บทที่ 538 หลังสงครามสิ้นสุด
บทที่ 538 หลังสงครามสิ้นสุด
การต่อสู้ปิดฉากลงพร้อมกับการตายของจักรพรรดิภูตผีหลีหวงและผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งสามคนที่มาถึงสมรภูมิบรรพกาล
ผู้เยี่ยมยุทธ์จากราชวงศ์ต่าง ๆ รวมไปถึงทูตแห่งแดนภวังค์ทมิฬได้กลับมายังที่พักของตนเพื่อพักฟื้นและพักผ่อนอยู่นาน ทำให้เมืองบรรพกาลอันกว้างใหญ่เงียบสงัด มีเพียงเสียงลมหวีดหวิวเย็นยะเยือกเท่านั้น
ทุกอย่างกลับสู่ความสงบอีกครั้ง
เมืองบรรพกาล ณ อาณาเขตทางตะวันออกเฉียงเหนือ
ยามพลบค่ำวันที่สอง เฉินซีตื่นขึ้นมาในห้องกว้าง
เขาลุกขึ้นจากเตียงพลางยกแขนขึ้น ทว่ารู้สึกอ่อนแรงเล็กน้อย เห็นได้ว่าเขาใช้พละกำลังมากเกินไป โชคดีที่สภาพร่างกายแข็งแรงเพียงพอ ดังนั้นจึงไม่มีสัญญาณว่าพลังชีวิตจะเหือดแห้งหรือแก่นสารจะถูกทำลาย มิฉะนั้น การฟื้นฟูร่างกายจนแข็งแรงสมบูรณ์เหมือนเดิมคงไม่ใช่เรื่องง่าย
หลังจากนั้น เฉินซีก็ดูจะคิดอะไรบางอย่างได้ในทันใด เขายกมือขึ้นแตะหน้าอกของตัวเองพลางถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อสังเกตเห็นว่าหม้อใบจิ๋วยังอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น เหตุการณ์มากมายที่เพิ่งเกิดขึ้นได้หลั่งไหลเข้ามาในความคิดของเขา
ในวันนั้น หม้อใบจิ๋วได้ฉายแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา มันพาเขาขึ้นไปบนเวหาเพื่อต่อกรกับจักรพรรดิภูตผีหลีหวงและพรรคพวก ในเวลานั้น สติของเขายังคงอยู่ มีเพียงร่างกายของเขาเท่านั้นที่ถูกมันควบคุม
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เขาเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนั้น พลังและวิชาอันทรงพลังที่หม้อใบนั้นแสดงออกมาทั้งหมดทำให้เขาตื่นเต้นจนแทบจะทำอะไรไม่ถูก
ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงที่สุดก็คือภูมิหลังของมัน เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าสมบัติที่ได้มาโดยไม่ได้ตั้งใจจะมีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ หม้อใบจิ๋วไม่เพียงได้เห็นการเดินทางของเหล่าทวยเทพมาก่อน แม้แต่สมรภูมิบรรพกาลก็สร้างขึ้นโดยมันผู้เดียว หม้อใบจิ๋วนั้นเหมือนกับเทพเจ้าผู้น่าเหลือเชื่อยิ่งนัก!
“ขอบคุณนะ…” ฝ่ามือของชายหนุ่มลูบหม้อใบนั้นเบา ๆ ขณะที่พึมพำด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ทว่าไม่ได้รับคำตอบใด ๆ จากหม้อใบจิ๋ว มันตกอยู่ในความเงียบงันเหมือนกับคราที่เขาได้รับสมบัติครั้งแรก
เฉินซีทราบว่าหม้อใบจิ๋วไม่ได้ทอดทิ้งเขาเพราะสัมผัสได้ว่าจิตสำนึกของมันยังคงอยู่ ส่วนเงาที่ทุกคนเห็นในวันนั้น มันเป็นเพียงสิ่งที่หม้อใบจิ๋วตั้งใจทำเพราะกังวลว่ามันจะนำภัยพิบัติมาสู่เขา
เพราะอย่างไรแล้ว ทุกคนก็ได้เห็นหม้อหยกใบนี้เมื่อกำลังต่อสู้กับหลีหวงและพรรคพวกและสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของมัน ดังนั้นมันคงจะกลายเป็นจุดดึงดูดความโลภมาอย่างแน่นอน หากยังอยู่กับเฉินซีต่อไป
ความมั่งคั่งของคนผู้หนึ่งพังพินาศลงด้วยความโลภของผู้อื่น
หากข่าวลือเกี่ยวกับสมบัติทรงอำนาจกับการดำรงอยู่อันน่าเกรงขามที่สร้างทั้งสมรภูมิบรรพกาลด้วยตัวเองถูกเผยแพร่ออกไป มันอาจพาผู้ยิ่งใหญ่ทั่วทั้งภพที่สามออกมาเพื่อแย่งชิงมันจากเขาก็เป็นได้!
ดังนั้นหม้อใบจิ๋วจึงได้คิดอย่างถี่ถ้วนก่อนจะทำสิ่งนี้ มันได้แก้ไขปัญหามากมายให้กับเฉินซีได้อย่างเหลือเชื่อ
สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของหม้อใบจิ๋วอย่างยิ่ง แม้ว่ามันจะช่วยเหลือเขาโดยอาศัยกฎสมดุลแห่งแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกันเสมอ ทว่าความช่วยเหลือนี้ย่อมเป็นสิ่งที่คนอื่นไม่ชื่นชอบอย่างแน่นอน ดังนั้นเฉินซีจะไม่เข้าใจได้อย่างไร
เฉินซีผลักประตูห้องและมาถึงลานกว้าง
ลานกว้างนั้นรกไปด้วยวัชพืชเช่นเดิม ขณะที่ดอกไม้ป่าผลิบานอยู่ตลอดทางภายใต้ลมหนาวที่พัดผ่าน
ก๊อก! ก๊อก!
หลังจากยืนอยู่ในลานกว้างได้ครู่หนึ่ง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นจากด้านนอก
เฉินซีถอนสายตาพลางเอ่ยขึ้นว่า “เข้ามาสิ”
ไม่นานนัก คนกลุ่มหนึ่งก็ผลักประตูเข้ามา เป็นเจิ้นหลิวชิง ฟ่านอวิ๋นหลานและพวกพ้อง
“เฉินซี เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?” เจิ้นหลิวชิงยิ้มพลางเฝ้าดูชายหนุ่มอย่างระมัดระวัง ความสุขเล็กน้อยฉายวาบขึ้นบนใบหน้าของนาง เมื่อเห็นว่าเขาสบายดี
เฉินซียิ้มบาง จากนั้นสายตาของเขาก็กวาดมองผ่านทุกคนก่อนที่จะเอ่ยว่า “ข้าสบายดี”
ไม่มีผู้ใดในราชวงศ์ซ่งสูญเสียในศึกครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการปรากฏตัวของอวิ๋นหลานเซิง แต่ที่สำคัญที่สุดเป็นเพราะได้รับความช่วยเหลือจากวิปลาสหลิ่ว
อาจเป็นเพราะความกังวล วิปลาสหลิ่วจึงเฝ้าดูแลพวกเขาทั้งหมดเป็นพิเศษในระหว่างการต่อสู้กับกองทัพมรณะ และด้วยการปกป้องจากผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีที่น่าเกรงขามเช่นเขา จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีผู้ล้มตายในหมู่พวกเขา
ทว่าชะตากรรมของบรรดาศิษย์จากต่างราชวงศ์นั้นช่างน่าสลดใจยิ่งนัก
หลังจากการต่อสู้ยุติลงเมื่อวานนี้ มีคนได้นับจำนวนคนของพวกเขาและพบว่ามีคนเพียงร้อยกว่าคนจากราชวงศ์ต่าง ๆ ที่รอดชีวิต และมีจำนวนผู้เสียชีวิตถึงร้อยละเจ็ดสิบของจำนวนคนทั้งหมด!
แม้แต่สามราชวงศ์ชั้นนำและตระกูลอันทรงเกียรติก็ยังสูญเสียคนไปจำนวนมาก ขณะที่ไม่มีผู้ใดในราชวงศ์ซ่งล้มตาย ซึ่งเป็นเรื่องพิเศษที่ไม่มีที่ใดอื่น
“เป็นเรื่องดีที่เจ้าสบายดี ฮิฮิ ครั้งนี้พวกเราทุกคนสามารถเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬได้อย่างราบรื่นแล้ว เมื่อพูดแล้ว ทั้งหมดนี้ก็ต้องขอบคุณที่เจ้าเข้ามาช่วยเหลือ หากไม่ใช่เพราะเมื่อวานนี้เจ้าได้กวาดล้างผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพจนเรียบ พวกเราทุกคนคงจบสิ้นไปแล้ว” นายน้อยโจวกล่าวอย่างตื่นเต้นจากด้านข้าง
คนอื่นพยักหน้าพร้อมกับแย้มยิ้มเช่นกัน เหตุการณ์เมื่อวานนี้แค่นึกถึงก็รู้สึกสยดสยองจนร่างกายแทบจะแข็งทื่อ อาจกล่าวได้ว่าการปรากฏตัวของเฉินซีได้ช่วยชีวิตพวกเขาทั้งหมด ทำให้รู้สึกปลื้มปีติอย่างมาก
อันที่จริง บรรดาผู้เยี่ยมยุทธ์ของราชวงศ์ต่าง ๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ เหล่าทูตแห่งแดนภวังค์ทมิฬ และแม้แต่เซียนสวรรค์ปิงซื่อเทียนก็ยังต้องขอบคุณชายหนุ่มที่ช่วยเหลือพวกเขาในครั้งนี้
เพราะหากเขาไม่มาช่วยในวินาทีสุดท้าย ทั้งเมืองและชีวิตของทุกคนคงจะถูกบดขยี้ด้วยน้ำมือของผู้เยี่ยมยุทธ์คนเหล่านั้นไปนานแล้ว
แน่นอนว่า พวกเขายังทราบเช่นกันว่าไม่ใช่ตัวเฉินซีเองที่ช่วยพวกเขาเมื่อวานนี้ แต่เป็นบุคคลลึกลับที่น่าเกรงขามจนทำให้หัวใจของทุกคนเต้นแรง แต่มันจะไปแตกต่างอะไรกัน?
พลังของเฉินซีซึ่งได้รับเลือกจากผู้ยิ่งใหญ่นั้นถือเป็นโชคที่ดีมากแล้ว ไม่มีใครอื่นที่จะได้รับเลือกแม้ว่าจะต้องการมากเพียงใดก็ตาม บัดนี้ บุคคลผู้ยิ่งใหญ่และลึกลับได้จากไปแล้ว ความปลื้มปีติที่ผู้คนมีให้จึงตกเป็นของเฉินซี
ทุกคนดื่มชาพลางสนทนาเรื่องทั่วไปกับเฉินซีและอยู่สักพักหนึ่งก่อนจะอำลาจากไป
สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกผิดก็คือการที่ชิงซิ่วอี้ยืนอยู่คนเดียวท่ามกลางพวกพ้องและเงียบตั้งแต่ต้นจนจบ นางไม่ได้พูดอะไรกับเขาสักคำ ทว่าเฉินซีก็เข้าใจทันที เพียงแค่ชิงซิ่วอี้มาหาก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีแล้ว แล้วเหตุใดต้องขออะไรมากมาย?
ไม่ต้องพูดถึงนิสัยโลกส่วนตัวสูง เพราะนางคงจะไม่มีทางแสดงความห่วงใยเขาต่อหน้าคนอื่นเป็นแน่ เพราะนั่นไม่สอดคล้องกับนิสัยของนาง
ยิ่งไปกว่านั้น การพูดคุยกับทุกคนทำให้เฉินซีค้นพบว่าจะมีประกาศจากเหล่าทูตในแดนภวังค์ทมิฬในรุ่งเช้าของวันพรุ่งนี้ ก่อนจะเปิดทางเดินมิติและนำพวกเขาทั้งหนึ่งร้อยคนไปยังแดนภวังค์ทมิฬ!
เมื่อชิงซิ่วอี้ เจิ้นหลิวชิงและคนอื่น ๆ จากไป ซูชิงเยียนแห่งราชวงศ์ต้าฮั่น เซวียหรานเฉินจากตระกูลเซวีย และหลิงเจ๋อแห่งราชวงศ์ต้าถังก็มาถึง
ในมุมหนึ่ง พวกเขามาที่นี่เพื่อแสดงความขอบคุณต่อเฉินซี อีกมุมหนึ่ง… พวกเขามาเพื่อสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับชายหนุ่ม เพราะอย่างไรแล้ว พลังที่เฉินซีแสดงออกมาเมื่อวานนี้ช่างน่าตกตะลึงยิ่งนัก บุคคลเยี่ยงนี้ควรจะผูกมิตรไมตรีด้วยให้เร็วที่สุดเพราะหากรอให้เป็นใหญ่เป็นโตก่อนแล้วค่อยมาผูกมิตรก็คงจะสายเกินไป
เนื่องจากแต่ละฝ่ายไม่มีเจตนาจะเป็นศัตรูกับเฉินซี เขาจึงยินดีต่อการมาเยือนของพวกเขาอย่างยิ่ง เพราะการมีสหายเพิ่มขึ้นสองสามคนย่อมดีกว่าการมีศัตรูเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ไม่ต้องพูดถึงว่าบรรดาศิษย์ของราชวงศ์ชั้นนำและตระกูลอันทรงเกียรติเหล่านี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกองกำลังต่าง ๆ ในแดนภวังค์ทมิฬ ดังนั้นการผูกมิตรกับพวกเขาอาจถือว่าเป็นประโยชน์สูงสุด
ผ่านไปไม่นาน ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งมาเยี่ยมเยือนเฉินซี พวกเขาเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ของราชวงศ์อื่นที่เขาซีเคยไม่รู้จัก พวกเขามีความคิดเช่นเดียวกับซูชิงเยียนและคนอื่น ๆ ดังนั้นชายหนุ่มจึงปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความสุภาพเช่นเดียวกัน
กล่าวโดยสรุปคือ ทางเข้าที่พักของเฉินซีนั้นเต็มไปด้วยผู้คนหนาแน่นเหมือนตลาดนัด เขาต้อนรับและส่งแขกอย่างต่อเนื่อง เป็นช่วงเวลาที่ครึกครื้นยิ่งนัก
ส่วนกองกำลังที่เป็นปฏิปักษ์กับราชวงศ์ซ่งนั้น ไม่มีใครเข้ามาเยือนแม้แต่คนเดียว เช่น ตระกูลเฟิงกับตระกูลซางที่กำลังเงียบกริบในขณะนี้
ทว่าเฉินซีก็ไม่ได้ถือสาอะไรตราบใดที่พวกเขาไม่ก่อปัญหา อีกอย่างเขาไม่เต็มใจที่จะพบศัตรูที่จะมาเยือนเพื่อแสดงความปรารถนาดีต่อเขาและยุติความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างกันอย่างยิ่ง
เมื่อพูดถึงความเป็นปฏิปักษ์ หากมันเกิดขึ้นแล้ว ใช้แค่เพียงสองสามคำก็ไม่อาจแก้ไขปัญหาได้
อย่างเช่นซางเชวี่ยจากตระกูลซางและเฟิงเจี้ยนไป๋จากตระกูลเฟิง พวกเขาได้ถูกบรรจุลงในบัญชีแค้นของเฉินซีแล้ว หากมีโอกาสละก็ เขาคงจะกำจัดอีกฝ่ายให้สิ้นซากเพื่อยุติปัญหาในวันข้างหน้า
เมื่อถึงยามดึก ในที่สุดเฉินซีก็ได้ส่งแขกคนสุดท้ายของเขาออกไปพลางถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ชายหนุ่มกำลังจะได้พักผ่อน… ทว่าในตอนนั้นเอง วิปลาสหลิ่วก็มาถึง ท่าทางของเขาค่อนข้างเคร่งขรึม ทันทีที่เห็นเฉินซี เขาก็กล่าวออกมา “เจ้าหนู สถานการณ์ของศิษย์แห่งราชวงศ์ซ่งของเจ้านั้นดูไม่ดีนัก”
ความกังวลมาเยือนเฉินซี จากนั้นเขาก็กล่าวพลางขมวดคิ้วว่า “ผู้อาวุโส ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
“ปิงซื่อเทียนเรียกทูตทั้งหมดในแดนภวังค์ทมิฬมาก่อนหน้านี้และมีการพูดคุยกันอย่างลับ ๆ เป็นเวลานาน แม้ว่าข้าจะไม่สามารถเข้าร่วมได้ ทว่ายังเดาได้พอสังเขปว่าพวกเขาทั้งหมดกำลังหมายหัวเจ้าอยู่” วิปลาสหลิ่วกรอกสุราลงคอจนเอ่อ แล้วเม้มริมฝีปากไม่ให้มันไหลออกมา พลางถอนหายใจ “เจ้าก็รู้ดีว่าบททดสอบสุดท้ายของสมรภูมิบรรพกาลนั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว และในวันพรุ่งนี้พวกเจ้าทุกคนจะสามารถเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬได้อย่างราบรื่น แต่ข้ากังวลว่าปิงซื่อเทียนจะเล่นตุกติกในวันพรุ่งนี้และทำให้สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยกับพวกเจ้า”
“ข้าเพิ่งช่วยชีวิตเขาเมื่อวานนี้ แม้ว่าเขาจะไม่ชอบหน้าข้า แต่ก็ไม่ควรจะทำอะไรเกินเลยใช่หรือไม่?” เฉินซีขมวดคิ้วหนาเมื่อปิงซื่อเทียนถูกกล่าวถึง
“เขาคงไม่คิดแบบนั้น!” วิปลาสหลิ่วกล่าวด้วยความเหยียดหยัน “เซียนสวรรค์ที่เกือบจะถูกผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพสังหาร นั่นก็น่าอับอายมากพอแล้ว เขายังต้องให้คนอย่างเจ้ามาช่วยอีก คิดว่าเขาจะปลื้มหรือไม่?”
“ไม่!” ก่อนที่เฉินซีจะตอบ วิปลาสหลิ่วเขาก็พูดตรง ๆ ว่า “ปิงซื่อเทียนคงจะคิดแค่ว่าเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่และลึกลับที่เข้ามาควบคุมร่างกายของเจ้าเท่านั้น… ที่ช่วยเขาเอาไว้ ไม่ใช่เจ้า! และแน่นอนว่าเขาคงจะไม่ทำให้สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยต่อพวกเจ้าอย่างเปิดเผยอย่างแน่นอน เพราะนั่นคงจะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของเขา”
“หรือบอกได้ว่า เขาจะลอบใช้กลอุบายบางอย่าง และทำให้พวกเราทุกคนไม่สามารถเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬได้โดยง่าย?” เฉินซีขมวดคิ้ว เพราะการถูกเซียนสวรรค์วางอุบายทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจอย่างมาก
“ถูกต้อง ข้ากำลังห่วงเรื่องนี้อยู่พอดี” วิปลาสหลิ่วผงกศีรษะ แม้แต่เขาเองก็ยังรู้สึกลำบากใจเมื่อเผชิญกับกลอุบายของเซียนสวรรค์หนุ่ม
เฉินซีขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดเขาก็ส่ายศีรษะ “ไม่เป็นไรขอรับ ปล่อยให้ข้าดูว่ากลอุบายที่ปิงซื่อเทียนนำออกมาใช้ในวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร และถ้าหากมันเกินไปละก็…”
วิปลาสหลิ่วอดไม่ได้ที่จะถาม “เจ้าจะทำอะไร?”
“ข้าจะเอาให้ตาย” เฉินซียักไหล่พลางเหยียดมือออกไป แม้ว่าจะกล่าวด้วยท่าทางเช่นนี้ ความอำมหิตก็ยังคงฉายให้เห็นผ่านดวงตาของเขา ดูเหมือนว่าจะได้ตัดสินใจครั้งสำคัญบางอย่างแล้ว