บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 514 ถูกทุกคนหมายหัว

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 514 ถูกทุกคนหมายหัว

บทที่ 514 ถูกทุกคนหมายหัว

คำถามของเฉินซีถูกกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและดุดันโดยไม่ไว้หน้าเฟิงเจี้ยนไป๋เลยแม้แต่น้อย กลิ่นอายอันโอ่อ่าที่เขาแผ่ออกมานั้นทรงพลังมากจนทำให้หัวใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว

“เฉินซี อารมณ์ของเจ้าพลุ่งพล่านเกินไปแล้ว ข้ามาที่นี่เพื่อไกล่เกลี่ยข้อพิพาท แต่ท่าทางของเจ้ากลับดุดันเกินไปหรือไม่” น้ำเสียงของเฟิงเจี้ยนไป๋เรียบเฉย เขาพูดอย่างไม่เร่งรีบ ยังคงไม่ใส่อารมณ์กับคำกล่าวของเฉินซี

ในขณะที่กล่าว เจ้าตัวก็นำมือไพล่หลังขณะมองไปยังเฉินซีอย่างเฉยเมย และแม้ว่าท่าทีจะดูอ่อนโยน ทว่าก็เผยให้เห็นถึงท่าทีที่กดขี่ข่มเหงโดยไม่รู้ตัว เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจชายหนุ่ม

“ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท?” มุมปากของเฉินซีเต็มไปด้วยความเย้ยหยันขณะที่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าอาจมาด้วยเจตนาร้ายก็เป็นได้ ผ่านมาไม่นานนี้ เจ้าดันมาถึงตอนที่ไอ้สารเลวพวกนี้กำลังจะตาย สิ่งนี้มันแตกต่างอะไรจากการฉวยโอกาสเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง?”

สีหน้าของซางเชวี่ยกับพรรคพวกพลันเคร่งขรึม นัยน์ตาของพวกเขาเผยความเกลียดชังออกมาเมื่อถูกเฉินซีเหยียดหยามว่าเป็นไอ้สารเลว ซ้ำยังทำให้พวกเขาระแวดระวังมากขึ้น

กล่าวกันตามตรง พวกเขาไม่ได้ต้อนรับการมาถึงอย่างกะทันหันของเฟิงเจี้ยนไป๋เช่นกัน ทั้งยังสงสัยว่าเจตนาของเขาก็คงเหมือนกับที่เฉินซีกล่าวไว้

เมื่อสังเกตเห็นท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปของทุกคน เฟิงเจี้ยนไป๋ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เขาส่ายหัวและกล่าวว่า “เฉินซี คำพูดของเจ้าดูจะเกินเลยไปหน่อย ประเด็นนี้ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิด จะดีกว่าหากเจ้าสงบสติอารมณ์และเงียบไปสักครู่ หากเจ้าต่อสู้กับบรรดาสหายผู้บ่มเพาะจากตระกูลซางอย่างบ้าระห่ำ มันจะไม่เป็นประโยชน์ให้กับใครทั้งนั้น”

“พอได้แล้ว!” สายตาของเฉินซีเผยให้เห็นสายฟ้าที่พาดผ่านขณะที่เขาจ้องเขม็งไปยังเฟิงเจี้ยนไป๋ “คิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังวางแผนอะไรอยู่อย่างนั้นหรือ? ไม่ใช่ว่าโศกนาฏกรรมของตระกูลซางจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของตระกูลเฟิงของเจ้าหรอกหรือ?”

“กล่าวง่าย ๆ ก็คือเจ้าในวันนี้ไม่ได้มาด้วยเจตนาดี และตั้งใจจะฉวยโอกาสนี้เพื่อใช้ตระกูลซางมาสร้างผลประโยชน์ให้กับตัวเอง ด้วยวิธีนี้ ตระกูลเฟิงของเจ้าจะได้ครอบครองพื้นที่อย่างง่ายดาย ซ้ำยังได้สุนัขรับใช้ที่จงรักภักดี เรียกได้ว่าเป็นการขว้างหินก้อนเดียว… ได้นกสองตัว!”

ในขณะที่กล่าว เฉินซีไม่ได้ละสายตาจากเฟิงเจี้ยนไป๋แม้แต่นิดเดียว ทำให้เขาเห็นคิ้วของอีกฝ่ายกระตุกเป็นการตอบสนองทางร่างกาย และแม้จะเป็นการกระตุกที่เบาบาง ทว่าชายหนุ่มก็สังเกตเห็นได้ชัดเจน จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเยาะเย้ยในใจ

ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเฟิงเจี้ยนไป๋ เฉินซีก็รู้สึกได้ว่าคนผู้นี้มากไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม หลังจากพูดคุยกับอีกฝ่ายและฟังคำเสแสร้งนั้น ความเกลียดชังในใจของเขาที่มีต่อเฟิงเจี้ยนไป๋ก็พลันเพิ่มทวีคูณ ทำให้เขาเปิดโปงคำโกหกของอีกฝ่ายตรง ๆ

ครั้งแรกก็ถูกเฉินซีดูถูกว่าเป็นไอ้สารเลว และตอนนี้ก็ยังถูกตราหน้าว่าเป็นสุนัขรับใช้ ทั้งสองคำนี้ทำให้เปลวไฟพวยพุ่งออกมาจากดวงตาของซางเชวี่ยและศิษย์แห่งตระกูลซางคนอื่น ๆ สีหน้าของพวกเขาในขณะนี้ถมึงทึงสุดขีด

ทว่าคำกล่าวของเฉินซีก็ทำให้พวกเขาหวาดกลัวในใจเช่นกัน แน่นอนว่าเฟิงเจี้ยนไป๋จะมีเจตนาดีจากการยืนหยัดต่อสู้เพื่อพวกเราโดยไม่มีเหตุผลเชื่อมโยงใด ๆ ได้อย่างไร?

ตระกูลซางในตอนนี้ได้ประสบกับความสูญเสียมากมาย และตระกูลเฟิงของอีกฝ่ายสามารถกลืนกินตระกูลซางได้อย่างสมบูรณ์เนื่องด้วยโอกาสนี้ ไม่ใช่ว่านี่เป็นเหตุผลเดียวหรอกหรือที่ทำให้เฟิงเจี้ยนไป๋ไม่ลงมือ เพราะคิดว่าพวกตนยังมีประโยชน์อยู่และตั้งใจที่จะควบคุมพวกตน รวมถึงพื้นที่ทางตอนตะวันตกเฉียงเหนือทั้งหมดนี้เพื่อประโยชน์ของตัวเอง?

เมื่อความคิดเหล่านี้แล่นเข้ามาในหัว สายตาที่จ้องมองไปยังเฟิงเจี้ยนไป๋ของซางเชวี่ยและพวกพ้องก็เริ่มไม่เป็นมิตรมากขึ้น

แม้แต่ผู้ชมทุกคนในระยะไกลก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าหลังจากได้ฟังการวิเคราะห์ของเฉินซี ถูกต้อง! การปรากฏตัวของเฟิงเจี้ยนไป๋นั้นบังเอิญเกินไปและเป็นไปไม่ได้ที่คนอื่นจะไม่ฉงนใจกับเจตนาของคนคนนี้

เฟิงเจี้ยนไป๋เองก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าสถานการณ์จะมาไกลขนาดนี้…

เดิมทีเขาคิดว่าตราบเท่าที่ปรากฏตัว ทั้งสองฝ่ายที่กำลังต่อสู้อยู่จะชื่นชมในความดีของตนและยุติการต่อสู้ลง หลังจากนั้นก็จะสามารถทำตามแผนได้อย่างง่ายดาย

เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะถูกเฉินซีปฏิเสธซึ่ง ๆ หน้าหลังจากที่ปรากฏตัว ซ้ำยังเปิดโปงแผนการของเขาโดยตรง สิ่งนี้ทำให้เฟิงเจี้ยนไป๋อดไม่ได้ที่จะมีโทสะ

แต่ดูจากผิวเผินแล้ว การแสดงออกของเฟิงเจี้ยนไป๋ยังคงสงบนิ่ง เขายืนอย่างสง่างาม กลิ่นอายของเขาหลอมรวมเข้ากับสวรรค์และโลก ทำให้ดูไร้เทียมทานราวกับเป็นเซียน ซึ่งแตกต่างจากคนน่ารังเกียจและเจ้าเล่ห์โดยสิ้นเชิง

ทว่าเขากลับถูกขัดจังหวะด้วยเสียงอันเย็นชาของเฉินซีก่อนที่จะได้เอ่ยปากว่า “ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกต่อไปแล้ว หากเจ้าต้องการแสดงความมีมนุษยธรรม เช่นนั้นก็ถอนตัวออกไปและอย่ายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก!”

ไม่ว่าอารมณ์ของเฟิงเจี้ยนไป๋จะดีแค่ไหน แต่การถูกเฉินซีเหยียดหยามซ้ำแล้วซ้ำเล่า ย่อมทำให้เจ้าตัวไม่อาจระงับความโกรธได้ ดวงตาของเขาเย็นยะเยือกราวกับใบมีดขณะที่จ้องมองไปยังเฉินซี “แล้วหากข้าไม่ตกลงเล่า?”

“ในที่สุดเจ้าก็ยอมรับแล้ว?” เฉินซียิ่งดูถูกเหยียดหยามมากขึ้น

“เหอะ! ขึ้นอยู่กับเจ้าเองว่าต้องการจะคิดอย่างไร ข้าไม่อยากพูดเรื่องไร้สาระกับคนอย่างเจ้าที่ไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี และถ้าข้าพูดมากเกินไป เดี๋ยวคนอื่นอาจคิดว่าข้ากำลังกลัวเจ้า” เฟิงเจี้ยนไป๋ตะคอกใส่

“อย่าทำตัวเช่นนี้จะดีกว่านะ” เฉินซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่ใช่แค่ตระกูลเฟิงของเจ้าเท่านั้นที่ตั้งใจจะควบคุมตระกูลซาง หากข้าจำไม่ผิด กองกำลังสามราชวงศ์ระดับสูงสุดและตระกูลเซวียคงจะกำลังกรูเข้ามาแล้วในตอนนี้ พวกเขาไม่มีทางประเคนตระกูลซางให้กับเจ้าอย่างแน่นอน!”

“เจ้า…” ในที่สุดสีหน้าของเฟิงเจี้ยนไป๋ก็เปลี่ยนไปเมื่อได้ยินสิ่งนี้

กล่าวได้ว่าคำพูดเฉินซีได้จี้จุดอ่อนของอีกฝ่าย และมันก็เป็นสิ่งที่อีกฝ่ายกังวลมากที่สุด เหตุผลที่รุดฝีเท้าเข้ามาก็เพราะต้องการคว้าโอกาสในการเป็นอันดับหนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้อื่นสร้างปัญหาให้กับแผนการของตน

บัดนี้ เฉินซีได้ชี้ประเด็นอย่างโจ่งแจ้ง ดังนั้นไม่ว่าเฟิงเจี้ยนไป๋จะเก็บอาการเพียงใด สีหน้าของเขาก็ได้เผยความเย็นชาออกมาในที่สุด “เฉินซี เจ้าไร้สาระมาพอแล้ว หากยังคิดจะปฏิเสธอย่างลืมหูลืมตา มันจะไม่ใช่แค่เจ้าหรอกที่จะเจ็บตัว เพราะความปลอดภัยของสหายของเจ้าก็กำลังตกอยู่ในกำมือของเจ้าเช่นเดียวกัน”

“ขู่กันอย่างนั้นรึ?” ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง แสงเย็นชาปรากฏขึ้นภายในดวงตาคู่นั้น เจตจำนงสังหารที่หนาแน่นผุดขึ้นมาภายในหัวใจ เพราะสิ่งที่ชายหนุ่มเกลียดที่สุดคือการที่คนอื่นมาขู่เขาด้วยสหายและคนที่เขารัก ผู้คนเหล่านี้เป็นเหมือน ‘สิ่งห้วงห้าม’ ของเขา ดังนั้นจะปล่อยให้ผู้ใดแตะต้องได้อย่างไร!?

“ใช่ มันคือคำขู่!” เนื่องจากถูกปลอกเปลือกจนหมดแล้ว เฟิงเจี้ยนไป๋จึงหยุดแสดงท่าทีแสร้งสุภาพและกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เจ้าเป็นเพียงมดปลวกจากราชวงศ์ระดับกลาง คิดว่าเจ้าจะสามารถวิ่งพล่านไปทั่วได้เพียงเพราะเจ้าประสบความสำเร็จในบางสิ่งอย่างนั้นหรือ? ข้าแนะนำให้เจ้าไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้น ทุกคนในราชวงศ์ซ่งของเจ้าจะถูกกำจัดเสียวันนี้!” น้ำเสียงของเขาเผยให้เห็นการดูถูกเหยียดหยามและเจตจำนงสังหารที่เยือกเย็น ทำให้หัวใจของผู้คนที่อยู่ห่างไกลกระตุกอย่างไม่อาจควบคุม ด้วยมันจริงอย่างที่เฉินซีกล่าว… เฟิงเจี้ยนไป๋ผู้นี้มีจุดประสงค์แอบแฝง!

“ถ้าเจ้ากล้าพอ ข้ารับประกันว่าทุกคนในตระกูลเฟิงของเจ้าจะไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป!” เฉินซีโกรธถึงที่สุด ทว่าท่าทางของเขาก็สงบและไม่แยแส และหลังจากกล่าวจบ เขาก็หันกลับมา กลิ่นอายรอบ ๆ ตัวปะทุขึ้น ก่อนจะเดินไปหาซางเชวี่ยและคนอื่น ๆ ที่อยู่ห่างไกลออกไป

เขาไม่มีอารมณ์จะต่อบทสนทนาที่ไร้สาระกับเฟิงเจี้ยนไป๋อีกต่อไป

ปัจจุบันยังไม่ทราบชะตากรรมของชิงซิ่วอี้กับเจิ้นหลิวชิง ทุกอึดใจที่เสียไปอาจทำให้ทั้งสองคนต้องพบกับชะตากรรมมรณะชั่วนิรันดร ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าเสียเวลาอีกต่อไป

เมื่อเทียบกับชีวิตของพวกเขาทั้งสองแล้ว มันก็ไม่มีสิ่งใดภายในใจของเขาอีก

ในขณะที่ฟังเสียงเย็นยะเยือกของเฉินซีที่ยังคงดังก้องอยู่ข้างหู เฟิงเจี้ยนไป๋อดไม่ได้ที่จะทำสีหน้ามัวหมอง เจตจำนงสังหารพวยพุ่งขึ้นในใจ คิดที่จะมอบโทษประหารให้กับเฉินซีหากมีโอกาส!

ดังนั้นเมื่อเห็นชายหนุ่มพุ่งเข้าหาซางเชวี่ยกับพรรคพวก เขาก็ไม่ลังเลที่จะกระตุ้นความตั้งใจที่จะโจมตี อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวพลันสังเกตเห็นว่ากองกำลังของตระกูลเซวีย และสามราชวงศ์ระดับสูงสุดได้ปรากฏให้เห็นอยู่ไกลห่าง …พวกเขาทั้งหมดมองมาที่เฟิงเจี้ยนไป๋อย่างเย็นชา!

ใจของเฟิงเจี้ยนไป๋รู้สึกหนาวเหน็บ จากนั้นพลันละทิ้งความคิดที่จะลงมือทันที

เพราะเขาทราบว่ามันสายเกินไปสำหรับทุกสิ่ง ด้วยแม้ว่าจะหยุดเฉินซีได้ เฟิงเจี้ยนไป๋ก็ไม่อาจหยุดกองกำลังอื่น ๆ จากความละโมบที่มีต่อตระกูลซางได้

“บัดซบเอ๊ย!” เมื่อหวนนึกถึงชั่วขณะที่ถูกเฉินซีแฉจนหมดเปลือก เฟิงเจี้ยนไป๋รู้สึกไม่พอใจจนแทบจะเป็นบ้า สายตาของเขาเผยให้เห็นเจตจำนงอาฆาตในขณะที่จ้องมองไปยังชายหนุ่มที่อยู่ห่างไกลออกไป

การต่อสู้ปะทุขึ้นอีกครั้ง และแรงผลักดันแห่งการต่อสู้ก็น่ากลัวยิ่งกว่าเดิม

ทว่าทุกคนสังเกตเห็นได้ชัดเจนว่าซางเชวี่ยกับพรรคพวกกำลังกระวนกระวายใจ จึงพากันพ่ายแพ้ต่อเฉินซีทีละคน ถึงขนาดมีสามคนถูกปลิดชีพในเวลาไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น!

เหตุผลที่ถูกสังหารนั้นง่ายดายมาก สภาพจิตใจของพวกเขาผันผวนไปหมด

การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเฟิงเจี้ยนไป๋ผนวกกับการวิเคราะห์ที่ไร้ที่ติของเฉินซี ทำให้พวกเขาเข้าใจแจ่มแจ้งว่า ตระกูลซางนั้นไม่ได้น่าเกรงขามเหมือนในอดีต และมันได้กลายเป็นสิ่งของที่ผู้คนตั้งใจจะแย่งชิงกัน!

ต้องกล่าวว่านี่เป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างยิ่ง เมื่อไม่นานมานี้ พวกเขายังคงเป็นเจ้าเหนือหัวในเมืองบรรพกาลอยู่เลย ทว่ากลับตกเป็นเป้าหมายของกองกำลังต่าง ๆ ในเมืองบรรพกาล นี่เป็นความเสื่อมถอยอย่างหนักหน่วง ซึ่งทำให้บรรดาศิษย์ของตระกูลอันทรงเกียรติทุกคนที่เคยชินกับการมีอำนาจเหนือผู้อื่นไม่อาจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นไปชั่วขณะ

ยิ่งกว่านั้น ใครจะคาดคิดว่าต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้เกิดจากคนหนึ่งคน?

เขาบุกรุกเข้าไปในตระกูลซางด้วยตัวเอง ต่อสู้กับผู้เยี่ยมยุทธ์ของตระกูลจำนวนมากด้วยตัวเอง และพาตระกูลอันทรงเกียรติเข้าสู่สถานการณ์ที่สิ้นหวัง…

ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพียงเพราะหญิงสาวสองคน!

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ซางเชวี่ยกับคนอื่น ๆ ต่างพากันรู้สึกผิดอย่างยิ่ง หากทราบก่อนหน้านี้ว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น พวกเขาจะกล้าทำให้เจิ้นหลิวชิงกับชิงซิ่วอี้ขุ่นเคืองได้อย่างไร?

ทว่าตอนนี้ทุกอย่างสายเกินไปแล้ว แม้แต่ความรู้สึกผิดก็ไร้ประโยชน์!

พวกเขาได้แต่ฝากความหวังไว้ที่นายน้อยซางคุน ให้บ่มเพาะสำเร็จโดยเร็วที่สุด เพื่อที่จะออกมาพลิกสถานการณ์ และพาตระกูลซางออกจากหายนะ!

ทว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกสิ้นหวังจนถึงตอนนี้ก็คือไม่มีร่องรอยของนายน้อยซางคุนแม้แต่น้อย และพวกเขาทั้งหมดกำลังจะถูกสังหารหมู่โดยไม่เหลือชิ้นดี

“เป็นไปได้หรือไม่ว่าตระกูลซางของข้ากำลังจะล่มสลายในวันนี้…?” สีหน้าของซางเชวี่ยซีดเผือดจนน่ากลัว การแสดงออกของเขาเผยให้เห็นความสิ้นหวังอย่างสุดซึ้ง

ตู้ม!

เส้นสายอัสนีที่ปล่อยรัศมีแห่งการทำลายแผ่กระจายออก ทำให้ซางผิงที่อยู่ข้าง ๆ ไม่มีเวลาหลบหรือส่งเสียงร้องโหยหวนและถูกบดขยี้เป็นผุยผงในชั่วพริบตา

ในขณะนี้ มีเพียงซางเชวี่ยเท่านั้นที่ยังคงอยู่…

“บอกข้ามาว่าซางคุนอยู่ที่ใด!” เฉินซีถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา ร่างกายของเขาชุ่มไปด้วยเลือดและรอยแผลเป็นที่น่าสะพรึงกลัว ขณะหอบหายใจหนักขึ้นมาก

การฆ่าฟันและการต่อสู้ที่ไม่มีวันจบสิ้นตลอดทั้งวัน ทำให้พลังชีวิตของเขาเกือบจะพังทลาย เหตุผลที่เขาสามารถยืนอยู่ได้จนถึงตอนนี้ก็เพียงเพราะชายหนุ่มอาศัยความบากบั่นพยุงตัวเองไว้

ซางเชวี่ยเม้มริมฝีปากและนิ่งเงียบไป ใบหน้าซีดเซียวของเขาเผยให้เห็นความแน่วแน่ แม้ว่าจะพอเดาได้ว่าเฉินซีหมดแรงแล้ว เขาก็ไม่มีความมั่นใจที่จะสังหารอีกฝ่าย

จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขาสลายไปนานแล้ว หลังจากเห็นพลังอันน่าสยดสยองที่เฉินซีเผยออกมา ความสิ้นหวังได้ผุดขึ้นในใจ และเมื่อผู้ใดรู้สึกสิ้นหวัง แม้แต่สวรรค์ก็ไม่อาจช่วยชีวิตคนผู้นั้นได้

ฟิ้ว!

ทว่าเมื่อซางเชวี่ยคิดว่าตนจะต้องตายอย่างแน่นอน จู่ ๆ ร่างสีดำก็ส่องแสงสว่างเหนือการปะทุ ขณะแสงกระบี่เทลงมาราวกับพายุฝนซึ่งมาพร้อมกับเสียงดังก้องของเต๋า มันสั่นสะเทือนทั่วทั้งโลกาจนทุกอย่างสั่นคลอน

…และแสงกระบี่นั้นก็ได้ฟันตรงไปยังเฉินซี!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท