บทที่ 537 ปิดฉาก
บทที่ 537 ปิดฉาก
“อะไรกัน? ยังคิดใช้เคล็ดวิชาพิรุณวิญญาณหลบหนีอยู่อีกหรือ?” หลังกำจัดหลูกังไปได้ เฉินซีก็มองฟ้าไกลด้วยสายตาเย็นชาทว่าดุดันราวกับสายฟ้าฟาด
ก่อนที่เขาจะเหยียดแขนออกไปคว้าอากาศเบื้องหน้า ทำให้มันระเบิดออกทันที บีบให้เงาร่างหนึ่งเผยออกมา มันดิ้นพล่าน ทั่วร่างเต็มไปด้วยเพลิงสีม่วง ดูแล้วเหมือนหิ่งห้อยสีม่วงจำนวนนับไม่ถ้วนที่กำลังกระพือปีกบินไปมา
มันก็คือจักรพรรดิภูตผีหลีหวง!
ตอนนี้เขามีสีหน้าที่ดูไม่ได้อย่างมาก สายตาที่จับจ้องเฉินซีเจือด้วยโทสะระคนไม่ยินยอม ทว่าความกลัวที่คืบคลานจากภายในจิตใจเป็นสิ่งที่เห็นได้เด่นชัดที่สุด
เขาเกรงกลัวจากใจจริง ตั้งแต่เริ่มต่อสู้มาจนถึงตอนนี้ ผู้ให้ความช่วยเหลือที่มีฝีมือเก่งกาจทั้งหลายที่ข้ามแดนภวังค์ทมิฬมายังสมรภูมิบรรพกาลพากันล้มหายตายจากกันไปเรื่อย ๆ ในขณะที่วิชาทั้งหลายซึ่งเฉินซีใช้ก็ทำให้เขาหวาดกลัวและสิ้นหวังจนถึงขีดสุด
เขาจึงได้แต่หนีไปและอดทนรอหาโอกาสลงมืออีกครั้ง
ทว่าเมื่อชายหนุ่มคว้าอากาศครั้งเดียว มันก็บีบให้เขาซึ่งใช้วิชาลับออกมา …รู้สึกเย็นวาบทันที!
“เจ้าเป็นใครกัน? รู้จักเคล็ดวิชาพิรุณวิญญาณได้อย่างไรกัน!?” หลีหวงตะโกนลั่นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“หากเจ้าใช้เคล็ดวิชาพิรุณวิญญาณเมื่อครั้งโบราณกาลอาจสามารถซ่อนเร้นจากสายตาเหล่าทวยเทพได้ แต่ไม่อาจเล็ดลอดสายตาข้าไปได้…” เฉินซีเอ่ยขึ้นช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงไร้ความเย่อหยิ่งใด ๆ แต่กลับเจือด้วยความเศร้าโศกเสียใจแทน “หากตอนนั้นข้ากำจัดเจ้าทิ้งไป ความวิบัติในวันนี้ก็คงไม่เกิด…”
หลีหวงตกตะลึงในทันใด เขาจ้องเขม็งไปยังชายหนุ่ม ทำท่าราวกับเห็นผีก็มิปาน “เป็นไปได้อย่างไรกัน? ทวยเทพโบราณเก่งกล้าสามารถขนาดนั้น แต่กลับจับทางข้าไม่ได้! แล้วเจ้าจะรู้ได้อย่างไร!? หรือว่าเจ้าเหนือกว่าเทพพวกนั้น? น่าขันสิ้นดี! หากเจ้าน่าเกรงขามเช่นนั้นจริง แล้วเหตุใดทวยเทพเมื่อครั้งก่อนกาลจึงถูกกองทัพพวกเรากำจัดเสียสิ้นเล่า?”
ตอนนี้หลีหวงราวกับถูกยั่วอารมณ์จนสิ้นสติไปแล้ว น้ำเสียงนั้นก้องกังวานไปทั่วฟ้าดิน สั่นสะเทือนเมฆาจนแทบทลายไปทั่วทุกแห่งหน
ทุกคนมองเหตุการณ์ด้วยความตกตะลึง ไม่อาจสงบใจได้เป็นเวลานาน บทสนทนาระหว่างจักรพรรดิภูตผีหลีหวงกับเฉินซียังกล่าวถึงทวยเทพ ซึ่งเป็นเนื้อหาเกินจินตนาการพวกเขาไปแล้ว!
“หรือว่า… หรือว่าเจ้าคือ…?” หลีหวงคล้ายกับนึกอะไรออก สีหน้าซีดลงทันใด ก่อนจะชี้นิ้วสั่น ๆ ไปทางเฉินซี จากนั้นก็เผยอริมฝีปากเอ่ยเสียงที่เต็มไปด้วยความกลัว “เจ้าคืออว…”
ตู้ม!
จังหวะนั้นเอง เฉินซีก้าวเท้าคราวเดียวก็เคลื่อนมาถึงหน้าหลีหวง จากนั้นก็ซัดหมัดออกไปและส่งวิชาอันลึกล้ำออกมาพร้อมกัน ทะลวงลำคอของหลีหวงก่อนที่อีกฝ่ายจะทันพูดจบประโยค
ชั่วพริบตาต่อมา เปลวไฟศักดิ์สิทธิ์สีขาวน้ำนมก็ไหลออกมาจากมือขวาของเฉินซีเข้าสู่ร่างหลีหวง เผาร่างอีกฝ่ายจนไม่เหลือสิ่งใด
“ไม่คิดเลยว่าความผิดพลาดเล็กน้อยเมื่อหลายปีก่อนจะทำให้เกิดความวิบัติในวันนี้ได้…” เฉินซีพึมพำพลางมองร่างที่กำลังถูกเพลิงไหม้ของหลีหวง น้ำเสียงเจือแววเหงาและเศร้าโศก
ทุกคนในเมืองนิ่งเงียบเมื่อได้เห็นฉากนี้ ไม่อาจหาคำมาอธิบายความรู้สึกในหัวใจได้
จักรพรรดิภูตผีหลีหวง เป็นตัวตนผู้น่าเกรงขามที่ครั้งหนึ่งเคยโรมรันกับเหล่าทวยเทพเมื่อครั้งโบราณกาล และรอดพ้นมาได้ยาวนานหลายปี ทว่าตอนนี้กลับต้องตายตกด้วยฝีมือของเฉินซี…
สิ่งนี้เป็นภาพที่ไม่น่าเชื่อสายตามากกว่าตำนานเรื่องศึกการต่อสู้ของเหล่าทวยเทพเสียอีก!
“ไปเสีย สมรภูมิบรรพกาลใกล้จะปิดแล้ว…” เฉินซีที่ลอยสูงอยู่บนฟ้ากวาดสายตามองผู้คน ก่อนจะหันไปมองเมืองอันโอ่อ่าที่เจริญรุ่งเรืองและร่วงหล่นเวียนซ้ำไปมาไม่สิ้นสุดในระยะไกล เขาเงียบไปนานก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ
ครืน!
ภาพต่อมายิ่งทำให้ตกใจก็คือเงาร่างลวงตาร่างหนึ่งที่ลอยออกจากร่างเฉินซี มันถือหม้อยาหยกเอาไว้ ก่อนจะหายวับไปที่ขอบฟ้า
นั่นมัน…
ทุกคนชะงักไป จากนั้นก็เหมือนเดาอะไรได้ เมื่อมองไปทางเฉินซีอีกครั้งหนึ่ง ก็พบว่าพลังบ่มเพาะของเขาลดลงอย่างมาก และไม่มีกลิ่นอายดุดันข่มขู่ที่เคยมีเมื่อก่อนหน้าอีก!
“อย่างที่ข้าเคยบอก มีหรือที่ขอบเขตจุติจะสามารถแข็งแกร่งเช่นนั้นได้? สรุปแล้วเขาถูกผู้สูงส่งสิงร่าง ถูกควบคุมจิตใจต่างหาก”
“ใช่แล้ว ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ ร่างเมื่อครู่คงจะเป็นผู้สูงส่งท่านนั้นกระมัง? เขาสังหารผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพไปสี่คนติดต่อกัน นับว่ามีฝีมือฉกาจยิ่ง!”
“น่าเสียดายที่ท่านผู้นั้นจากไปเสียแล้ว หากได้รับคำชี้แนะจากเขาสักนิด เราคงจะได้ประโยชน์ไปชั่วชีวิตทีเดียว”
ทุกคนเห็นสิ่งนี้แล้วก็พอเดากันออก ต่างพากันพูดคุยถกเถียงกันอย่างออกรส
ความสุขจากการได้รับชีวิตใหม่เมื่อพ้นสถานการณ์สิ้นหวังทำให้พวกเขาลืมทุกสิ่งอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังสังเกตเห็นว่ากองทัพมรณะที่ล้อมรอบเมืองต่างพากันล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว
ซึ่งก็ไม่มีใครคิดขัดขวาง เพราะจักรพรรดิภูตผีหลีหวงสิ้นใจแล้ว กองทัพมรณะเหล่านี้จึงไม่อาจทำอะไรได้อีก
อีกทั้งพวกเขายังต่อสู้มายาวนาน ก่อนหน้านี้ยังเผชิญกับเรื่องราวอันน่าผวาและน่าตกใจ ทำให้ทั้งร่างกายและจิตใจเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ไม่มีกะใจจะมาทำลายกองทัพมรณะแล้ว
ฟิ้ว!
เป็นตอนนั้นเองที่ทุกคนเห็นว่าร่างที่ลอยสูงอยู่บนฟ้าของเฉินซีพลันกระตุก ก่อนจะทิ้งตัวลงมาบนพื้น
แต่ก่อนทุกคนจะทันเข้าไปช่วย ก็มีร่างหนึ่งพุ่งเข้าไปปรากฏอยู่ต่อหน้าเฉินซีและรับร่างนั้นพาดไหล่ไว้ คนผู้นั้นมีเคราแพะ เหม็นกลิ่นเหล้า ดูสกปรกและซอมซ่อ …คือวิปลาสหลิ่วนั่นเอง
เขาเพียงแต่หมดสติไปจากความเหนื่อยล้าเท่านั้น โชคดีที่ยังไม่ตาย วิปลาสหลิ่วตรวจดูสภาพของชายหนุ่มอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเพียงหมดสติไปเท่านั้น
เมื่อเห็นวิปลาสหลิ่วเข้าไปช่วยเฉินซี ใจที่บีบรัดแน่นของชิงซิ่วอี้และศิษย์ราชวงศ์ซ่งคนอื่น ๆ ก็พลันคลายตัว จากนั้นก็รีบพุ่งเข้าไปตาม ๆ กัน
พวกเขาติดตามชายชราส่งเฉินซีกลับที่พักในอาณาเขตทางตะวันออกเฉียงเหนือ
ภัยพิบัติถูกกำจัดไปแล้ว บททดสอบสุดท้ายของสมรภูมิบรรพกาลเองก็จบลงไปนานแล้วเช่นกัน ตอนนี้พวกเขาต้องกลับบ้านและรอฟังข่าวคราวจากคณะทูตเท่านั้น
แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่า ปิงซื่อเทียนซึ่งร่างเปรอะเลือด กำลังจ้องไปยังร่างผอมที่เคลื่อนไปอยู่ข้างกายเฉินซีจากบนฟ้าสูง สายตาเจือแววขุ่นเคือง ไม่พอใจ เกลียดชัง และความแค้นใจอยู่ด้วย
สำหรับคนอื่น สิ่งที่พวกเขาเผชิญในวันนี้ก็ไม่ต่างจากการได้ชีวิตใหม่หลังผ่านภัยพิบัติ แม้ว่าร่างกายและจิตใจจะเหนื่อยล้า แต่ก็ไม่อาจปิดบังความปีติยินดีเอาไว้ได้
แต่สำหรับปิงซื่อเทียน เรื่องทั้งหมดมันเลวร้ายมาก อารมณ์ไม่ดีจนถึงขีดสุดทีเดียว
“ศิษย์พี่ปิง บาดแผลของท่านค่อนข้างสาหัส ท่านควรกลับไปพักฟื้นโดยเร็วที่สุด” ตอนนี้อวิ๋นหลานเซิงเคลื่อนกายมายังด้านข้างของเซียนสวรรค์หนุ่ม พลางเอ่ยคำ
ปิงซื่อเทียนจึงหลุดจากภวังค์ความคิดซับซ้อน ได้ความสงบกลับคืน ก่อนจะลุกขึ้นยืนมองไปยังทิศทางไกล แล้วเอ่ยพึมพำขึ้นว่า “เอาเถอะ หนทางยังอีกยาวไกล เราค่อย ๆ ก้าวไปก็แล้วกัน ไม่มีใครรู้หรอกว่าสุดท้ายใครจะเป็นฝ่ายชนะกันแน่…?”