บทที่ 532 เมืองถูกปิดล้อม
บทที่ 532 เมืองถูกปิดล้อม
เมื่อสามผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพฝ่าแดนภวังค์ทมิฬมาสู่สมรภูมิบรรพกาลแล้ว หลีหวงก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย รีบสั่งการให้กองทัพมรณะจู่โจมเต็มกำลังทันที
ในชั่วพริบตา ทหารช้างมรณะเริ่มรวบรวมกำลังพลางออกคำสั่ง ทำให้ปราณชั่วร้ายแผ่เข้าปกคลุมไปทั่วทั้งโลกา!
กองทัพอันชั่วร้ายกลุ่มนี้ถือกำเนิดขึ้นจากความขุ่นเคืองของผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพ ณ ครั้งการต่อสู้กับเหล่าทวยเทพในยุคเก่าก่อน …พวกเขาติดอยู่ในสมรภูมิบรรพกาลเป็นเวลานับปีไม่ถ้วน
และความปรารถนาเดียวในใจของพวกเขาคือการยึดครองเมืองบรรพกาลและกวาดล้างผู้คนโดยรอบ เพื่อที่จะได้กลับไปยังโลกของตนและหลบหนีจากความอัปยศครั้งนั้น!
ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มพุ่งรบไปข้างหน้าเมื่อได้ยินเสียงแตรดังก้องเป็นสัญญาณให้โจมตีเต็มกำลัง!
หากหันมองโดยรอบ จะได้เห็นพลทหารที่กำเนิดจากความขุ่นแค้นพวกนั้นอยู่ทั่ว พวกมันต่างก็เรียงรายกันเป็นแถวและพุ่งไปข้างหน้าอย่างเป็นระเบียบ ดู ๆ แล้วคล้ายกับฝูงตั๊กแตนนับหมื่นพันที่พุ่งทะยานพร้อมเข้าไปทำลายล้าง
ปราณชั่วร้ายบนร่างของพวกเขาไหลเวียนอยู่ตลอดไม่ขาดสายและเริ่มหลอมรวมเข้าด้วยกัน พลทหารมรณะเหล่านี้ได้ก่อตัวเป็นร่างใหญ่ยักษ์ดั่งภูผาซึ่งมีรัศมีที่โอ่อ่า เจ้าพวกนั้นได้พ่นหมอกสีดำออกมาทั่วบริเวณ และมีพละกำลังที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดหลายเท่าตัวนัก!
ในทางกลับกัน ทหารม้าเพลิงนรก ทหารม้ามรณะเกราะทองคำ และทหารช้างมรณะก็กำลังรวมทัพเช่นกัน ปราณชั่วร้ายหลอมรวมเข้าด้วยกันเพื่อควบแน่นเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาจำนวนมหาศาลที่มีหลากหลายรูปร่างและขนาดแตกต่างกันไป
บ้างมีสี่หัว แขนแปดข้าง และขี่มังกรกระดูก
บ้างถูกปกคลุมด้วยหนวดสัตว์ยาวพันจั้งเหมือนกับอสุรกายปลาหมึกที่น่าสะพรึงกลัว
บ้างถึงกับกลายร่างเป็นโครงกระดูกขนาดมหึมาที่มีดวงตากลวงโบ๋ซึ่งดูราวกับมาจากต่างพิภพ และด้วยการกัดเพียงครั้งเดียว เจ้าสิ่งนี้ก็สามารถกลืนกินส่วนหนึ่งของท้องนภาได้!
ฉากนี้ดูราวกับว่าเวลาได้ย้อนกลับไปยังยุคบรรพกาลในตอนที่กองทัพของผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพต่อสู้กับเหล่าทวยเทพ …แรงผลักดันของพวกเขานั้นน่าสะพรึงกลัวจนถึงขีดสุด!
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
เสียงคำรามกึกก้องทั่วท้องนภา ปราณชั่วร้ายปกคลุมไปทั่วสวรรค์และปฐพี ทั้งดินแดนตกอยู่ในความมืดและหายนะใหญ่หลวง
…
ทันใดนั้น เฉินซีก็กลับมาตั้งสติอีกครั้งในขณะที่ติดพันการต่อสู้ เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่อันตรายอย่างยิ่ง และเมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็ได้เห็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวนัก ชนิดที่ว่าหัวใจของชายหนุ่มตกไปอยู่ที่ตาตุ่มในทันที!
เหตุการณ์ไม่คาดฝันเยี่ยงนี้เป็นสิ่งที่อวิ๋นหลานเซิงไม่เคยพูดถึงมาก่อน!
หรือว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้น?
“ระวังให้ดี ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพมาถึงแล้ว ข้ารู้สึกถึงกลิ่นอายของพวกเขา!” ทันใดนั้น หม้อใบจิ๋วก็ส่งสัญญาณเตือนด้วยเสียงที่แฝงไว้ด้วยความรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด
“ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพ?” เฉินซีรู้สึกตกตะลึง เขารู้สึกว่าสถานการณ์เริ่มเลวร้าย เพราะนี่เป็นเพียงการทดสอบธรรมดาในสมรภูมิบรรพกาล ทว่ากลับมีผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพอยู่ที่นี่ หรือว่าเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเช่นนี้กำลังบอกลางสังหรณ์อะไรบางอย่าง?
“ซ่อนตัวก่อน เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเช่นนี้มีเพียงผู้ยิ่งใหญ่ในเมืองบรรพกาลเท่านั้นที่สามารถรับมือได้ ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติเช่นเจ้าไม่มีพลังอำนาจพอจะพลิกสถานการณ์ได้ ซ้ำยังอาจทำให้เจ้าตายอย่างอนาถาแทนหากฝืนตัว” หม้อใบจิ๋วกล่าวอย่างไร้ปรานี
“ซ่อนตัวอยู่ในเมือง?” เฉินซีหัวเราะอย่างขมขื่น
เพื่อประโยชน์ในการบ่มเพาะ ชายหนุ่มจึงพุงทะยานเข้ามากลางวงล้อม ดังนั้นบัดนี้เฉินซีจึงอยู่ห่างจากประตูเมืองไปเกือบหมื่นลี้ ซึ่งหากเป็นสถานการณ์ปกติ ระยะทางเล็กน้อยเช่นนี้ไม่ส่งผลอะไรนัก ทว่าเขาอยู่ท่ามกลางกองทัพมรณะ ดังนั้นการกลับไปที่ประตูเมืองจึงไม่ใช่เรื่องง่าย!
“ยืนนิ่ง ๆ อย่าเคลื่อนไหว” หม้อใบจิ๋วเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
โอม!
ก่อนที่จะทันได้ตอบสนอง เขาก็ถูกห่อหุ้มด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์สีขาวน้ำนม
ในยามถัดมา เฉินซีพลันสังเกตเห็นว่าร่างของตนหายไปแล้ว ราวกับว่าเป็นคนกลวงเปล่าไร้มวลสาร วิญญาณชั่วร้ายจำนวนมหาศาลวิ่งผ่านจุดที่ชายหนุ่มยืนอยู่ ไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของเขาเลยแม้แต่น้อย
“นี่คือวิชาอันใดกัน?” เฉินซีรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง คราหนึ่งเขาเคยฝึกฝนวิชารัศมีไร้ร่องรอย ทว่ามันก็ปกปิดได้เพียงร่องรอยของเขาเท่านั้น หากถูกสิ่งของเข้าร่างก็จะเผยให้เห็นแล้ว แต่วิชาที่หม้อใบจิ๋วใช้นั้นแตกต่างออกไป มันทำให้ร่างของเขาหายไปทันควัน!
ชายหนุ่มยังคงยืนอยู่นิ่ง ยิ่งกว่านั้นดวงตาและจิตสัมผัสเทพของเขาก็ยังคงรับรู้ถึงสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวได้ เป็นประสบการณ์ที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง
“มันเป็นเพียงการใช้กฎแห่งมิติรูปแบบหนึ่งเท่านั้นเอง” หม้อใบจิ๋วพูดอย่างเฉยเมย “จงจำไว้ว่า เจ้าต้องตอบแทนบุญคุณข้า หรือจะบอกได้ว่า ถ้าต้องการได้สิ่งใดจากข้า เจ้าต้องตอบแทนกลับมาในทำนองเดียวกัน”
“นี่คือหลักการที่เจ้าใช้จัดการกับสิ่งต่าง ๆ อย่างนั้นหรือ?” เฉินซีขมวดคิ้ว พูดตามตรงว่าเขาไม่ยอมรับวิธีแลกเปลี่ยนเช่นนี้เพราะมันช่างเลือดเย็น ไร้ซึ่งมนุษยธรรม
“ไม่ใช่ นี่เป็นการรักษาสมดุล เจ้าอาจจะยังไม่เข้าใจในตอนนี้ ทว่าเจ้าจะเข้าใจเองเมื่อเติบโตขึ้นจนแข็งแกร่งพอ ความสมดุลเป็นกฎข้อเดียวที่ทำให้เอกภพดำรงอยู่ได้จนถึงปัจจุบัน” หม้อใบจิ๋วตอบกลับอย่างช้า ๆ “หากข้าช่วยเจ้ามากเกินไป มันจะมีผลกับชาตะกรรมของเจ้า ไม่ต่างอะไรกับการส่งต่อความหายนะมาสู่เจ้า”
เฉินซีไม่อาจเข้าใจได้ ทว่ายังแยกแยะได้ว่ามันกำลังทำสิ่งนี้เพื่อประโยชน์ของเขาจริง ๆ ทำให้ความรู้สึกไม่ดีในใจหายไปอย่างไร้ร่องรอย จากนั้นเขาจึงถาม “แล้วข้าต้องทดแทนบุญคุณอย่างไร?”
“ช่างเรื่องนั้นก่อน เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพกำลังจะเคลื่อนไหวในไม่ช้าแล้ว…” หม้อใบจิ๋วตอบกลับ
เฉินซีชะงักงัน เขาเงยหน้าขึ้นมองและเห็นว่ามีลำแสงที่เจิดจ้าและกว้างใหญ่ไพศาลสี่ดวงพุ่งขึ้นสู่เวหา ราวกับเป็นลำแสงที่เชื่อมกับสวรรค์ภายในกองกำลังชั่วร้ายเหล่านั้น
ปรากฏการณ์จากแสงเหล่านี้ช่างน่าตกใจยิ่งนัก…!
หลังจากนั้น ร่างทั้งสี่ที่ทรงอำนาจดั่งทวยเทพก็ปรากฏขึ้นในโลกหล้า
คนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีดำที่มีรูม่านตาสีเงินหนึ่งคู่ เปลวเพลิงสีม่วงไหลเวียนไปทั่วร่างกาย คนคนนี้คือผู้บัญชาการศึกของเหล่าทหารม้ามรณะทั้งมวล หลีหวง!
อีกคนหนึ่งเป็นชายหนุ่มร่างสูงที่มีปีกสีขาวบริสุทธิ์หนึ่งคู่ มีนามว่าลั่วชวน
อีกคนหนึ่งเป็นชายรูปงามที่มีผิวสีฟ้าทะเลและมีเขาอยู่ระหว่างคิ้ว มีนามว่าหมิงจื่อ
คนสุดท้ายเป็นชายหนุ่มตัวสูง มีเส้นผมสีทอง ดวงตาสีเขียวหยก สภาพรุงรังเหมือนสิงโต มีนามว่าหลูกัง
นอกจากหลีหวงแล้ว ยังมีคนอื่นจากต่างภพที่ลงมาสู่ยังสมรภูมิบรรพกาล พวกเขามีเป้าหมายที่เรียบง่ายมาก นั่นคือช่วยหลีหวงยึดเมืองบรรพกาลที่เหล่าทวยเทพสร้างขึ้นและหลบหนีจากสมรภูมิบรรพกาลแห่งนี้
“จักรพรรดิภูตผีหลีหวง? ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่… ไม่น่าแปลกใจเลยที่ผู้เยี่ยมยุทธ์จากพิภพปักขี พิภพทะเลหมอกและพิภพวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กล้าเสี่ยงที่จะมาที่นี่…” หม้อใบจิ๋วพึมพำพลางครุ่นคิดอย่างหนัก
เฉินซีที่ได้ยินรู้สึกงุนงง เพราะเขาไม่เข้าใจสิ่งที่หม้อใบจิ๋วกล่าว เพียงเดาได้พอสังเขปว่าทั้งสี่คนนี้ล้วนเป็นผู้ยิ่งใหญ่จากภพอื่น
ยิ่งกว่านั้น หนึ่งในนั้นคือผู้ที่ควรล้มตายในช่วงที่เหล่าทวยเทพออกสำรวจ ทว่าอีกฝ่ายกลับยังรอดชีวิตมาตลอดจนถึงตอนนี้ และได้เชิญผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งสามมาที่สมรภูมิบรรพกาล!
ในเมื่อผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพมาถึงแล้ว ปิงซื่อเทียนจะสามารถปกป้องเมืองบรรพกาลได้หรือไม่? เฉินซีมองไปยังเมืองบรรพกาลที่อยู่ไกลห่างแล้วรู้สึกหนักใจเล็กน้อย
ชายหนุ่มกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของชิงซิ่วอี้และพวกพ้อง เพราะหากปล่อยให้ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพยึดเมืองบรรพกาลได้ ทุกคนอาจดับสูญไปพร้อมกับมัน…
…
การโจมตีอย่างกะทันหันของกองทัพมรณะนั้นรุนแรงยิ่ง ด้วยมีจำนวนคนมหาศาลอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ทำให้บรรดาผู้บ่มเพาะในสนามรบถูกตรึงไว้
จำนวนผู้ล้มตายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว!
“บัดซบ พวกมันโจมตีอย่างสุดกำลังจริงด้วย ๆ!”
“ช่างเป็นการจู่โจมที่น่ากลัวเสียจริง เกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือว่ามีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันบางอย่างเกิดขึ้น?”
“รีบซ่อนตัวในเมือง เร็วเข้า!”
พื้นที่ด้านนอกของประตูทั้งแปดแห่งเมืองบรรพกาลเต็มไปด้วยเสียงร้องอุทานด้วยความตกใจ ผู้เยี่ยมยุทธ์จากหลากหลายราชวงศ์เริ่มแยกย้ายกันถอยหนีภายใต้แรงกดดันของกองทัพมรณะที่น่าเกรงขาม พวกเขาไม่กล้าบุกซึ่ง ๆ หน้าอีกต่อไป
ภาพตรงหน้ามันช่างน่ากลัวเกินรับไหว! การจู่โจมระดับนี้เป็นสิ่งที่การบ่มเพาะในปัจจุบันของพวกเขาไม่อาจต้านทานได้เลย!
นอกจากนี้ ทูตแห่งแดนภวังค์ทมิฬที่กำลังป้องกันป้อมปราการ ณ ประตูเมืองทั้งแปดยังเข้าใจถึงความฉุกเฉินของสถานการณ์นี้ จึงได้เปิดเส้นทางหลบหนีอย่างต่อเนื่องสำหรับเหล่าคนที่อยู่เบื้องล่าง
ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง!
บัดนี้ ลำแสงที่หนาทึบทั้งสี่สายพลันพวยพุ่งออกมาจากกองทัพมรณะ ลำแสงพุ่งตรงขึ้นสู่ท้องนภาพร้อมกับเปล่งแสงอันเจิดจ้าก่อนที่ร่างอันทรงพลังทั้งสี่จะปรากฏออกมา
ในทันทีที่ร่างทั้งสี่นี้ปรากฏขึ้น เมฆวายุทั่วทุกสารทิศเริ่มสั่นคลอนจากแรงกดดันอันไร้เทียมทานจนแผ่กระจายไปทั่วโลกา
ผู้บ่มเพาะที่หลบหนีเข้าเมืองไม่ทันเวลารู้สึกหวาดผวาต่อแรงกดดันนี้จนเก็บอาการไม่ไหว ก่อนจะถูกพลทหารมรณะที่อยู่ใกล้เคียงคร่าชีวิตไปโดยตรง เลือดของพวกเขาพุ่งกระฉูดก่อนล้มตายอย่างน่าสลดใจ
“ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพ!” บนประตูเมือง ผมสีขาวของอวิ๋นหลานเซิงปลิวไสวขณะที่แสงสว่างเย็นยะเยือกกระทบกับดวงตาของเขา
“พิภพนี้กำลังจะเข้าสู่ความโกลาหลครั้งใหญ่อย่างแท้จริง…” วิปลาสหลิ่วเก็บน้ำเต้าของเขาพลางจ้องมองไปในระยะไกลด้วยดวงตาที่ขุ่นมัว ร่องรอยความกังวลฉายชัดบนใบหน้าที่ซีดเซียว
ในขณะนี้ ไม่ใช่แค่อวิ๋นหลานเซิงและวิปลาสหลิ่วเท่านั้น แม้แต่ทูตคนอื่น ๆ ที่กำลังยื้อป้อมปราสาทที่ประตูเมืองต่างแสดงสีหน้าตกตะลึง ความวิตกกังวลเอ่อล้นในหัวใจของพวกเขา
ไม่มีใครคาดคิดว่าบททดสอบธรรมดา ๆ ของสมรภูมิบรรพกาลจะกลายมาเป็นสถานการณ์เช่นนี้
พิภพอื่นล้วนเป็นศัตรูของสามภพนี้มาโดยตลอด
ในยุคบรรพกาล เหล่าทวยเทพนำคณะมาที่นี่เพื่อทำลายล้างเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพที่เข้ามารุกรานสามภพ
ทว่าพวกเขาไม่เคยคิดเคยฝันว่าหลังจากหลายปีผ่านไป จะยังมีผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพบุกมาที่นี่อีกครั้ง หรือว่าสามภพกำลังจะเข้าสู่กลียุคแล้วจริง ๆ?
“บททดสอบสุดท้ายของสมรภูมิบรรพกาลในครั้งนี้ได้ยุติลงแล้ว ทุกคนถอยกลับเข้าไปในเมือง พวกเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ก้าวออกจากเมืองโดยพลการ!” ในขณะนี้เสียงที่ชัดใสพลันก้องกังวานไปทั่วสวรรค์และโลก
หลังจากนั้น ร่างสูงของปิงซื่อเทียนก็ทะยานขึ้นไปบนท้องนภา เสื้อผ้าของเขาปลิวไสวไปตามสายลม และร่างกายก็ได้เปล่งแสงเจิดจรัสไปทั่วโลการาวกับเป็นผู้ปกครองโลก!
ทันทีที่ได้เห็นปิงซื่อเทียน ไม่ว่าจะเป็นศิษย์จากหลากหลายราชวงศ์หรือทูตแห่งแดนภวังค์ทมิฬ ความกังวลในใจของพวกเขาก็หายไปอย่างสิ้นเชิงราวกับว่าพบกับผู้ที่พึ่งพาได้
มีเซียนสวรรค์อยู่ทั้งคน แล้วจะกลัวอะไรหากมีผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพบุกเข้ามา?
“ทูตแห่งแดนภวังค์ทมิฬทุกคน จงฟังคำสั่งของข้า พวกเจ้าทั้งหมดต้องปกป้องป้อมปราการทั้งแปดและป้องกันประตูเมืองจนถึงลมหายใจสุดท้าย ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า!” ท่าทางของปิงซื่อเทียนเต็มไปด้วยความสง่างาม เขาก้าวขึ้นไปบนก้อนเมฆพลางเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา ทุกการเคลื่อนไหวของเขาเผยให้เห็นความมั่นใจและความทะนงตัวที่เหนือกว่าใคร ๆ
เมื่อพวกเขาเห็นฉากนี้ แม้แต่เฉินซีที่ยังอยู่ในสนามรบก็ยังต้องยอมรับว่าปิงซื่อเทียนสมควรได้รับการขนานนามว่าเป็นเซียนสวรรค์ เนื่องจากมีคุณสมบัติผู้นำที่น่าชื่นชมและเก่งกาจ จะปกครองโลกทั้งใบก็ย่อมได้
“เหอะ! เซียนสวรรค์อย่างนั้นรึ? ต่อให้ทวยเทพจะฟื้นคืนชีพมา พวกมันก็พลิกสถานการณ์ไม่ได้หรอก!” เสียงที่ดังก้องมาจากที่ไกลห่างทำให้บริเวณโดยรอบสั่นสะเทือน
สิ่งที่มาพร้อมกับเสียงนี้คือร่างของผู้ทรงอำนาจทั้งสี่ที่เหาะเหินกลางอากาศมาสู่เมืองบรรพกาล สายตาเย็นชาของพวกเขาเป็นดั่งสายฟ้าที่ฝ่าตรงไปยังปิงซื่อเทียน