บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 532 เมืองถูกปิดล้อม

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 532 เมืองถูกปิดล้อม

บทที่ 532 เมืองถูกปิดล้อม

เมื่อสามผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพฝ่าแดนภวังค์ทมิฬมาสู่สมรภูมิบรรพกาลแล้ว หลีหวงก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย รีบสั่งการให้กองทัพมรณะจู่โจมเต็มกำลังทันที

ในชั่วพริบตา ทหารช้างมรณะเริ่มรวบรวมกำลังพลางออกคำสั่ง ทำให้ปราณชั่วร้ายแผ่เข้าปกคลุมไปทั่วทั้งโลกา!

กองทัพอันชั่วร้ายกลุ่มนี้ถือกำเนิดขึ้นจากความขุ่นเคืองของผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพ ณ ครั้งการต่อสู้กับเหล่าทวยเทพในยุคเก่าก่อน …พวกเขาติดอยู่ในสมรภูมิบรรพกาลเป็นเวลานับปีไม่ถ้วน

และความปรารถนาเดียวในใจของพวกเขาคือการยึดครองเมืองบรรพกาลและกวาดล้างผู้คนโดยรอบ เพื่อที่จะได้กลับไปยังโลกของตนและหลบหนีจากความอัปยศครั้งนั้น!

ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มพุ่งรบไปข้างหน้าเมื่อได้ยินเสียงแตรดังก้องเป็นสัญญาณให้โจมตีเต็มกำลัง!

หากหันมองโดยรอบ จะได้เห็นพลทหารที่กำเนิดจากความขุ่นแค้นพวกนั้นอยู่ทั่ว พวกมันต่างก็เรียงรายกันเป็นแถวและพุ่งไปข้างหน้าอย่างเป็นระเบียบ ดู ๆ แล้วคล้ายกับฝูงตั๊กแตนนับหมื่นพันที่พุ่งทะยานพร้อมเข้าไปทำลายล้าง

ปราณชั่วร้ายบนร่างของพวกเขาไหลเวียนอยู่ตลอดไม่ขาดสายและเริ่มหลอมรวมเข้าด้วยกัน พลทหารมรณะเหล่านี้ได้ก่อตัวเป็นร่างใหญ่ยักษ์ดั่งภูผาซึ่งมีรัศมีที่โอ่อ่า เจ้าพวกนั้นได้พ่นหมอกสีดำออกมาทั่วบริเวณ และมีพละกำลังที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดหลายเท่าตัวนัก!

ในทางกลับกัน ทหารม้าเพลิงนรก ทหารม้ามรณะเกราะทองคำ และทหารช้างมรณะก็กำลังรวมทัพเช่นกัน ปราณชั่วร้ายหลอมรวมเข้าด้วยกันเพื่อควบแน่นเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาจำนวนมหาศาลที่มีหลากหลายรูปร่างและขนาดแตกต่างกันไป

บ้างมีสี่หัว แขนแปดข้าง และขี่มังกรกระดูก

บ้างถูกปกคลุมด้วยหนวดสัตว์ยาวพันจั้งเหมือนกับอสุรกายปลาหมึกที่น่าสะพรึงกลัว

บ้างถึงกับกลายร่างเป็นโครงกระดูกขนาดมหึมาที่มีดวงตากลวงโบ๋ซึ่งดูราวกับมาจากต่างพิภพ และด้วยการกัดเพียงครั้งเดียว เจ้าสิ่งนี้ก็สามารถกลืนกินส่วนหนึ่งของท้องนภาได้!

ฉากนี้ดูราวกับว่าเวลาได้ย้อนกลับไปยังยุคบรรพกาลในตอนที่กองทัพของผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพต่อสู้กับเหล่าทวยเทพ …แรงผลักดันของพวกเขานั้นน่าสะพรึงกลัวจนถึงขีดสุด!

“ฆ่า!”

“ฆ่า!”

“ฆ่า!”

เสียงคำรามกึกก้องทั่วท้องนภา ปราณชั่วร้ายปกคลุมไปทั่วสวรรค์และปฐพี ทั้งดินแดนตกอยู่ในความมืดและหายนะใหญ่หลวง

ทันใดนั้น เฉินซีก็กลับมาตั้งสติอีกครั้งในขณะที่ติดพันการต่อสู้ เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่อันตรายอย่างยิ่ง และเมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็ได้เห็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวนัก ชนิดที่ว่าหัวใจของชายหนุ่มตกไปอยู่ที่ตาตุ่มในทันที!

เหตุการณ์ไม่คาดฝันเยี่ยงนี้เป็นสิ่งที่อวิ๋นหลานเซิงไม่เคยพูดถึงมาก่อน!

หรือว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้น?

“ระวังให้ดี ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพมาถึงแล้ว ข้ารู้สึกถึงกลิ่นอายของพวกเขา!” ทันใดนั้น หม้อใบจิ๋วก็ส่งสัญญาณเตือนด้วยเสียงที่แฝงไว้ด้วยความรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด

“ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพ?” เฉินซีรู้สึกตกตะลึง เขารู้สึกว่าสถานการณ์เริ่มเลวร้าย เพราะนี่เป็นเพียงการทดสอบธรรมดาในสมรภูมิบรรพกาล ทว่ากลับมีผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพอยู่ที่นี่ หรือว่าเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเช่นนี้กำลังบอกลางสังหรณ์อะไรบางอย่าง?

“ซ่อนตัวก่อน เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเช่นนี้มีเพียงผู้ยิ่งใหญ่ในเมืองบรรพกาลเท่านั้นที่สามารถรับมือได้ ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติเช่นเจ้าไม่มีพลังอำนาจพอจะพลิกสถานการณ์ได้ ซ้ำยังอาจทำให้เจ้าตายอย่างอนาถาแทนหากฝืนตัว” หม้อใบจิ๋วกล่าวอย่างไร้ปรานี

“ซ่อนตัวอยู่ในเมือง?” เฉินซีหัวเราะอย่างขมขื่น

เพื่อประโยชน์ในการบ่มเพาะ ชายหนุ่มจึงพุงทะยานเข้ามากลางวงล้อม ดังนั้นบัดนี้เฉินซีจึงอยู่ห่างจากประตูเมืองไปเกือบหมื่นลี้ ซึ่งหากเป็นสถานการณ์ปกติ ระยะทางเล็กน้อยเช่นนี้ไม่ส่งผลอะไรนัก ทว่าเขาอยู่ท่ามกลางกองทัพมรณะ ดังนั้นการกลับไปที่ประตูเมืองจึงไม่ใช่เรื่องง่าย!

“ยืนนิ่ง ๆ อย่าเคลื่อนไหว” หม้อใบจิ๋วเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

โอม!

ก่อนที่จะทันได้ตอบสนอง เขาก็ถูกห่อหุ้มด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์สีขาวน้ำนม

ในยามถัดมา เฉินซีพลันสังเกตเห็นว่าร่างของตนหายไปแล้ว ราวกับว่าเป็นคนกลวงเปล่าไร้มวลสาร วิญญาณชั่วร้ายจำนวนมหาศาลวิ่งผ่านจุดที่ชายหนุ่มยืนอยู่ ไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของเขาเลยแม้แต่น้อย

“นี่คือวิชาอันใดกัน?” เฉินซีรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง คราหนึ่งเขาเคยฝึกฝนวิชารัศมีไร้ร่องรอย ทว่ามันก็ปกปิดได้เพียงร่องรอยของเขาเท่านั้น หากถูกสิ่งของเข้าร่างก็จะเผยให้เห็นแล้ว แต่วิชาที่หม้อใบจิ๋วใช้นั้นแตกต่างออกไป มันทำให้ร่างของเขาหายไปทันควัน!

ชายหนุ่มยังคงยืนอยู่นิ่ง ยิ่งกว่านั้นดวงตาและจิตสัมผัสเทพของเขาก็ยังคงรับรู้ถึงสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวได้ เป็นประสบการณ์ที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง

“มันเป็นเพียงการใช้กฎแห่งมิติรูปแบบหนึ่งเท่านั้นเอง” หม้อใบจิ๋วพูดอย่างเฉยเมย “จงจำไว้ว่า เจ้าต้องตอบแทนบุญคุณข้า หรือจะบอกได้ว่า ถ้าต้องการได้สิ่งใดจากข้า เจ้าต้องตอบแทนกลับมาในทำนองเดียวกัน”

“นี่คือหลักการที่เจ้าใช้จัดการกับสิ่งต่าง ๆ อย่างนั้นหรือ?” เฉินซีขมวดคิ้ว พูดตามตรงว่าเขาไม่ยอมรับวิธีแลกเปลี่ยนเช่นนี้เพราะมันช่างเลือดเย็น ไร้ซึ่งมนุษยธรรม

“ไม่ใช่ นี่เป็นการรักษาสมดุล เจ้าอาจจะยังไม่เข้าใจในตอนนี้ ทว่าเจ้าจะเข้าใจเองเมื่อเติบโตขึ้นจนแข็งแกร่งพอ ความสมดุลเป็นกฎข้อเดียวที่ทำให้เอกภพดำรงอยู่ได้จนถึงปัจจุบัน” หม้อใบจิ๋วตอบกลับอย่างช้า ๆ “หากข้าช่วยเจ้ามากเกินไป มันจะมีผลกับชาตะกรรมของเจ้า ไม่ต่างอะไรกับการส่งต่อความหายนะมาสู่เจ้า”

เฉินซีไม่อาจเข้าใจได้ ทว่ายังแยกแยะได้ว่ามันกำลังทำสิ่งนี้เพื่อประโยชน์ของเขาจริง ๆ ทำให้ความรู้สึกไม่ดีในใจหายไปอย่างไร้ร่องรอย จากนั้นเขาจึงถาม “แล้วข้าต้องทดแทนบุญคุณอย่างไร?”

“ช่างเรื่องนั้นก่อน เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพกำลังจะเคลื่อนไหวในไม่ช้าแล้ว…” หม้อใบจิ๋วตอบกลับ

เฉินซีชะงักงัน เขาเงยหน้าขึ้นมองและเห็นว่ามีลำแสงที่เจิดจ้าและกว้างใหญ่ไพศาลสี่ดวงพุ่งขึ้นสู่เวหา ราวกับเป็นลำแสงที่เชื่อมกับสวรรค์ภายในกองกำลังชั่วร้ายเหล่านั้น

ปรากฏการณ์จากแสงเหล่านี้ช่างน่าตกใจยิ่งนัก…!

หลังจากนั้น ร่างทั้งสี่ที่ทรงอำนาจดั่งทวยเทพก็ปรากฏขึ้นในโลกหล้า

คนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีดำที่มีรูม่านตาสีเงินหนึ่งคู่ เปลวเพลิงสีม่วงไหลเวียนไปทั่วร่างกาย คนคนนี้คือผู้บัญชาการศึกของเหล่าทหารม้ามรณะทั้งมวล หลีหวง!

อีกคนหนึ่งเป็นชายหนุ่มร่างสูงที่มีปีกสีขาวบริสุทธิ์หนึ่งคู่ มีนามว่าลั่วชวน

อีกคนหนึ่งเป็นชายรูปงามที่มีผิวสีฟ้าทะเลและมีเขาอยู่ระหว่างคิ้ว มีนามว่าหมิงจื่อ

คนสุดท้ายเป็นชายหนุ่มตัวสูง มีเส้นผมสีทอง ดวงตาสีเขียวหยก สภาพรุงรังเหมือนสิงโต มีนามว่าหลูกัง

นอกจากหลีหวงแล้ว ยังมีคนอื่นจากต่างภพที่ลงมาสู่ยังสมรภูมิบรรพกาล พวกเขามีเป้าหมายที่เรียบง่ายมาก นั่นคือช่วยหลีหวงยึดเมืองบรรพกาลที่เหล่าทวยเทพสร้างขึ้นและหลบหนีจากสมรภูมิบรรพกาลแห่งนี้

“จักรพรรดิภูตผีหลีหวง? ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่… ไม่น่าแปลกใจเลยที่ผู้เยี่ยมยุทธ์จากพิภพปักขี พิภพทะเลหมอกและพิภพวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กล้าเสี่ยงที่จะมาที่นี่…” หม้อใบจิ๋วพึมพำพลางครุ่นคิดอย่างหนัก

เฉินซีที่ได้ยินรู้สึกงุนงง เพราะเขาไม่เข้าใจสิ่งที่หม้อใบจิ๋วกล่าว เพียงเดาได้พอสังเขปว่าทั้งสี่คนนี้ล้วนเป็นผู้ยิ่งใหญ่จากภพอื่น

ยิ่งกว่านั้น หนึ่งในนั้นคือผู้ที่ควรล้มตายในช่วงที่เหล่าทวยเทพออกสำรวจ ทว่าอีกฝ่ายกลับยังรอดชีวิตมาตลอดจนถึงตอนนี้ และได้เชิญผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งสามมาที่สมรภูมิบรรพกาล!

ในเมื่อผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพมาถึงแล้ว ปิงซื่อเทียนจะสามารถปกป้องเมืองบรรพกาลได้หรือไม่? เฉินซีมองไปยังเมืองบรรพกาลที่อยู่ไกลห่างแล้วรู้สึกหนักใจเล็กน้อย

ชายหนุ่มกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของชิงซิ่วอี้และพวกพ้อง เพราะหากปล่อยให้ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพยึดเมืองบรรพกาลได้ ทุกคนอาจดับสูญไปพร้อมกับมัน…

การโจมตีอย่างกะทันหันของกองทัพมรณะนั้นรุนแรงยิ่ง ด้วยมีจำนวนคนมหาศาลอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ทำให้บรรดาผู้บ่มเพาะในสนามรบถูกตรึงไว้

จำนวนผู้ล้มตายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว!

“บัดซบ พวกมันโจมตีอย่างสุดกำลังจริงด้วย ๆ!”

“ช่างเป็นการจู่โจมที่น่ากลัวเสียจริง เกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือว่ามีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันบางอย่างเกิดขึ้น?”

“รีบซ่อนตัวในเมือง เร็วเข้า!”

พื้นที่ด้านนอกของประตูทั้งแปดแห่งเมืองบรรพกาลเต็มไปด้วยเสียงร้องอุทานด้วยความตกใจ ผู้เยี่ยมยุทธ์จากหลากหลายราชวงศ์เริ่มแยกย้ายกันถอยหนีภายใต้แรงกดดันของกองทัพมรณะที่น่าเกรงขาม พวกเขาไม่กล้าบุกซึ่ง ๆ หน้าอีกต่อไป

ภาพตรงหน้ามันช่างน่ากลัวเกินรับไหว! การจู่โจมระดับนี้เป็นสิ่งที่การบ่มเพาะในปัจจุบันของพวกเขาไม่อาจต้านทานได้เลย!

นอกจากนี้ ทูตแห่งแดนภวังค์ทมิฬที่กำลังป้องกันป้อมปราการ ณ ประตูเมืองทั้งแปดยังเข้าใจถึงความฉุกเฉินของสถานการณ์นี้ จึงได้เปิดเส้นทางหลบหนีอย่างต่อเนื่องสำหรับเหล่าคนที่อยู่เบื้องล่าง

ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง!

บัดนี้ ลำแสงที่หนาทึบทั้งสี่สายพลันพวยพุ่งออกมาจากกองทัพมรณะ ลำแสงพุ่งตรงขึ้นสู่ท้องนภาพร้อมกับเปล่งแสงอันเจิดจ้าก่อนที่ร่างอันทรงพลังทั้งสี่จะปรากฏออกมา

ในทันทีที่ร่างทั้งสี่นี้ปรากฏขึ้น เมฆวายุทั่วทุกสารทิศเริ่มสั่นคลอนจากแรงกดดันอันไร้เทียมทานจนแผ่กระจายไปทั่วโลกา

ผู้บ่มเพาะที่หลบหนีเข้าเมืองไม่ทันเวลารู้สึกหวาดผวาต่อแรงกดดันนี้จนเก็บอาการไม่ไหว ก่อนจะถูกพลทหารมรณะที่อยู่ใกล้เคียงคร่าชีวิตไปโดยตรง เลือดของพวกเขาพุ่งกระฉูดก่อนล้มตายอย่างน่าสลดใจ

“ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพ!” บนประตูเมือง ผมสีขาวของอวิ๋นหลานเซิงปลิวไสวขณะที่แสงสว่างเย็นยะเยือกกระทบกับดวงตาของเขา

“พิภพนี้กำลังจะเข้าสู่ความโกลาหลครั้งใหญ่อย่างแท้จริง…” วิปลาสหลิ่วเก็บน้ำเต้าของเขาพลางจ้องมองไปในระยะไกลด้วยดวงตาที่ขุ่นมัว ร่องรอยความกังวลฉายชัดบนใบหน้าที่ซีดเซียว

ในขณะนี้ ไม่ใช่แค่อวิ๋นหลานเซิงและวิปลาสหลิ่วเท่านั้น แม้แต่ทูตคนอื่น ๆ ที่กำลังยื้อป้อมปราสาทที่ประตูเมืองต่างแสดงสีหน้าตกตะลึง ความวิตกกังวลเอ่อล้นในหัวใจของพวกเขา

ไม่มีใครคาดคิดว่าบททดสอบธรรมดา ๆ ของสมรภูมิบรรพกาลจะกลายมาเป็นสถานการณ์เช่นนี้

พิภพอื่นล้วนเป็นศัตรูของสามภพนี้มาโดยตลอด

ในยุคบรรพกาล เหล่าทวยเทพนำคณะมาที่นี่เพื่อทำลายล้างเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพที่เข้ามารุกรานสามภพ

ทว่าพวกเขาไม่เคยคิดเคยฝันว่าหลังจากหลายปีผ่านไป จะยังมีผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพบุกมาที่นี่อีกครั้ง หรือว่าสามภพกำลังจะเข้าสู่กลียุคแล้วจริง ๆ?

“บททดสอบสุดท้ายของสมรภูมิบรรพกาลในครั้งนี้ได้ยุติลงแล้ว ทุกคนถอยกลับเข้าไปในเมือง พวกเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ก้าวออกจากเมืองโดยพลการ!” ในขณะนี้เสียงที่ชัดใสพลันก้องกังวานไปทั่วสวรรค์และโลก

หลังจากนั้น ร่างสูงของปิงซื่อเทียนก็ทะยานขึ้นไปบนท้องนภา เสื้อผ้าของเขาปลิวไสวไปตามสายลม และร่างกายก็ได้เปล่งแสงเจิดจรัสไปทั่วโลการาวกับเป็นผู้ปกครองโลก!

ทันทีที่ได้เห็นปิงซื่อเทียน ไม่ว่าจะเป็นศิษย์จากหลากหลายราชวงศ์หรือทูตแห่งแดนภวังค์ทมิฬ ความกังวลในใจของพวกเขาก็หายไปอย่างสิ้นเชิงราวกับว่าพบกับผู้ที่พึ่งพาได้

มีเซียนสวรรค์อยู่ทั้งคน แล้วจะกลัวอะไรหากมีผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพบุกเข้ามา?

“ทูตแห่งแดนภวังค์ทมิฬทุกคน จงฟังคำสั่งของข้า พวกเจ้าทั้งหมดต้องปกป้องป้อมปราการทั้งแปดและป้องกันประตูเมืองจนถึงลมหายใจสุดท้าย ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า!” ท่าทางของปิงซื่อเทียนเต็มไปด้วยความสง่างาม เขาก้าวขึ้นไปบนก้อนเมฆพลางเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา ทุกการเคลื่อนไหวของเขาเผยให้เห็นความมั่นใจและความทะนงตัวที่เหนือกว่าใคร ๆ

เมื่อพวกเขาเห็นฉากนี้ แม้แต่เฉินซีที่ยังอยู่ในสนามรบก็ยังต้องยอมรับว่าปิงซื่อเทียนสมควรได้รับการขนานนามว่าเป็นเซียนสวรรค์ เนื่องจากมีคุณสมบัติผู้นำที่น่าชื่นชมและเก่งกาจ จะปกครองโลกทั้งใบก็ย่อมได้

“เหอะ! เซียนสวรรค์อย่างนั้นรึ? ต่อให้ทวยเทพจะฟื้นคืนชีพมา พวกมันก็พลิกสถานการณ์ไม่ได้หรอก!” เสียงที่ดังก้องมาจากที่ไกลห่างทำให้บริเวณโดยรอบสั่นสะเทือน

สิ่งที่มาพร้อมกับเสียงนี้คือร่างของผู้ทรงอำนาจทั้งสี่ที่เหาะเหินกลางอากาศมาสู่เมืองบรรพกาล สายตาเย็นชาของพวกเขาเป็นดั่งสายฟ้าที่ฝ่าตรงไปยังปิงซื่อเทียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท