บทที่ 542 การลงทัณฑ์ของเซียนสวรรค์
บทที่ 542 การลงทัณฑ์ของเซียนสวรรค์
เซียนสวรรค์!
พวกเขาท่องทะยานไปทั่วจักรวาล เคลื่อนไหวอย่างอิสระอยู่เหนือสวรรค์ทั้งเก้า และมีชีวิตชั่วนิรันดร์ คงอยู่ตลอดทุกยุคทุกสมัย
เซียนสวรรค์!
พวกเขาล้วนเฝ้ามองดูโลกแต่ละใบจากเบื้องบน และควบคุมเคล็ดวิชาที่ลึกลับนับไม่ถ้วนเอาไว้ แล้วพวกเขาจะกลัวข่าวลือและคำนินทาของภพมนุษย์ได้อย่างไร?
การลงมืออย่างกะทันหันของปิงซื่อเทียนในครั้งนี้อาจกล่าวได้ว่าแสดงให้เห็นถึงความหยิ่งยโสของเซียนสวรรค์ได้อย่างดี
ทุกคนตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยอมรับความจริงนี้ได้โดยปริยาย ส่วนเหตุผลนั้นง่ายดายมาก เพราะนี่คือการกระทำของเซียนสวรรค์ ในโลกนี้ เซียนสวรรค์คือทุกสิ่งและเป็นตัวแทนของเจตจำนงสูงสุดที่มิอาจลบหลู่ได้!
แต่ในมุมมองของเฉินซี ปิงซื่อเทียนไม่คู่ควรกับคำว่า ‘เซียนสวรรค์’ เลยแม้เพียงน้อย คนผู้นี้วางอำนาจเหนือทุกสิ่งและเหยียบย่ำทุกสิ่งอย่างไร้เหตุผล ตัวตนเช่นนี้แทนที่จะเรียกว่าเซียน ให้เรียกว่ามารชั่วร้ายดูจะเหมาะเสียกว่า!
การที่ชิงซิ่วอี้ถูกบังคับพาตัวไปในตอนนี้ ทำให้เขาเกลียดชังอีกฝ่ายเข้ากระดูกแล้ว
“ทีนี้ เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?” ปิงซื่อเทียนเอามือไพล่หลังในขณะที่มองไปทางศัตรู ก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยและท่าทีไม่แยแส
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพูดกับเฉินซี น้ำเสียงที่สงบของเขามีทั้งความก้าวร้าวและกดข่ม ทั้งยังมีความดูถูกเหยียดหยามประหนึ่งแมวที่กำลังเล่นกับหนู
“ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเซียนสวรรค์จะไร้ยางอายเช่นนี้ หากรู้ ข้าคงจะยืนมองดูเจ้าตกตายด้วยน้ำมือของผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพทั้งสี่คนนั้นไปแล้ว” เฉินซีพูดอย่างเย็นชา
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น หัวใจของทุกคนก็เต้นระรัว เพราะสิ่งที่เฉินซีกล่าวมานั้นนับเป็นการเยาะเย้ยปิงซื่อเทียนซึ่ง ๆ หน้าว่า เขาไม่เพียงไม่สำนึกบุญคุณ แต่กลับสร้างปัญหาและข่มเหงผู้มีพระคุณอีก
นี่… ถือเป็นการหมิ่นศักดิ์ศรีของปิงซื่อเทียนยิ่งนัก!
“เกรงว่าอีกเดี๋ยวเด็กคนนี้คงจะต้องทนทุกข์ทรมานแล้ว…” ทันใดนั้น ความคิดเดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นในใจของทุกคนอย่างพร้อมเพรียง
“เจ้าช่างโอ้อวดได้ไร้ความละอายจริง ๆ ข้าสงสัยนักว่าซิ่วอี้หลงใหลในตัวเจ้าไปได้อย่างไรกัน” โดยไม่คาดคิด เซียนสวรรค์หนุ่มไม่ได้โกรธเคืองหรือลงมือฆ่าใครเลยสักคน
รอยยิ้มเหยียดหยามปรากฏขึ้นที่มุมปาก ขณะที่เขาส่ายหน้าและพูดว่า “ด้วยกำลังอันน้อยนิดของเจ้า จะทำอะไรได้ด้วยอย่างนั้นหรือ? หากมีความสามารถจริง ๆ เกรงว่าเจ้าคงจะไม่เฝ้าดูข้าพาตัวซิ่วอี้ไปเฉย ๆ อย่างไร้ประโยชน์หรอกจริงหรือไม่?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หัวใจของเฉินซีก็ดิ่งวูบลงไปชั่วขณะ ดูเหมือนชายผู้นี้จะเดาได้แล้วว่า หม้อใบจิ๋วไม่อาจแสดงพลังเหนือธรรมชาติดังเช่นเมื่อวานได้ ดังนั้นเขาจึงกล้าไร้ยางอายเช่นนี้?
“ในเมื่อเจ้าไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ต่อไปข้าจะชำระหนี้กับเจ้า!” การแสดงออกของปิงซื่อเทียนกลับสู่ท่าทีไม่แยแส ในขณะที่จ้องมองเฉินซีอย่างเย็นชาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหารของเขา “ในฐานะผู้บ่มเพาะ เจ้าที่กล้าดูถูกเกียรติของข้าเช่นนี้ สมควรโดนลงโทษอย่างไรดี!?”
ครืนนน!
พร้อมกับจิตสังหารที่พวยพุ่งออกมา โลกทั้งใบก็มืดลงทันที กลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งปกคลุมไปทั่วทุกทิศทาง กระแสลมบนท้องฟ้าหมุนวน ความว่างเปล่าส่งเสียงครวญครางประหลาดที่ดูน่ากลัวยิ่ง ทำให้หัวใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นสั่นระริก
และเฉินซีเป็นคนแรกที่ต้องแบกรับความรุนแรงของมัน เขารู้สึกเพียงว่าหัวของเขากำลังส่งเสียงอื้ออึง ร่างกายราวกับถูกกดทับไว้ในเหวอันไร้ก้นบึ้ง จนหายใจลำบากอย่างมาก และไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไร เขาก็ไม่สามารถหลบหนีจากการถูกจิตสังหารนี้กักขังเอาไว้ได้เลย
เรื่องนี้ไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้เลย ช่องว่างระหว่างเขากับอีกฝ่ายนั้นมีมากเกินไป แม้จะเป็นเพียงจิตสังหาร แต่คนหนึ่งเป็นเพียงผู้บ่มเพาะ ในขณะที่อีกคนเป็นถึงเซียนสวรรค์ พวกเขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันแต่แรกแล้ว ดังนั้นเขาจะหลบหนีพ้นได้อย่างไร?
ใบหน้าของเฉินซีในยามนี้บิดเบี้ยวมาก ดวงตาของเขาแดงก่ำ คุกรุ่นด้วยความโกรธ เขาดูเหมือนสัตว์ร้ายที่ถูกขังอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังและเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ
“เฉินซี!” เจิ้นหลิวชิงและคนอื่น ๆ หวาดกลัวอย่างมาก แต่พวกเขาทั้งหมดก็ยังคงก้าวไปข้างหน้าพร้อมกันด้วยความตั้งใจที่จะช่วยเหลือ
ทว่าก่อนที่พวกเขาจะเข้าใกล้ ปิงซื่อเทียนก็ยกมือขึ้นและและใช้ทักษะเซียนกักขังพวกเขาเอาไว้ ทำให้ไม่มีใครไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป
คนส่วนใหญ่ล้วนแสดงออกว่าไม่สามารถทนดูเรื่องนี้ได้ แต่พวกเขาก็ไม่มีอำนาจหยุดมัน ในเมื่อนี่คือบทลงโทษของเซียนสวรรค์ แล้วใครจะกล้าขัดขวางกัน?
‘เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงอาจหาญยั่วยุผู้เป็นเซียนสวรรค์? เจ้าช่างไม่คิดถึงผลลัพธ์เอาเสียเลย!’ เฟิงเจี้ยนไป๋เย้ยหยันในใจ
‘ช่างน่าพอใจเสียจริง! เพื่อยุติปัญหาทั้งหมดในอนาคต มันคงเป็นการดีที่สุดหากเด็กคนนี้จะถูกฆ่าทิ้งเสีย!’ ในอีกด้านหนึ่ง ซางเชวี่ยเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน เขาลอบหัวเราะอย่างโหดเหี้ยมในใจ
“ศิษย์พี่ปิง เขาก็เป็นเพียงแค่เด็กน้อย ด้วยสถานะของท่านไยจึงต้องลดตัวไปยุ่งกับเขาด้วย? เห็นแแก่ศิษย์น้องของท่านไว้ชีวิตเขาสักครั้งเถิด” อวิ๋นหลานเซิงที่อยู่ข้าง ๆ ก็พูดเกลี้ยกล่อมเบา ๆ
ปิงซื่อเทียนขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินที่อีกฝ่ายกล่าว “ศิษย์น้องอวิ๋น เด็กคนนี้ยั่วโมโหข้าต่อหน้าทุกคน เขาไม่สมควรถูกลงโทษหรือ?”
“ศิษย์พี่ปิง…” อวิ๋นหลานเซิงรีบพูดอย่างร้อนใจ
“ลืมมันไปเถิด” ปิงซื่อเทียนโบกมือเพื่อขัดจังหวะอวิ๋นหลานเซิง “ศิษย์น้องอวิ๋น เพราะเห็นแก่เจ้า วันนี้ข้าจะไม่ฆ่าเขา”
“ขอบคุณศิษย์พี่ปิง” อวิ๋นหลานเซิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขารู้ดีว่าชิงซิ่วอี้ห่วงใยเฉินซีมากแค่ไหน หากเด็กคนนี้ตายไป เขาก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าจะไปอธิบายเรื่องนี้กับนางอย่างไร
เฉินซีหยุดดิ้นรนและยืนอยู่ ณ จุดนั้น เขาจ้องมองไปที่ปิงซื่อเทียนอย่างแน่วแน่ สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้เฉือนหัวใจของเขาราวกับใบมีด ทำให้เขาโกรธมากจนถึงขีดสุดแล้ว
“แม้ว่าจะหลีกเลี่ยงความตายได้ แต่ก็ไม่อาจสุขสบายได้ ในเมื่อกล้ายั่วยุข้า อย่างน้อยเขาก็จะต้องได้รับโทษ”
ร่องรอยความเย็นชาปรากฏขึ้นที่มุมปากของปิงซื่อเทียนขณะที่เขาก้าวไปข้างหน้าและตะโกน “คุกเข่าและหมอบกราบข้า แล้วขอขมาในความผิดของเจ้าซะ มิฉะนั้นจะไม่มีใครในโลกนี้ช่วยเจ้าได้!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ การแสดงออกของอวิ๋นหลานเซิงก็เปลี่ยนไป คุกเข่าขอขมา? นี่มันเลวร้ายยิ่งกว่าการฆ่าเฉินซีทิ้งไปเลยเสียอีก
เฉินซีกำหมัดแน่นจนเกิดเสียงกระดูกเสียดสีกัน ใบหน้าของเขานิ่งเรียบไร้อารมณ์ แต่เปลวไฟแห่งความโกรธในใจของเขากำลังเดือดพล่านราวกับหินหลอมเหลว ชายหนุ่มจ้องมองใบหน้าที่หล่อเหลาของอีกฝ่าย ขณะที่เขากล่าวเย้ยหยัน “อย่าทำให้ข้าต้องดูถูกเจ้า หากเจ้าเก่งกล้าจริง ก็ลงมือฆ่าข้าเสีย!”
“หาที่ตาย?” ดวงตาของปิงซื่อเทียนทอประกายเย็นชา ในฐานะเซียนสวรรค์ ในโลกนี้มีใครบ้างที่จะกล้ายั่วยุเขา? แต่ตอนนี้กลับมีมดจากโลกเล็ก ๆ ใบหนึ่งทำให้เขาขุ่นเคืองใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า และนี่ทำให้เขารู้สึกโกรธอย่างมาก
“ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง จะทำตามที่ข้าบอกหรือไม่!?” การแสดงออกของปิงซื่อเทียนเย็นชาขึ้นอีกและเผยให้เห็นจิตสังหารที่ล้นปรี่ ในขณะที่กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวของเซียนสวรรค์ระเบิดออกมา และกดทับบนร่างของเฉินซีอย่างรุนแรงราวกับภูเขาลูกใหญ่
แกรก!
ภายใต้แรงกดดันของกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวซึ่งไม่ใช่ของโลกมนุษย์นี้ ทำให้เข่าของเฉินซีพับงออย่างกะทันหัน เขาพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อต้านทานแรงกดดันนี้ กระดูกทั่วทั้งร่างกายของเขาส่งเสียงแตกร้าวไม่หยุด เนื่องจากไม่สามารถแบกรับแรงกดดันนี้ไหว
“อืม อย่างน้อยยังมีความกล้าอยู่บ้าง” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่สามารถคุกเข่าลงภายใต้แรงกดดันอันหนักหน่วงของเขา ดวงตาของปิงซื่อเทียนพลันเป็นประกายในขณะที่เขาเย้ยหยัน ก่อนจะอีกครั้งระเบิดแรงกดดันออกมาใส่เฉินซีอีกครั้ง
ครืนนน!
พื้นดินที่เฉินซียืนอยู่แตกเป็นเสี่ยง ๆ และพังทลายลง พวกมันถูกบดขยี้และระเบิดออก
ปราณแท้ในร่างกายของชายหนุ่มหมุนเวียนอย่างบ้าคลั่ง ในเวลาเดียวกัน ปราณจ้าววิญญาณเองก็พลุ่งพล่าน เขาต่อต้านแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวนี้จนเกือบลืมหายใจ ตอนนี้ชายหนุ่มเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าช่องว่างระหว่างขอบเขตจุติกับขอบเขตเซียนสวรรค์นั้นใหญ่เพียงใด
แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวที่ดูจะมีอยู่ทุกหนทุกแห่งตั้งใจจะกดทับเขาให้ลงไปคุกเข่ากับพื้นตลอดเวลา ในขณะที่เฉินซีกำลังเผยความสามารถและไพ่ตายของตนเองอย่างสุดกำลัง
อย่างไรก็ตาม ผลที่ตามมาทำให้ชายหนุ่มรู้สึกหนักใจ แม้ว่าจะใช้ไพ่ตายที่เป็นความลับที่สุดของเขา ก็ดูเหมือนว่าไม่สามารถทำร้ายปิงซื่อเทียนได้เลย เพราะสหายคนนี้แข็งแกร่งเกินไปจริง ๆ
“เฉินซี!” เจิ้นหลิวชิงและคนอื่น ๆ อุทาน พวกเขาเห็นใบหน้าของเฉินซีบิดเบี้ยวในขณะที่เส้นเลือดบนหน้าผากของเขาปูดโปนออกมา ราวกับว่ากำลังทนความเจ็บปวดที่ไร้ขอบเขต ผิวหนังที่ปกคลุมทั่วร่างกายของเขาก็แดงมากจนดูเหมือนมีเลือดออก ทำให้สภาพของเขาในตอนนี้ดูทุกข์ทรมานยิ่ง
“ศิษย์พี่ปิงพอได้แล้ว หรือท่านต้องการจะฆ่าเขาให้ตายจริง ๆ?” อวิ๋นหลานเซิงขมวดคิ้ว
“ไม่เลย ข้าจะฆ่าเขาได้อย่างไร?” เซียนสวรรค์หนุ่มมีท่าทีเฉยชา แต่น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม “ไม่ว่าอย่างไร เมื่อวานเขาก็ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ เขาย่อมเป็นผู้มีพระคุณของข้า”
เมื่อทุกคนรอบ ๆ ได้ยินคำพูดนี้ก็ลอบถอนใจ แน่นอนว่าพวกเขาเข้าใจว่า ปิงซื่อเทียนกำลังเยาะเย้ยเฉินซีที่ประเมินความสามารถของตนสูงเกินไป
อันที่จริง หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เมื่อวานนี้หากไม่ใช่เพราะเฉินซี พวกเขาคงไม่รอดชีวิต แต่มันกลับกลายเป็นว่าชายลึกลับและยิ่งใหญ่ที่โผล่มาพลิกสถานการณ์ให้ กลับไม่ใช่เฉินซีตัวจริง
ดังนั้นไม่ว่าจะรู้สึกขอบคุณเฉินซีหรือไม่ การกระทำของพวกเขาก็ยังคงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ปิงซื่อเทียนเองก็เล็งเห็นถึงจุดนี้ ดังนั้นเขาจึงจัดการกับเฉินซีได้อย่างไร้ยางอาย โดยไม่รู้สึกกดดันหรือละอายแม้แต่น้อย
ภายใต้การจ้องมองของทุกคนที่รายล้อมรอบตัวเขา ร่างกายของเฉินซีสั่นไม่หยุด เหงื่อเย็นไหลลงมาจากร่างกายราวน้ำแข็งละลาย ใบหน้าของเขาซีดเผือดอย่างน่ากลัวขณะที่เสียงกระดูกแตกกระจายดังก้องออกมาเรื่อย ๆ มีเพียงสายตาเท่านั้นที่ยังคงไม่ยอมอ่อนข้อและดื้อรั้น เผยให้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยวและความแน่วแน่ดุจดาบที่ยอมหักไม่ยอมงอ
“ผู้มีพระคุณ? ฮึ่ม! ปิงซื่อเทียนนี่คือวิธีปฏิบัติต่อผู้มีพระคุณของเจ้าอย่างนั้นรึ?” ทันใดนั้น เสียงที่ฟังดูชราแหบห้าวก็ดังก้องไปทั่วบริเวณ เมื่อทุกคนหันมาก็เห็นวิปลาสหลิ่วกำลังเดินเข้ามา
เขายังคงดูสกปรกมอมแมมเหมือนเดิม เคราแพะยาวพ่วงด้วยกลิ่นฉุนจากสุรา และดวงตาที่ขุ่นมัว แต่เมื่อเขาปรากฏตัวตรงหน้าเฉินซี ท่าทางเหล่านั้นกลับเปลี่ยนไปทันที
กลิ่นอายที่รุนแรงและกว้างใหญ่ปะทุออกมาจากร่างผอมพุ่งตรงขึ้นไปบนท้องฟ้า กวาดเมฆลมในบริเวณโดยรอบให้สั่นสะเทือน หลังจากนั้นปราณเซียนอันไร้ขอบเขตก็แผ่ออกมาจากร่างกายของเขา ในขณะที่กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์นับไม่ถ้วนส่องสว่างไปทั่วสวรรค์และปฐพี มันช่างสง่างามและน่าเกรงขาม จนทำให้ทุกคนรู้สึกตกใจจากก้นบึ้งหัวใจ
ในเวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว แรงกดดันทั้งหมดที่ปิงซื่อเทียนสร้างขึ้นก็ถูกสลายตัว โดยไม่เหลืออะไรเลย
สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปในทันใด รูม่านตาก็หดลงทันทีเมื่อเห็นฉากนี้ สำหรับพวกเขา… ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาในตอนนี้มันยากเกินที่จะเชื่อไปหมดแล้ว วิปลาสหลิ่วได้สลายกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวของเซียนสวรรค์ไปแล้วจริง ๆ!
“หือ?” ดวงตาของปิงซื่อเทียนเองก็แข็งค้างเช่นกัน จากนั้นเขาก็นึกถึงบางสิ่งและพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ก่อร่างอมตะขึ้นแล้ว แต่ยังสามารถหลอกลวงสวรรค์ไม่ให้ดึงขึ้นสู่ภพเซียนได้ เจ้า… ช่างเป็นผู้ละทิ้งสวรรค์เสียจริง!”
ทุกคนที่ได้ยินสิ่งนี้ราวกับถูกฟ้าผ่า แม้ว่าจะไม่สามารถเดาได้ว่าผู้ละทิ้งสวรรค์คืออะไร แต่พวกเขาก็สามารถวิเคราะห์ความเป็นไปได้จากคำพูดของปิงซื่อเทียนได้ และความเป็นไปได้นั้นก็คือ วิปลาสหลิ่วเองก็เป็นเซียนสวรรค์!
“ชายชราผู้นี้มีความสุขมากที่ได้อยู่ในภพมนุษย์ แต่เขาขี้เกียจเกินไปที่จะไปภพเซียนเพื่อพบเจอกฎเกณฑ์ใหม่ ๆ” วิปลาสหลิ่วส่ายหัว
“ฮึ่ม! ตอนนี้เจ้าได้เผยร่างอมตะของตนแล้ว กฎสวรรค์ย่อมตรวจพบเจ้า ไม่ถึงสามวันเจ้าก็จะถูกดึงดูดเข้าสู่ภพเซียน แล้วเมื่อถึงเวลานั้น ข้าเกรงว่าผลที่ตามมาคงจะร้ายแรงอย่างยิ่ง” ปิงซื่อเทียนหัวเราะเยาะ
“แล้วเจ้าเชื่อจริงหรือว่าตอนนี้ข้าจะฆ่าเจ้าไม่ได้?” วิปลาสหลิ่วมองไปที่ปิงซื่อเทียนขณะที่เขาพูดอย่างเฉยเมย “พวกตัวบัดซบ! พวกเจ้าทุกคนควรฉวยโอกาสนี้กลับไปยังแดนภวังค์ทมิฬ ก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ!” เสียงตะโกนนี้ดังขึ้นราวกับสายฟ้าร้อง ดังก้องไปทั่วทั้งเก้าสวรรค์สิบแผ่นดิน