบวนทัพขนาดใหญ่ที่ก่อตัวขึ้นโดยเหล่าศิษย์ของตระกูลซางจะน่าสะพรึงกลัว แต่นานไปก็ไม่สามารถทำร้ายเขาได้ อีกทั้งยังถูกพายุสายฟ้าโหมเข้าใส่จนสั่นสะท้านและแทบจะพยุงตัวเองเอาไว้ไม่ได้ ทำให้ทุกคนตกตะลึงจนแทบขวัญหนีดีฝ่อ

เพราะนี่คือขบวนทัพขนาดใหญ่ที่ก่อตัวขึ้นจากผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตจุติกว่าสี่สิบคน และทุกคนล้วนมีฐานการบ่มเพาะที่สูงกว่าเฉินซีหนึ่งขั้น ทว่าพวกเขาในขณะนี้แทบจะไม่สามารถต้านทานการโจมตีของชายหนุ่มได้เลย ดังนั้นจะไม่ทำให้ทุกคนตกใจได้อย่างไร?

ตู้ม!

เสียงดังสนั่นที่สามารถสะท้านฟ้าดินได้บังเกิดขึ้น

ในขณะที่แสงพร่างพรายได้ระเบิดออกมาจากสนามรบและกวาดไปยังบริเวณโดยรอบ มันก็ทำให้ตำหนัก ก้อนหิน และพืชพรรณ …ล้วนถูกบดขยี้และสลายหายไปทันที เช่นเดียวกับบนพื้นที่ก็เกิดรอยแตกขนาดใหญ่นับไม่ถ้วนเหมือนใยแมงมุม ทำให้หมอกฝุ่นฟุ้งกระจายไปในอากาศและบดบังสายตาของทุกคน

ในช่วงเวลาต่อมา เสียงร้องโหยหวนก็ดังก้องออกมาจากหมอกฝุ่น และร่างนับสิบก็กระเด็นออกมาพร้อมกับกระอักเลือดเต็มปาก พวกเขามีสภาพที่ดูไม่ได้อย่างยิ่ง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส

ฉากนั้นงดงามมาก ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตจุติถูกบดขยี้ลงกับพื้นทีละคนและส่งเสียงร้องโหยหวนติดต่อกันออกมา ทำให้หัวใจของผู้เฝ้าดูอยู่ห่างไกลออกไปนั้นสั่นไหวอย่างมากและทำให้ขากรรไกรของพวกเขาอ้าออกอย่างไม่อาจควบคุม

“บอกข้ามาซะ ไอ้สารเลวซางคุนนั่นอยู่ที่ใด!” ภายในหมอกฝุ่นที่ปกคลุมท้องฟ้า เฉินซีผู้สูงดุจขุนเขาได้ปรากฏตัวขึ้นในขอบเขตการมองเห็นของทุกคน สายตาของชายหนุ่มเย็นชา น้ำเสียงของเขาไม่แยแส และตัวคนก็พุ่งตรงไปยังศิษย์ของตระกูลซางที่ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสขณะกล่าวขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ ประกายแห่งความรู้สึกอันตรายได้พุ่งเข้ามาในหัวใจของชายหนุ่ม ทำให้เฉินซีต้องหยุดการเคลื่อนไหวทันที จากนั้นจึงมองไปยังระยะไกลอย่างรวดเร็ว

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท