บทที่ 522 ปิงซื่อเทียน
บทที่ 522 ปิงซื่อเทียน
เฉินซียิ้มในขณะที่ตบไหล่หวงฝู่ฉิงอิง
ในช่วงเวลาต่อมา เขาได้พลิกฝ่ามือขึ้น ปรากฏสมบัติสามชิ้นที่มีแสงสีหลากหลายอยู่บนฝ่ามือ ชิ้นหนึ่งเป็นดาวที่โปร่งแสงดุจหิมะ ส่วนอีกชิ้นเป็นตราประทับขนาดใหญ่ที่แผ่กลิ่นอายอันสูงส่งและหนักหน่วง และสมบัติชิ้นสุดท้ายคือกระบี่ที่แวววาวราวกับผืนน้ำที่ใสสะอาดในฤดูใบไม้ร่วง
สมบัติเหล่านี้คือ กระบี่มังกรหิมะ ผนึกก่อขุนเขา และกระบี่โศกนภา
ทุกคนล้วนตะลึงกับการกระทำของเฉินซี
“เหตุใดวันนี้เฉินซีจึงดูผิดปกตินัก แล้วเหตุใดเขาถึงทำเช่นนี้?”
ในช่วงเวลาถัดมา ชายหนุ่มก็เผยคำตอบออกมา “ข้าไม่ได้ใช้สมบัติวิเศษทั้งสามชิ้นนี้แล้ว กระบี่มังกรหิมะนี้เหมาะสำหรับชิงเหอ การโจมตีของเจ้ารุนแรง แข็งแกร่ง และทรงพลังอย่างไม่มีใครเทียบได้ ผนึกก่อขุนเขานี้เหมาะสำหรับหลิงอวี๋ เพราะเจ้าสามารถใช้ความแข็งแกร่งบดขยี้ศัตรูและอานุภาพของมันก็ดุร้ายอย่างหาใดเปรียบ ส่วนกระบี่โศกนภานี้เหมาะสำหรับนายน้อยโจว เนื่องจากเจ้ามีสำนึกกระบี่ที่กว้างใหญ่ดุจท้องฟ้าและมีความคล่องตัวเป็นพิเศษ”
ขณะที่กล่าว เขาก็ผลักสมบัติทั้งสามไปไว้ในมือของตัวโง่งมทั้งสามโดยไม่ยอมให้ปฏิเสธแม้แต่น้อย
“นี่คือสมบัติกึ่งอมตะถึงสามชิ้น! สมบัติที่แม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีก็ยังเฝ้าปรารถนาที่จะครอบครอง แต่เฉินซีกลับมอบมันให้แก่พวกเราเยี่ยงนี้?”
ในขณะนี้ จ้าวชิงเหอและคนอื่น ๆ หัวใจหวั่นไหว และตกตะลึง สมบัติในมือชวนให้รู้สึกหนักอึ้งจนยากจะยอมรับ
พวกเขาปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ชายหนุ่มกลับเอาแต่ส่ายหน้าและยังคงยืนกราน
บางทีสำหรับคนอื่น ๆ สมบัติกึ่งอมตะอาจมีค่ามากกว่าชีวิตของพวกเขา และหากได้ครอบครองสักชิ้น ก็จะเฝ้ารักษามันเป็นพิเศษ แต่สำหรับเฉินซี แม้ว่าสมบัติกึ่งอมตะจะล้ำค่า แต่ก็น้อยกว่ามิตรภาพที่สำคัญสำหรับเขามาก
อย่างน้อยที่สุด หลังจากที่พวกเขาทั้งสามได้รับสมบัติ ความแข็งแกร่งของพวกพ้องจะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดอีกครั้ง และถ้าพวกเขาพบกับภยันตรายในภายภาคหน้า ก็จะมีความสามารถในการป้องกันตัวเองในอีกระดับหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องกังวลต่อความปลอดภัยของมิตรสหายอีกต่อไป
…
การต่อสู้ตลอดทั้งวันก่อนหน้านี้ ทำให้เฉินซีเข้าใจหลักการอย่างลึกซึ้งว่า ลำพังเขาเพียงคนเดียว ไม่อาจช่วยเหลือสหายได้ทั้งหมด และมีเพียงต้องทำให้สหายแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น เขาจึงสามารถคลายความกังวลได้
นอกจากนี้ เมื่อคุณภาพของยันต์ศัสตราเพิ่มขึ้น สมบัติเหล่านี้ก็ไม่มีประโยชน์สำหรับเขาอีกต่อไป และแม้ว่าตนจะมีสมบัติอยู่มากมาย แต่ถ้าไม่ได้ใช้ประโยชน์ มันก็ไม่ต่างอะไรกับการทำให้สมบัติที่ฟ้าประทานมาให้ต้องเสียเปล่า
“พี่เฉิน ขอบคุณสำหรับความเมตตานี้!” จ้าวชิงเหอสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ขณะที่มองไปยังเฉินซีด้วยสายตาที่แน่วแน่ แม้ว่าคำพูดของเขาจะดูเรียบง่าย แต่ก็เผยให้เห็นความรู้สึกอันแน่วแน่ และความเต็มใจที่พร้อมจะสละชีวิตของเขาถ้าหากชายหนุ่มประสบปัญหา
“ข้าไม่รู้จะกล่าวอะไรกับเจ้าจริง ๆ… มารดามัน! เจ้าจะเป็นพี่ใหญ่ของข้าตลอดชีวิต แม้ว่าเจ้าจะขับไล่ไสส่งข้า แต่ข้าก็จะไม่มีวันทิ้งเจ้า!” นายน้อยโจวกล่าวด้วยรอยยิ้มขณะทุบไหล่ของเฉินซีอย่างดุดัน
“นี่…” หลิงอวี๋ที่อยู่ใกล้ ๆ เกาศีรษะด้วยรอยยิ้มอันโง่งมบนใบหน้า จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างอ่อนแรงว่า “ข้าก็คิดเช่นเดียวกับนายน้อยโจว อืม หวังว่าเจ้าคงจะเข้าใจเนอะ”
“เจ้าอ้วน เจ้ากล้าลอกคำกล่าวที่จริงใจของนายน้อยที่ทุ่มเทครุ่นคิดออกมาจนหัวใจหลั่งเลือดรึ!? สมควรโดนทุบจริงๆ!” นายน้อยโจวร้องออกมาขณะที่บีบแก้มอวบ ๆ ของหลิงอวี๋ราวกับกำลังนวดแป้ง
หนุ่มอ้วนรับไม่ได้และรีบหลบไปด้านข้างพร้อมกับร้องออกมาเพราะรู้สึกผิด “นี่เจ้าครุ่นคิดจนหัวใจหลั่งเลือดออกมาเลยหรือ? ข้าไม่เห็นเจ้ามีเลือดออก หรือดูเหนื่อยล้าเลย โกหกชัด ๆ”
“เจ้าอ้วน! เจ้ากล่าวเช่นนี้ได้อย่างไรกัน เจ้าต้องการให้ข้าพิสูจน์ด้วยการแสดงทั้งหมดให้เจ้าดูหรือ?
รอสักครู่ ข้าจะทำแกงตุ๋นเจ้าอย่างแน่นอน!” นายน้อยโจวพลันมีโทสะ จากนั้นจึงไล่ทุบตีหลิงอวี๋
“เจ้าเด็กน้อยคนนี้ช่างไร้รสนิยมเสียจริง ๆ เนื้อของเจ้าอ้วนมีรสเปรี้ยวและเหม็นสาบ อีกทั้งยังมีรสชาติแย่มาก แต่เขากลับต้องการตุ๋นและกินเจ้าอ้วนนี่เสียด้วยซ้ำ รสนิยมในการกินของเขาช่างเหนือกว่าข้านัก”
ทุกคนต่างหัวเราะคิกคัก
หลังจากแจกจ่ายสมบัติวิเศษแล้ว เฉินซีรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ราชวงศ์ซ่งของพวกเขาเป็นเพียงราชวงศ์ระดับกลาง ซึ่งนอกจากตัวเขา ชิงซิ่วอี้และเจิ้นหลิวชิงแล้ว ความแข็งแกร่งของคนอื่น ๆ ก็ยังด้อยกว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ของราชวงศ์ระดับสูงเล็กน้อย ไม่ต้องกล่าวถึงศิษย์ของราชวงศ์ระดับสูงสุดและตระกูลอันทรงเกียรติเลย
การจัดอันดับของศิลาจารึกวิญญาณแห่งการต่อสู้ของจักรพรรดิสงคราม ผลประโยชน์ส่วนใหญ่ที่ได้รับคือการทำให้รับรู้เกี่ยวกับพลังแฝงของพวกเขา ซึ่งในแง่ความแข็งแกร่ง พวกเขายังด้อยกว่านัก
แต่หลังจากที่ทั้งสามได้ครอบครองสมบัติกึ่งอมตะแล้ว เฉินซีเชื่อว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาทุกคนจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก และแม้ว่าจะเป็นการทดสอบสุดท้ายของสมรภูมิบรรพกาล พวกเขาก็สามารถต่อกรกับผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับสูงของราชวงศ์ต่าง ๆ ได้!
…
หวงฝู่ฉิงอิงต้องรั้งอยู่ที่นี่ เพราะนางต้องได้รับการยอมรับจากศิลาสัตย์สัประยุทธ์ ภายใต้ความช่วยเหลือของอวิ๋นหลานเซิง ในขณะที่เฉินซีและคนอื่น ๆ ไปจากที่นี่
“เจ้าทั้งคู่… คงจะไม่พอใจใช่หรือไม่” ในระหว่างทาง เฉินซีได้กล่าวผ่านกระแสปราณไปยังเจิ้นหลิวชิงกับชิงซิ่วอี้ด้วยน้ำเสียงที่มีร่องรอยของการขอโทษ
เนื่องจากเขาได้มอบสมบัติกึ่งอมตะส่วนใหญ่ให้กับจ้าวชิงเหอและคนอื่น ๆ อีกทั้งยังละทิ้งโอกาสที่จะได้ครอบครองสมบัติที่เหล่าทวยเทพทิ้งไว้ให้แก่หวงฝู่ฉิงอิง แต่เขากลับไม่ได้เตรียมสิ่งใดให้แก่พวกนาง ด้วยเหตุนี้ เขาจึงรู้สึกเสียใจ
แต่ก็ไม่มีสิ่งใดที่เฉินซีจะสามารถทำได้ เพราะเขาเหลือเพียงพัดนกยูกเพลิงและเกราะมังกรทองอยู่ในการครอบครองเท่านั้น ซึ่งพัดนกยูกเพลิงก็เป็นวัตถุดิบในการขัดเกลาพัดเทพอัคคี และต้องเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญมหาเต๋าแห่งอัคคี จึงจะสามารถใช้พลังทั้งหมดของมันได้ ดังนั้นมันจึงไม่เหมาะแก่หญิงสาวทั้งสอง
เพราะเท่าที่เขารู้ แม้ว่าชิงซิ่วอี้จะหยั่งรู้มหาเต๋าแห่งอัคคี แต่นางก็เพียงแค่หยั่งรู้และไม่มีความตั้งใจที่จะบ่มเพาะมัน เพราะนางมุ่งเน้นไปที่มหาเต๋าแห่งอัสนีเป็นหลัก
ในทางกลับกัน เจิ้นหลิวชิงก็ครอบครองร่างวิญญาณวารีบรรพกาล และนางเชี่ยวชาญมหาเต๋าแห่งวารีกับมหาเต๋าแห่งความมืดอย่างมาก ดังนั้นพัดนกยูงเพลิงจึงไม่เหมาะกับนางเช่นกัน
ส่วนชุดเกราะมังกรทอง เป็นสมบัติที่ออกแบบมาให้บุรุษสวมใส่ และพวกนางอาจจะไม่สวมใส่มันแม้ว่าเขาจะมอบมันให้กับพวกนางก็ตาม
ชิงซิ่วอี้ส่ายศีรษะ
เจิ้นหลิวชิงแสร้งทำเป็นไม่พอใจขณะที่นางจ้องเขม็งไปที่ชายหนุ่ม จากนั้นนางจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเชิงตำหนิว่า “เจ้าคนเนรคุณ ตอนนี้ถึงค่อยคิดถึงเรื่องของพวกข้าหรือ? ฝันไปเถอะ เจ้าต้องมอบสมบัติกึ่งอมตะแก่พวกข้าคนละชิ้น”
ขณะที่กล่าวจบ นางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา และดูนางจะรู้ว่า การได้แกล้งเฉินซีนั้นเป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
ชายหนุ่มเกาจมูกด้วยความลำบากใจ แม้ว่าจะรู้ว่าเจิ้นหลิวชิงกับชิงซิ่วอี้ไม่ได้คิดอะไร แต่เขาก็ยังรู้สึกเสียใจเล็กน้อยอยู่ในใจ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้น…”
เจิ้นหลิวชิงขัดจังหวะเขา “เอาล่ะ ข้าล้อเล่น การที่เจ้าทำเช่นนี้ ก็แสดงว่าเจ้าใส่ใจพวกข้าแล้ว และพวกข้าก็ไม่มีเวลาแม้แต่จะมีความสุขเลยด้วยซ้ำ แล้วจะสนใจสมบัติกึ่งอมตะได้อย่างไร แต่ถ้าต้องการมอบบางสิ่งให้ ก็จงมอบสมบัติที่ไม่เหมือนใครในโลกนี้ให้กับพวกข้าแต่ละคน เจ้าสามารถทำได้หรือไม่?”
ขณะที่นางกล่าวจบ ก็ดูจะอดแกล้งเฉินซีไม่ได้อีกครั้ง
นางสังเกตเห็นว่า มีโอกาสที่จะทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเขินอายจนหน้าแดงได้ และมันเป็นสิ่งที่แม้แต่สวรรค์ก็ยังไม่ให้อภัย หากนางไม่ฉวยโอกาสนี้เพื่อกลั่นแกล้งเขาอย่างแน่นอน
“สมบัติที่ไม่มีใครเหมือน…” เฉินซีพลันขมวดคิ้วและครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างจริงจังอยู่เป็นเวลานาน จากนั้นจึงพยักหน้าพร้อมกับกล่าวอย่างจริงจังว่า “ข้ายังคิดไม่ออกว่าสมบัติที่ไม่มีใครเหมือนในโลกนี้นั้นคือสิ่งใด แต่ขอสัญญาว่าข้าจะเอามาให้แก่พวกเจ้าอย่างแน่นอน”
เจิ้นหลิวชิงกับชิงซิ่วอี้ต่างตกตะลึงเมื่อได้ยิน เนื่องจากทั้งคู่สัมผัสได้ถึงความจริงจังในน้ำเสียงของคนตรงหน้าที่ดูเหมือนกับว่า ไม่ว่าสิ่งล้ำค่าในโลกนี้จะมีสักค่าเพียงใด เขาก็จะไม่ละความพยายามเพื่อให้ได้มันมาและจะมอบมันให้แก่พวกนาง
ความอบอุ่นสุดแสนพรรณาแผ่ซ่านในหัวใจของหญิงสาวทั้งสอง คนทั้งคู่ต่างนิ่งเงียบและดื่มด่ำไปกับความรู้สึกนั้น
ความอบอุ่นนี้ทำให้พวกนางรู้สึกสบายใจและมีความสุข อันที่จริง คำพูดเหล่านี้เรียบง่ายมาก แต่สำหรับหญิงสาวทั้งสองคนแล้ว มันช่างอ่อนโยนและมีค่ามากกว่าคำบอกรักใด ๆ ในโลก
เพราะมันถูกกล่าวโดยเฉินซี
ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่เฉินซีจะจินตนาการได้ว่า ผลลัพธ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นจริงได้ด้วยคำพูดไม่กี่คำของเขา
ดังคำกล่าวที่ว่า จิตใจของอิสตรีนั้นยากหยั่งถึงดุจบทกวี โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าบุรุษที่ชื่นชอบ ยิ่งไปกว่านั้น แม้คำพูด สายตา หรือการกระทำเพียงสิ่งเดียว ก็สามารถทำให้พวกนางนึกถึงภาพแห่งความสุขในอนาคตอย่างนับไม่ถ้วน
…
เหลือเวลาเพียงหนึ่งเดือนก่อนที่การทดสอบสุดท้ายของสมรภูมิบรรพกาลจะมาถึง
และไม่มีใครรู้รายละเอียดที่แน่นอนของการทดสอบ
ทูตของแดนภวังค์ทมิฬที่มาถึงสมรภูมิบรรพกาลก็ไม่ได้กล่าวถึงมันสักคำ และพวกเขาก็ดูจะไม่เปิดปากจนกว่าการทดสอบจะเริ่มต้นขึ้น
แต่เฉินซีได้รู้จากวิปลาสหลิ่วว่า ไม่ใช่แค่ทูตเหล่านี้เท่านั้นที่จะมาจากแดนภวังค์ทมิฬ แต่จะมีทูตจำนวนมากทยอยมาถึงในเดือนนี้
ยิ่งไปกว่านั้น บุคคลที่มีอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับการทดสอบสุดท้ายในครั้งนี้คือเซียนสวรรค์ที่มีนามว่า ปิงซื่อเทียน!
ใช่แล้ว นี่คือเซียนสวรรค์ที่แท้จริงซึ่งเป็นการดำรงอยู่ที่สูงที่สุดในภพมนุษย์ กองกำลังต่าง ๆ ของ แดนภวังค์ทมิฬนั้นจริงจังกับการทดสอบสุดท้ายของสมรภูมิบรรพกาลมากแค่ไหน ก็เห็นได้ชัดจากเรื่องนี้
นับตั้งแต่เริ่มบ่มเพาะมาจนถึงตอนนี้ เฉินซีเคยเห็นเจตจำนงของเซียนสวรรค์เพียงครั้งเดียว และมันมาจากยันต์หยกเซียนสวรรค์ที่ตระกูลซางเปิดใช้งาน ทว่าพลังของเซียนสวรรค์ก็ทำให้เขาสั่นคลอนจนหมดสิ้นความตั้งใจที่จะต้านทานมัน
หากไม่ใช่เพราะหม้อกลั่นลึกลับซึ่งแขวนอยู่ที่หน้าอก เขาคงถูกเจตจำนงของเซียนสวรรค์นั้นทำลายไปนานแล้ว
เมื่อเขาได้ยินว่าเซียนสวรรค์ตัวจริงกำลังจะลงมายังเมืองบรรพกาลในตอนนี้ อีกทั้งยังเป็นประธานในการทดสอบสุดท้าย ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นและโหยหา
“เซียนสวรรค์นั้นเป็นเช่นไรหรือ?”
จิตใจของเฉินซีเต็มไปด้วยความคิด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาผ่านประสบการณ์การต่อสู้ที่ยากลำบากมานับครั้งไม่ถ้วน และใช้ทุกเสี้ยวเวลาเพื่อบ่มเพาะด้วยความอุตสาหะ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เพื่อเป้าหมายในการเป็นเซียนสวรรค์!
นี่เป็นความลุ่มหลงในหัวใจที่ไม่เคยหวั่นไหวของเขา
เหตุผลนั้นง่ายดายมาก เมื่อเขากลายเป็นเซียนสวรรค์แล้วเท่านั้น จึงจะมีโอกาสในตามหามารดาของเขา ซึ่งคือจั่วชิวเสวี่ย
“เจ้าหนู เจ้าสนใจเซียนสวรรค์มากหรือ?” วิปลาสหลิ่วที่อยู่ใกล้เคียงก็พลันยิ้มในขณะที่เขากล่าว กอปรกับรูปร่างหน้าตาที่ผอมแห้งและสกปรกของเขา ทำให้ดูสมเพชยิ่ง
เฉินซีกลับมามีสติทันใด จากนั้นจึงพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าอยากรู้จริง ๆ ว่าความแข็งแกร่งของเซียนสวรรค์นั้นทรงพลังเพียงใด”
“ข้าแนะนำว่าอย่าได้มีความสุขเร็วเกินไป” วิปลาสหลิ่วลูบเคราแพะของเขาในขณะที่หัวเราะออกมาเบา ๆ “อันที่จริง ปิงซื่อเทียนถือได้ว่าเป็นศัตรูหัวใจของเจ้า!”
“ศัตรูหัวใจของข้าหรือ?” เฉินซีรู้สึกประหลาดใจและรู้สึกว่ามันไร้สาระ
“ข้าเป็นเพียงผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตจุติ ในขณะที่เขาเป็นเซียนสวรรค์ แล้วเขาจะมาเป็นศัตรูหัวใจของข้าได้อย่างไร? ไม่ต้องกล่าวถึง.. ข้าไม่รู้จักปิงซื่อเทียนคนนี้ด้วยซ้ำ!”
“อนิจจา… เหตุใดเจ้าถึงยังไม่เข้าใจ ปิงซื่อเทียนผู้นี้มาจากนิกายวิถีกระแสสวรรค์ ตอนที่ยังเป็นผู้บ่มเพาะ เขาเป็นศิษย์น้องของชิงซิ่วอี้และเฝ้าติดตามนางอย่างบ้าคลั่งมาโดยตลอด และหลังจากผ่านไปหลายปี ข้าไม่รู้ว่าเขายังคงมีหญิงสาวคนนี้อยู่ในหัวใจหรือไม่” วิปลาสหลิ่วกระดกสุราเข้าไปอึกใหญ่และเช็ดริมฝีปาก จากนั้นจึงถอนหายใจพร้อมกับกล่าวว่า “เมื่อหลายปีก่อน ทั้งสองคนเป็นผู้ที่โดดเด่นที่สุดของนิกายวิถีกระแสสวรรค์ ชื่อเสียงของพวกเขาสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งแดนภวังค์ทมิฬ และก็เป็นดั่งยอดอัจฉริยะอันน่าภาคภูมิใจ แต่น่าเสียดาย ในช่วงเวลาสุดท้ายที่พวกเขากำลังจะกลายเป็นเซียน ชิงซิ่วอี้กลับเลือกการเกิดใหม่และบ่มเพาะอีกครั้ง ในขณะที่ปิงซื่อเทียนเลือกที่จะขึ้นไปสู่สวรรค์และกลายเป็นเซียนสวรรค์แทน”
เฉินซีตกตะลึงทันที ปรากฏว่าชิงซิ่วอี้มีชื่อเสียงมากในช่วงชีวิตที่แล้วของนาง นอกจากนี้ ปิงซื่อเทียนผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนสวรรค์ที่กำลังจะมาถึงเมืองบรรพกาล ก็เป็นศิษย์น้องของชิงซิ่วอี้เมื่อหลายปีก่อน…