บทที่ 534 ทะลวงสู่สวรรค์ทั้งเก้า
บทที่ 534 ทะลวงสู่สวรรค์ทั้งเก้า
ตราบใดที่ชีวิตยังคงอยู่ การต่อสู้ก็จะไม่มีวันสิ้นสุด!
มนุษย์ต่างต่อสู้ดิ้นรนเพื่อหลุดพ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ในขณะที่สรรพสัตว์ต่างต่อสู้ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด การสืบพันธุ์ของสรรพสัตว์ก็เพื่อต่อสู้กับธรรมชาติ และผู้บ่มเพาะที่แสวงหาเต๋าก็คือการต่อสู้กับเต๋าแห่งสวรรค์
สวรรค์และโลก ในหมู่สิ่งมีชีวิต มีแห่งหนใดบ้างที่ไม่มีการต่อสู้?
…
เฉินซีหมกมุ่นอยู่กับการต่อสู้ที่บริสุทธิ์นี้ เลือดอันร้อนระอุในกายของเขาเดือดพล่าน ชั่วเวลานี้… ชายหนุ่มลืมเลือนทุกอย่างไปเสียสิ้น!
ในใจของเขามีเพียงความคิดเดียว นั่นคือ …จงสู้!
ในขณะที่ต่อสู้ภายใต้สภาวะที่แปลกประหลาดนี้ เฉินซีไม่ได้สังเกตเลยว่าการบ่มเพาะ จิตวิญญาณหรือแม้แต่ร่างกายของเขา ได้ระเบิดพลังที่ทรงอำนาจและพลังแฝงอันไร้ขอบเขตที่คำรามอยู่ภายในร่างกายออกมา
กงล้อสังสารวัฏของเฉินซีกำลังหมุนและโคจรเป็นจังหวะที่สอดคล้องกับฟ้าดิน จากนั้นจึงเปล่งแสงจากสวรรค์ออกมา ในขณะที่ปราณแท้ของเขาพวยพุ่งออกมาราวกับหินหลอมเหลวในภูเขาไฟที่หนาแน่นยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ
จุดชีพจรทั่วร่างกายของเฉินซีก็เปล่งประกายด้วยรัศมีของพระอาทิตย์และพระจันทร์ จากนั้นลำแสงเจิดจ้าก็พุ่งออกมาจากภายในจุดชีพจรเหล่านั้น ซึ่งพวกมันก็ค่อย ๆ เสริมความแข็งแกร่งให้กับเนื้อหนัง เส้นเอ็นและกระดูกของเขา ทำให้เขาสามารถระเบิดพลังแฝงที่มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น การขัดเกลากายาและการบ่มเพาะปราณแท้ของชายหนุ่มก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยแรงผลักดันมหาศาล!
แต่ดูเหมือนว่าเฉินซีจะไม่รับรู้เรื่องทั้งหมดนี้เลย
เพราะเสียงของหม้อใบจิ๋วยังคงดังก้องอยู่ในหูของเฉินซี ราวกับเป็นท่วงทำนองที่กระตุ้นให้เขาต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายและดึงพลังออกมาจนถึงขีดสุด
ในขณะนี้ พายุสายฟ้ายังคงคำรามก้องอยู่รอบตัวเฉินซี ขณะที่ประกายสายฟ้ายังเคลื่อนไปมาภายในดวงตาของเขา เต๋ารู้แจ้งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นธาตุทั้งห้า หยิน หยาง สายฟ้า ดวงดาว การฆ่าฟัน การลบล้าง ปารมิตา การให้อภัย การกลืนกิน และอื่น ๆ ถูกนำมาใช้อย่างชำนาญตามที่เขาต้องการ ทุกกระบวนท่าล้วนมีเจตจำนงอันยิ่งใหญ่และพลังที่จะกวาดล้างไปทั้งโลกา
ยิ่งกว่านั้น เหล่ากองทัพมรณะที่ล้มตายด้วยน้ำมือของเฉินซีก็เหมือนกับข้าวเปลือกในทุ่งนาที่เขาเก็บเกี่ยวชุดแล้วชุดเล่า และความเร็วในการทำลายล้างศัตรูของเขาก็น่าประหลาดใจอย่างยิ่ง
แน่นอนว่าเหตุผลส่วนใหญ่ก็เกิดจากการที่เฉินซีได้ลอบจู่โจมพวกมันจากทางด้านหลัง ซึ่งกองทัพมรณะเหล่านั้นกำลังจดจ่ออยู่กับการโจมตีเมืองบรรพกาล ดังนั้นพวกมันจะรู้ได้อย่างไรว่า มีมนุษย์กำลังสังหารพวกมันอยู่ทางด้านหลัง?
ถึงแม้ว่าจะสังเกตเห็นชายหนุ่ม แต่มันก็สายเกินไป เนื่องจากความเร็วของเฉินซีนั้นเร็วเกินไปและเขาไม่เปิดโอกาสให้พวกมันได้ทันตอบโต้ ดังนั้นพวกมันจึงถูกทำลายทั้งหมด
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การต่อสู้เยี่ยงนี้เป็นเพียงการสังหารหมู่แต่ฝ่ายเดียว
หากมีใครมองลงมาจากท้องฟ้า จะเห็นร่างที่เปล่งประกายด้วยแสงของสายฟ้า ซึ่งดูเหมือนเคียวที่กำลังเก็บเกี่ยวชีวิตจากทางด้านหลังของกองทัพกองทัพมรณะ อีกทั้งยังทำลายล้างจนเกิดรอยแยกขนาดใหญ่อันน่ากลัว
น่าเสียดายที่ฉากนี้ไม่มีใครสังเกตเห็น
เนื่องจากปิงซื่อเทียนกำลังต่อสู้กับสี่ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างภพอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าอย่างดุเดือด ในขณะที่เหล่าทูตของแดนภวังค์ทมิฬก็นำเหล่าศิษย์ของราชวงศ์ต่าง ๆ เข้าต่อสู้กับกองทัพกองทัพมรณะบนอากาศ
การต่อสู้อันน่าสยดสยองเกิดขึ้นทุกหนทุกแห่ง และเพื่อความอยู่รอด ทุกคนต่างตั้งสมาธิอย่างหนักแน่นในทุกเสี้ยวลมหายใจ
หลังจากต่อสู้และเข่นฆ่าอย่างไม่จักจบจักสิ้น
ทันใดนั้น เสียงของหม้อใบจิ๋วก็ดังขึ้นที่หูของเฉินซี “พอแล้ว พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องรวบรวมพลังเทวะอีกต่อไปแล้ว!”
“พอแล้วหรือ?” เฉินซีหยุดเคลื่อนไหว และดวงตาของเขายังคงมีร่องรอยความผิดหวัง
แต่เขายังคงอดกลั้นและถามด้วยเสียงที่แหบแห้ง “มันเพียงพอแล้วจริง ๆ หรือ?”
“ข้าต่อสู้อย่างสุดกำลังได้เพียงครั้งเดียว” หม้อใบจิ๋วตอบอย่างใจเย็น
“ดีมาก” เฉินซีถอนหายใจด้วยความโล่งอก ตอนนี้เขาเพิ่งรู้สึกว่าร่างกายอ่อนล้าอย่างสุดจะพรรณนา กล้ามเนื้อของเขาเจ็บปวดเหลือทน และรู้สึกถึงแรงกระตุ้นที่เกิดจากความเหนื่อยล้าอย่างรุนแรง ซึ่งทำให้เขาไม่ต้องการสิ่งอื่นใดนอกจากการนอนหลับพักผ่อน
“ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าเข่นฆ่าจนทะลวงสู่สวรรค์ทั้งเก้า!!”
แต่ถ้อยคำเพียงประโยคเดียวของหม้อใบจิ๋ว กลับทำให้จิตวิญญาณของเฉินซีรู้สึกสดชื่นขึ้น และความเหนื่อยล้าของเขาก็หายเป็นปลิดทิ้ง
…
“ฮ่า ๆๆ… ไอ้หนู ในตอนนั้นข้าสามารถต่อกรกับเหล่าทวยเทพได้ แม้ว่าตอนนี้ข้าจะเหลือเพียงเศษเสี้ยวของจิตวิญญาณ แต่เซียนสวรรค์ที่ฝีมืออ่อนด้อยเช่นเจ้าจะต่อต้านข้าได้อย่างไร? หากไม่ใช่เพราะศัสตราของเหล่าทวยเทพคอยคุ้มครองอยู่ เจ้าคงสิ้นชีพไปนานแล้ว!”
เสียงหัวเราะดังลั่นจากสวรรค์ทั้งเก้า ร่างของหลีหวงอาบไปด้วยเปลวเพลิงสีม่วงที่ลุกโชติช่วง และเพียงแค่พลิกฝ่ามือ เปลวเพลิงสีม่วงก็พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า จากนั้นจึงเผาผลาญทุกสรรพสิ่งที่อยู่ในระยะนับพันลี้ ซึ่งเผยให้เห็นพลังที่ครอบงำและรุนแรงของมัน
“เจ้าประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินไปจริง ๆ ความโกลาหลของทั้งสามภพนั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อมและเมืองบรรพกาลจะต้องถูกกำจัดให้สิ้นซาก การกระทำของเจ้านั้นไร้ประโยชน์ มาดูกันว่าเจ้าจะดิ้นรนต่อไปได้อีกนานแค่ไหนกัน!”หลูกังกล่าวอย่างเย็นชาและเฉยเมย ดวงตาสีเขียวหยกของเขาก็เปล่งประกายเย็นชา ในขณะที่เจตนาฆ่าของเขาก็สั่นสะเทือนไปโดยรอบ
ตู้ม!
ฝนเลือดสีทองได้โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าขนานใหญ่ ในขณะที่ปิงซื่อเทียนก็โซเซไปทางด้านหลังและกระอักเลือดคำโตออกมา เนื่องจากเขาได้รับบาดเจ็บ
เขาประเมินความแข็งแกร่งของจักรพรรดิภูตผีหลีหวงต่ำไป เพราะเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า จิตวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์ซึ่งยังมีชีวิตรอดจะสามารถสะสมความแข็งแกร่งจนเทียบได้กับเซียนสวรรค์ เมื่อรวมกับความช่วยเหลือจากผู้เยี่ยมยุทธ์ของจากต่างภพทั้งสามคนแล้ว พวกมันกลับทำให้เขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤตทันที
ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามีศัสตราทั้งแปดของเหล่าทวยเทพคุ้มครองอยู่ เขาคงไม่อาจยืนหยัดอยู่ได้จนถึงตอนนี้
“เหตุใดเจ้าจึงกล่าววาจาผายลมมากมาย!? ถ้าอยากจะสู้ ก็จงสู้ให้สาแก่ใจ นับตั้งแต่ที่เริ่มบ่มเพาะมาจนถึงตอนนี้ ข้าปิงซื่อเทียนได้ผ่านการต่อสู้มานับครั้งไม่ถ้วน แล้วข้าจะเคยเกรงกลัวผู้ใดมาก่อนได้อย่างไร?”
มือขวาของชายหนุ่มสั่นขณะที่เขาพุ่งไปข้างหน้าอีกครั้ง ง้าวสีเงินตวัดขึ้นสู่ท้องฟ้าและฟาดฟันลงมาอย่างดุดัน ทำให้บรรยากาศบิดเบี้ยวทันทีที่มันระเบิดพลังออกมา และเขาต่อสู้อย่างเต็มที่โดยปราศจากความกลัว
แต่ไม่ว่าจะดิ้นรนต่อสู้อย่างไร เขาก็ไม่อาจหลุดพ้นจากการถูกกลุ่มของหลีหวงรุมล้อม และยิ่งการต่อสู้ยืดเยื้อไปนานมากเท่าใด อาการบาดเจ็บบนร่างกายของเขาก็เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังรุนแรงยิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
‘บัดซบ! ถ้าร่างที่แท้จริงของข้าอยู่ที่นี่ แล้วข้าจะถูกกดดันมาจนถึงจุดนี้ได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น ศัสตราของเหล่าทวยเทพเหล่านี้กลับไม่เชื่อฟังข้า ทำให้ข้าดึงพลังออกมาได้น้อยกว่าสามส่วนเท่านั้น… หรือว่าร่างจำลองของข้าปิงซื่อเทียนจะต้องสูญสิ้นในวันนี้’ ดวงตาของปิงซื่อเทียนลุกโชนด้วยเปลวไฟ ในขณะที่หัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยความไม่ยินยอม
ตู้ม!
เมื่อความคิดเหล่านี้ปรากฏขึ้นในใจ
ลั่วชวน ผู้เยี่ยมยุทธ์จากภพปักขีได้ระเบิดการโจมตีจากทางด้านข้าง ปีกของเขาเป็นดั่งใบมีดที่ก่อให้เกิดอักขระยันต์สีเงินสว่างไสว ซึ่งกระหน่ำใส่ปิงซื่อเทียนจนกระเด็นและทำให้ฝนเลือดโปรยปรายลงมา
“ผู้อาวุโส!” ในขณะเดียวกัน เมื่อทูตในเมืองบรรพกาลสังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาต่างอุทานด้วยความตกใจโดยไม่รู้ตัว
พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่า ปิงซื่อเทียนที่ดูเหมือนไร้เทียมทานจะถูกปราบปรามถึงขนาดนี้ หรือว่าความแข็งแกร่งของผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างภพนั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเซียนสวรรค์?
พร้อมกับเสียงอุทานที่ดังก้องออกมา เหล่าศิษย์ในเมืองต่างตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น และเมื่อพวกเขาเห็นปิงซื่อเทียนถูกไล่ต้อนจนได้รับบาดเจ็บและใกล้จะเสียชีวิต ทุกคนต่างร้องออกมาด้วยความเศร้าโศก
เพราะว่าหากอีกฝ่ายเสียชีวิต แล้วพวกเขาจะยังมีโอกาสรอดชีวิตหรือไม่?
เมื่อถึงเวลานั้น เมืองบรรพกาลจะถูกทำลาย ในขณะที่เหล่าศิษย์ของราชวงศ์ต่าง ๆ จะต้องตายไปพร้อมกับมัน!
“เจ้าดิ้นรนมาเนิ่นนาน แล้วเจ้าจะยืนหยัดได้อีกนานแค่ไหนกัน!?” น้ำเสียงของจักรพรรดิภูตผีหลีหวงนั้นน่ากลัว ดวงตาสีเงินของเขาเย็นยะเยือก และเจตนาฆ่าของเขาก็เหมือนกับคลื่นยักษ์
วูบ!
เปลวเพลิงสีม่วงพุ่งออกมาดั่งคลื่นยักษ์และทำให้ปิงซื่อเทียนได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง
“เลิกดิ้นรนเสียที สถานการณ์นี้ไม่ใช่สิ่งที่ร่างจำแลงของเซียนสวรรค์อย่างเจ้าจะเปลี่ยนแปลงได้ เว้นแต่ผู้ยิ่งใหญ่จากภพเซียนจะลงมา มิฉะนั้น เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะมีชีวิตรอดในวันนี้!” หมิงจื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา รูปร่างหน้าตาของเขาดุจสตรีที่งดงาม แต่ความแข็งแกร่งของเขานั้นกลับทรงพลังอย่างไม่ต้องสงสัย และอาการบาดเจ็บมากกว่าครึ่งที่อยู่บนร่างของปิงซื่อเทียนก็เกิดจากน้ำมือของเขา
ปิงซื่อเทียนหอบหายใจขณะที่เลือดไหลออกมาจากมุมปาก และมีร่องรอยของการดิ้นรนอยู่ในดวงตาของเขา
การต่อสู้ดำเนินถึงจุดนี้ ทำให้ความสิ้นหวังก่อตัวขึ้นในหัวใจของเซียนสวรรค์หนุ่ม และเขาตั้งใจจะหลบหนีเป็นการชั่วคราว เพราะตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า แม้เขาจะต่อสู้จนตัวตาย แต่ก็คงไม่มีพลังมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ และถ้าเขาสูญเสียร่างจำแลงเพราะสาเหตุนี้ มันก็จะไม่คุ้มเสียเลยจริง ๆ
สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ เขาไม่ได้มีเจตนาที่จะเสียสละตนเองเพื่อเมืองบรรพกาล และไม่มีทางที่เขาจะสละชีวิตเพื่อศิษย์ของราชวงศ์ต่างๆ
เพราะเขาคือเซียนสวรรค์จากภพเซียน!
ในสายตาของเซียนส่วนใหญ่ สรรพชีวิตในภพมนุษย์นั้นต่ำต้อยและด้อยค่าเหมือนมดปลวก ซึ่งไม่คู่ควรที่พวกเขาจะต้องเสียสละให้
ปิงซื่อเทียนก็เป็นเช่นเดียวกัน ไม่ว่าเขาจะหยิ่งยโสหรือมั่นใจแค่ไหนก่อนการต่อสู้ เมื่อเผชิญกับความจริงที่โหดร้ายนี้ ชายผู้นี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องคิดและไตร่ตรองเพื่อประโยชน์ของตัวเอง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขานึกได้ว่ายังมีหญิงสาวคนหนึ่งจ้องมองเขามาจากในเมือง ความคิดที่จะหลบหนีก็ได้สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ข้าต้องเฝ้ารออย่างขมขื่นมานานแสนนาน เพียงเพื่อให้ได้หัวใจของศิษย์พี่หญิงและบรรลุความปรารถนาตลอดชีวิตของข้า ถ้านางเห็นข้าวิ่งหนีจากการต่อสู้เช่นนี้ นางคงจะผิดหวังมากใช่หรือไม่?”
“ช่างมันเถอะ!”
ข้าจะพยายามให้ดีที่สุด ถึงแม้จะไม่สามารถเอาชนะพวกมันได้และเพิกเฉยต่อคนอื่น ๆ ได้ แต่ข้าต้องช่วยเหลือศิษย์พี่หญิงให้จงได้…
ความคิดมากมายแวบเข้ามาในหัวของเขา และดวงตาของปิงซื่อเทียนก็กลับมาแน่วแน่อีกครั้ง
เขาตัดสินใจที่จะต่อสู้ ต่อสู้จนถึงที่สุด เพราะเขาต้องการให้หญิงสาวที่เขารักอย่างสุดซึ้ง เห็นว่าเขายอมแลกกับทุกสิ่งก็เพื่อนาง!
ตู้ม!
การต่อสู้ปะทุขึ้นอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นดั่งที่ชายหนุ่มคาดเดาไว้ ไม่ว่าเขาจะต่อต้านอย่างไร เขาก็ไม่สามารถพลิกสถานการณ์ได้ ในทางกลับกัน อาการบาดเจ็บในระหว่างการต่อสู้ของเขากลับรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เลือดไหลลงมาราวกับสายฝน
“ผู้อาวุโส!” เมื่อมองไปยังปิงซื่อเทียนที่ต่อสู้บนท้องฟ้าด้วยพลังทั้งหมดที่มี ทุกคนในเมืองบรรพกาลต่างก็ร้องออกมาอย่างเศร้าโศก และพวกเขาไม่สามารถยอมรับผลที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ ทำให้ความเศร้าโศก โทสะ และความสิ้นหวังโถมเข้าใส่ในหัวใจของพวกเขา
พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่า การที่ชายหนุ่มทำถึงขนาดนี้ ก็เพื่อต้องการได้รับความโปรดปรานจากหญิงงามเท่านั้น และพวกเขาล้วนคิดอย่างไร้เดียงสาว่า ปิงซื่อเทียนกำลังต่อสู้เพื่อพวกเขาและต่อสู้เพื่อเมืองบรรพกาล
โชคชะตามักเล่นตลกกับผู้คนเช่นนี้เสมอ มันช่างไร้สาระและน่าหัวร่ออย่างขมขื่น
ตู้ม!
ปิงซื่อเทียนถูกซัดอีกครั้ง ร่างกายของเขาอาบไปด้วยเลือด ในขณะที่สีหน้าของเขาก็ซีดเซียว และใกล้จะหมดแรงในไม่ช้า
“ข้าไม่เคยคิดเลยว่า เซียนสวรรค์ตัวเล็ก ๆ เช่นเจ้าจะซื่อสัตย์และมากด้วยคุณธรรม อุปนิสัยเช่นนี้คงหาได้ยากในภพเซียน เพราะเท่าที่ข้ารู้มา พวกเจ้าทุกคนที่ยกย่องตัวเองว่าเป็นเซียนนั้นล้วนหยิ่งยโสเป็นอย่างมาก และพวกเจ้าต่างคิดว่าสรรพสิ่งในภพที่ต่ำกว่าล้วนเป็นมดปลวกที่ต่ำต้อย” จักรพรรดิผีหลีหวงคำรามด้วยเสียงหัวเราะและน้ำเสียงของเขาก็เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
ลั่วชวน หมิงจื่อ และหลูกังก็หัวเราะอย่างเลือดเย็นโดยไม่มีที่สิ้นสุด
ปิงซื่อเทียนแสร้งเป็นหูหนวกต่อสิ่งที่หลีหวงกล่าว เนื่องจากเขากำลังสะสมกำลังเพื่อเปิดฉากโจมตีครั้งสุดท้ายและช่วยเหลือชิงซิ่วอี้ ก่อนที่จะหลบหนีออกจากสนามรบ
“ท่านผู้อาวุโส!” ผู้คนในเมืองต่างร่ำร้องด้วยความโศกเศร้าอีกครั้ง เนื่องจากความสิ้นหวังได้ลุกลามอยู่ในใจของพวกเขาอย่างควบคุมไม่ได้ และปิงซื่อเทียนก็เป็นเสาหลักเดียวที่พึ่งพาได้ แต่ตอนนี้เขากำลังจะล้มลง จะให้ยอมรับสิ่งนี้ได้อย่างไร?
ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันสิ้นหวัง
“หรือว่าวันนี้ข้าจะต้องตายที่นี่จริง ๆ?”
จิตใจของทุกคนเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจและความโกรธแค้น ซึ่งพวกเขาก็แทบสิ้นสติ
โอม!
ทันใดนั้น ลมปราณที่กว้างใหญ่ไพศาลได้แผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็วจากที่ไกลแสนไกล จากนั้นก็สั่นสะเทือนท้องฟ้าและปกคลุมโดยรอบ ทำให้ฟ้าดินทั้งมวลดูจะตกอยู่ในความเงียบงัน
ฟุ่บ!
ชั่วพริบตานี้ ไม่ว่าจะเป็นปิงซื่อเทียน หลีหวงและคนอื่น ๆ ที่อยู่บนท้องฟ้า แม้แต่ทูตของแดนภวังค์ทมิฬหรือผู้เยี่ยมยุทธ์จากราชวงศ์ต่าง ๆ สายตาของทุกคนต่างจดจ้องไปยังทิศทางเดียวกันอย่างพร้อมเพรียง
ณ ที่แห่งนั้น มีร่างสูงใหญ่กำลังทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า เสื้อผ้าและเส้นผมของเขาปลิวไสวไปตามสายลม ในขณะที่หม้อหยกในมือของเขาก็เปล่งประกายด้วยพลังเทวะที่ไร้ขอบเขต!