บทที่ 547 การเดินทางครั้งใหม่
บทที่ 547 การเดินทางครั้งใหม่
เพียงประโยคเดียวก็ทำเอาทุกคนตกตะลึงสุดขีด!
เฉินซีเพิ่งตกลงที่จะให้อวิ๋นหลานเซิงพาชิงซิ่วอี้กลับไปที่นิกายวิถีกระแสสวรรค์ และในช่วงเวลาต่อมา ปิงซื่อเทียนก็กล่าวถึงเรื่องนี้ออกมา ซึ่งนี่เป็นการแก้แค้นเฉินซีอย่างแน่นอน!
“มันมากเกินไปแล้ว! เจ้ามันช่างชั่วร้ายและน่ารังเกียจยิ่งนัก!” หวงฝู่ฉิงอิงร้องออกมาอย่างโกรธแค้นด้วยเสียงที่แหลมสูง
“นี่หรือเซียนสวรรค์? ถุ๊ย!” นายน้อยโจวรู้สึกขยะแขยงอย่างมาก และโกรธเสียจนร่างกายเริ่มสั่นสะท้าน
คนอื่น ๆ ก็แสดงสีหน้าโกรธเช่นกัน เพราะพวกเขาไม่อยากเชื่อเลยว่านี่เป็นการกระทำของเซียนสวรรค์!
“ข้าได้ชี้แจงอย่างชัดเจนแล้วว่า ข้อตกลงนี้ทำขึ้นเมื่อนานมาแล้ว ก่อนที่ศิษย์พี่ชิงจะประสบกับการเวียนว่ายตายเกิดทั้งร้อยของชาติของนาง และนี่คือการตัดสินใจของเหล่าผู้อาวุโสของนิกายของข้า ซึ่งในเวลานั้น ศิษย์พี่ชิงก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้เช่นกัน” สีหน้าของปิงซื่อเทียนสงบนิ่ง ในขณะที่กล่าวอย่างเฉยเมย
ในขณะนี้ เขาได้ฟื้นคืนท่าทางที่สง่างามของเซียนสวรรค์อีกครั้ง ซึ่งทำให้หวงฝู่ฉิงอิงและคนอื่น ๆ ระเบิดโทสะออกมาอีกครั้ง
ช่างจริงดังคำที่ว่า หากไม่ตีงูให้ตาย สักวันหนึ่งมันจะกลับมาแว้งกัดจริง ๆ!
“สิ่งที่ศิษย์พี่ใหญ่ปิงกล่าว…” อวิ๋นหลานเซิงหัวเราะอย่างขมขื่นขณะที่มองไปยังชายหนุ่ม ก่อนจะยืดอกและกล่าวว่า “มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ข้าสามารถเป็นพยานในเรื่องนี้ได้และเหล่าผู้อาวุโสนิกายวิถีกระแสสวรรค์ก็สามารถเป็นพยานในเรื่องนี้ได้เช่นกัน”
“เพียงแค่คำกล่าวลอย ๆ ของพวกเจ้าสองคน แล้วทุกคนจะเชื่อได้อย่างไร?” เจิ้นหลิวชิงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่นางจะกล่าวออกมาช้า ๆ
“ข้าขอสาบานต่อสวรรค์” ปิงซื่อเทียนกล่าวอย่างเฉยเมย
ทันทีที่กล่าวคำเหล่านี้ มันทำให้เจิ้นหลิวชิงและคนอื่น ๆ พูดไม่ออกทันที เนื่องจากผู้บ่มเพาะนั้นเคารพนับถือเต๋าแห่งสวรรค์มากที่สุด ทำให้คำสาบานที่กล่าวต่อสวรรค์เป็นดั่งปีศาจที่คอยเกาะกินอยู่ในหัวใจ ดังนั้นจึงไม่มีใครที่กล้าล้อเล่นกับคำสาบาน และการที่อีกฝ่ายได้กล่าวคำสาบานเช่นนี้ ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าทั้งหมดนี้เป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย!
“ศิษย์น้อง ศิษย์พี่ใหญ่ไม่สามารถสอดมือยุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้ได้ เพราะเป็นสิ่งที่ชิงซิ่วอี้เห็นด้วยและมันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้” มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ถอนหายใจเบา ๆ
“ใช่แล้ว ใครเอากระดิ่งผูกคอเสือ คนผู้นั้นก็ต้องลงมือแก้เอง เรื่องนี้เกิดจากชิงซิ่วอี้ และนางควรแก้ไขด้วยตัวเอง” หวงเหมยเวิง ฉผัสสะ และฟางจ่านเหมยก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน
พวกเขาไม่สามารถสอดมือยุ่งเรื่องนี้ได้ เนื่องจากนิกายวิถีกระแสสวรรค์เป็นหนึ่งในสิบนิกายเซียนของแดนภวังค์ทมิฬ ทรัพยากรที่ซ่อนอยู่และกองกำลังที่มีก็น่าเกรงขามจนไม่ด้อยไปกว่านิกายของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย หากพวกเขาสอดมือยุ่งเรื่องนี้อย่างจริงจัง มันจะก่อให้เกิดข้อพิพาทครั้งใหญ่แทน
ปิงซื่อเทียน… ช่างโหดเหี้ยมอย่างแท้จริง! ด้วยคำกล่าวไม่กี่คำ เขาก็สามารถพลิกสถานการณ์ที่ตกต่ำจนกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ และเฉินซีอาจไม่มีพลังพอที่จะกอบกู้สถานการณ์ในตอนนี้ได้เลย
ผู้เยี่ยมยุทธ์ของราชวงศ์ต่าง ๆ และทูตของแดนภวังค์ทมิฬที่อยู่ใกล้เคียง ต่างลอบถอนหายใจด้วยอารมณ์หนักอึ้ง
ทันใดนั้น เฉินซีก็ก้าวไปข้างหน้า และสายตาของเขาก็มองตรงไปที่ปิงซื่อเทียน จากนั้นจึงกล่าวอย่างใจเย็นว่า “เจ้ารักแม่นางชิงมากหรือไม่?”
ถึงแม้จะเป็นคำถามที่กะทันหันมาก แต่ปิงซื่อเทียนก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะตอบ “ข้ารักนางมาก”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้ากล้าเดิมพันกับข้าหรือไม่?” เฉินซีกล่าวต่อ สายตาของเขานิ่งสงบราวกับหิมะ ในขณะที่เสียงของเขาไม่ได้สั่นแม้แต่น้อย
“เจ้าว่ามาเถิด” ปิงซื่อเทียนรู้สึกอึดอัดที่ถูกอีกฝ่ายจ้องมอง แต่เขาก็ยังอดทนและกล่าวออกไป
“ข้าพนันได้เลยว่าอีกร้อยปีต่อจากนี้ แม่นางชิงจะไม่แต่งงานกับเจ้าอย่างแน่นอน” เสียงของชายหนุ่มสงบนิ่งมาก แต่ก็มีความมั่นใจอย่างมากเช่นกัน ซึ่งความมั่นใจนี้ก็มาจากการที่เขาเข้าใจและไว้วางใจในตัวชิงซิ่วอี้
เขารู้ว่าถ้าเป็นนางในเวลานี้ นางก็คงทำเช่นนี้เพื่อเขาอย่างแน่นอน
“โอ้? แล้วถ้าเจ้าแพ้เล่า?” ปิงซื่อเทียนรู้สึกอึดอัดในใจมากขึ้น และเขากล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
เขาไม่อาจเข้าใจได้เลยว่า มดปลวกจากโลกใบเล็กไปเอาความมั่นใจที่แข็งแกร่งเช่นนี้มาจากไหน
“ถ้าข้าแพ้…” เฉินซีพึมพำและชี้ไปที่ท้องฟ้าในทันใด จากนั้นเขาก็สาบานต่อสวรรค์ว่า “ต่อหน้าเต๋าแห่งสวรรค์ ข้าเฉินซีขอสาบาน ณ ที่นี้ว่า ถ้าแม่นางชิงเต็มใจที่จะแต่งงานกับคนอื่น ข้าเฉินซีจะทำให้การบ่มเพาะของข้าพิการทันที และข้าก็จะพินาศไปชั่วนิรันดร์ หากผิดคำสาบาน ข้าก็จะถูกฟ้าดินทำลาย อีกทั้งยังถูกผู้คนและทวยเทพประณาม!”
มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์และคนอื่น ๆ ตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อเห็นเฉินซีสาบานอย่างร้ายแรงเช่นนี้!
ทุกคนที่อยู่รอบ ๆ ต่างตกตะลึงเช่นกัน จากนั้นพวกเขาจึงเริ่มกระซิบกระซาบอย่างแผ่วเบา
“ชายคนนี้ช่างหุนหันพลันแล่นเหลือเกิน ชิงซิ่วอี้เป็นศิษย์ของนิกายวิถีกระแสสวรรค์ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม เมื่อนางได้ฟื้นคืนความทรงจำเมื่อชาติที่แล้ว นางอาจจะลืมเขาไปเลยก็ได้!”
“ความรักนำมาซึ่งอันตรายจริง ๆ หรือว่าเขาจะไม่กังวลว่า เมื่อเวลาผ่านไปชิงซิ่วอี้จะค่อย ๆ รักคนอื่นหรือไม่? ถึงอย่างไร ปิงซื่อเทียนก็เป็นเซียนสวรรค์ ดังนั้นเสน่ห์ของปิงซื่อเทียนจะเป็นสิ่งที่เขาเทียบเคียงได้อย่างไร?”
“ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าคนผู้นี้ไปเอาความมั่นใจมากมายมาจากไหน หรือเขาไม่รู้ว่าตัวเองได้เดิมพันด้วยชีวิต?”
หวงฝู่ฉิงอิง เจิ้นหลิวชิง และคนอื่น ๆ ตกตะลึง จากนั้นพวกเขาก็เข้าใจ เพราะนึกขึ้นได้ว่าชิงซิ่วอี้ได้ให้กำเนิดบุตรแก่เฉินซี และความจริงข้อนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ทุกอย่าง!
น่าเสียดาย มีเพียงฟ่านอวิ๋นหลานเท่านั้นที่รู้ว่าการเกิดของเด็กคนนั้น… เป็นเพียงอุบัติเหตุจริง ๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางยังคงเชื่อมั่นว่าตั้งแต่ที่เฉินซีกล้ากล่าวคำเหล่านี้ เขาย่อมมีเหตุผลอย่างแน่นอน!
ดวงตาของปิงซื่อเทียนหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินอีกฝ่ายกล่าวคำสาบานที่ร้ายแรง จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ความกล้าหาญของเจ้าควรค่าแก่การชื่นชม ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่เสียใจเมื่อวันนั้นมาถึง!”
สีหน้าของเฉินซียังคงไม่เปลี่ยนแปลงในขณะที่เขากล่าวอย่างใจเย็นว่า “แล้วหากข้าชนะการเดิมพันเล่า?”
“ชนะ? เจ้าจะชนะได้อย่างไร!” ปิงซื่อเทียนตกตะลึง และดูเหมือนเขาจะได้ยินเรื่องตลก
“ว่าอย่างไร หรือเจ้าไม่กล้าที่จะเดิมพัน?” เฉินซีกล่าว
สีหน้าของปิงซื่อเทียนมืดมน และดวงตาของเขาก็กะพริบ หลังจากผ่านไปสักพัก เขาจึงกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เอาล่ะ! ในเมื่อเจ้ากำลังรนหาที่ตาย ข้าจะทำให้ความปรารถนาของเจ้าเป็นจริง ข้าตกลงเดิมพันนี้ หากเจ้าชนะ ข้าปิงซื่อเทียนจะทำให้การบ่มเพาะของตัวเองพิการและถูกลดขั้นให้เป็นมนุษย์ที่อยู่ภายใต้ความเมตตาของเจ้า!”
“เฉพาะเวลานี้เท่านั้นที่เจ้าได้วางตัวเหมือนกับเซียนที่แท้จริง” เฉินซีกล่าวอย่างใจเย็นว่า “อีกหนึ่งร้อยปีนับจากนี้ ข้าจะไปที่นิกายวิถีกระแสสวรรค์ เมื่อถึงเวลานั้น จะต้องมีผู้ชนะในการเดิมพันนี้ แต่ข้าขอเตือนเจ้าว่า หากแม่นางชิงไม่ยินยอมแต่งงานกับเจ้าด้วยความเต็มใจ ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าการมีชีวิตที่ทรมานยิ่งกว่าความตายนั้นเป็นอย่างไร!”
ทันทีที่ชายหนุ่มกล่าวคำเหล่านี้ออกมา ทุกคนก็ตกตะลึงอยู่ในใจ เนื่องจากพวกเขาไม่กล้าเชื่อว่าเฉินซีกล้าที่จะคุกคามเซียนสวรรค์จริง ๆ!
จะมีกี่สักคนในโลกนี้ที่กล้าทำเช่นนี้?
“ดีมาก!” สีหน้าของปิงซื่อเทียนนั้นยังคงนิ่งสงบ แต่ในใจของเขากลับเกิดโทสะที่ร้อนแรงดั่งเปลวเพลิง และน้ำเสียงของเขาก็ดูราวกับเล็ดลอดออกมาจากรอยแยกระหว่างฟัน “เจ้าเป็นคนแรกที่กล้ากล่าวเช่นนี้กับข้า ข้าจะจำเอาไว้!”
ทันทีที่กล่าวจบ ปิงซื่อเทียนก็สะบัดแขนเสื้อของเขาเพื่อเปิดประตูมิติโดยตรง จากนั้นเจ้าตัวก็เดินเข้าไปข้างใน “ศิษย์น้องอวิ๋น เหล่าสหายทูต ถึงเวลาที่เราต้องไปแล้ว”
อวิ๋นหลานเซิงชำเลืองมองไปทางเฉินซี และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ก่อนจะเดินตามหลังปิงซื่อเทียนไป
ทูตคนอื่น ๆ ของแดนภวังค์ทมิฬก็ไม่กล้าที่จะอยู่ต่อไปเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ พวกเขาจึงพาเหล่าศิษย์ของราชวงศ์ต่าง ๆ เดินตามหลังอวิ๋นหลานเซิงไปยังทางเดินอย่างใกล้ชิด
เมื่อพวกเขาจากไป ซูชิงเยียน เซวียหรานเฉิน หลิงเจ๋อและคนอื่น ๆ ก็พยักหน้าให้แก่เฉินซี จากนั้นจึงกล่าวผ่านกระแสปราณว่า ‘แล้วพบกันใหม่ที่แดนภวังค์ทมิฬ’
ชายหนุ่มตอบกลับทีละคน เขาดูจะค่อนข้างสงบและไม่คลาดสายตาจากสิ่งที่เกิดขึ้น
มีเพียงเฟิงเจี้ยนไป๋และซางเชวี่ยเท่านั้นที่เปิดเผยเจตนาฆ่าต่อเฉินซีอย่างตรงไปตรงมาเมื่อพวกเขากำลังจะจากไป
ซึ่งตัวเฉินซีก็สังเกตเห็นแต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไร เขาไม่ใส่ใจสองคนนี้อีกต่อไป เพราะเป้าหมายในปัจจุบันของชายหนุ่มมุ่งไปยังปิงซื่อเทียนแต่เพียงผู้เดียว
ในเวลาไม่นาน เหล่าศิษย์ของราชวงศ์ต่าง ๆ และเหล่าทูตของแดนภวังค์ทมิฬก็ทยอยเข้าสู่ประตูมิติภายใต้การนำของปิงซื่อเทียน ก่อนที่จะหายตัวไป
บริเวณที่ด้านหน้าของศิลาจารึกวิญญาณพลันสงบลงอย่างสมบูรณ์
พระอาทิตย์ที่กำลังตกดินเปล่งแสงสีแดงดุจโลหิต ในขณะที่มันเปล่งแสงยามพลบค่ำ และเมื่อกระทบกับพื้นผิวของศิลาจารึก แสงสีทองก็เปล่งประกายออกมาจากชื่อของผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่บนนั้นทีละคน
แต่ในเวลาไม่นาน ชื่อเหล่านี้มากกว่าครึ่งก็หายไป และนั่นหมายความว่าคนเหล่านี้ได้ออกจากสมรภูมิบรรพกาลไปแล้ว
เมื่อเฉินซีและคนอื่น ๆ จากไป ศิลาจารึกที่เฝ้าดูการเติบโตของเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ก็ตกอยู่ในความเงียบงันอีกครั้ง บางทีอาจมีศิษย์รุ่นเยาว์อีกกลุ่มหนึ่งที่จะเข้ามาที่นี่ในอีกหนึ่งร้อยปีข้างหน้าก็เป็นได้
นี่คือวัฏจักรของฟ้าดิน ทุกสิ่งล้วนต้องก้าวไปข้างหน้า ในขณะที่การหยุดนั้นหมายถึงการถอยหลังสู่ความตาย
…
ภายใต้แสงโพล้เพล้ของพระอาทิตย์ เฉินซีกำลังเดินอยู่เพียงลำพังในเมืองบรรพกาลที่ว่างเปล่า และร่างสูงโปร่งของเขาก็ทอดเงายาวลงมาบนพื้น
มีเพียงเงาเดียวและโดดเดี่ยว
เจิ้นหลิวชิงได้จากไปแล้ว แต่ก่อนจะจากไป นางได้ผูกเชือกสีแดงไว้ที่ข้อมือขวาของเขาและไม่ได้กล่าวอะไรอีก เพราะนางรู้ว่าเฉินซีย่อมเข้าใจความรู้สึกของนาง
หวงฝู่ฉิงอิงกับนายน้อยโจวก็จากไปแล้วเช่นกัน นางถึงกับร้องไห้คร่ำครวญราวกับเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่ไม่ประสีประสา ส่วนนายน้อยโจวก็ตบไหล่เขาอย่างดุดันและกล่าวว่า ”เป็นพี่น้องที่ดีตลอดไป”
ก่อนที่หลิงอวี๋จะจากไป เขาหัวเราะอย่างไร้เดียงสา ซึ่งเผยฟันขาวดุจหิมะอยู่เต็มปาก ยิ่งไปกว่านั้น เขายังชวนเฉินซีให้แวะมาเยี่ยมเขาที่วัดป่าธยานะ หากเขามีเวลาว่าง
จ้าวชิงเหอจ้องมองที่เฉินซีอย่างเงียบ ๆ อยู่ชั่วขณะหนึ่งและไม่กล่าวอะไรสักคำ เช่นเดียวกับนิสัยที่เย็นชาของเขา แต่ชายหนุ่มก็ตระหนักได้เป็นอย่างดีว่า หากตนประสบกับปัญหาขึ้นมาจริง ๆ แล้วละก็ จ้าวชิงเหอก็จะไม่ลังเลที่จะสละชีวิตเหมือนเช่นที่เคยทำมาก่อน
มีเพียงฟ่านอวิ๋นหลานเท่านั้นที่กอดเฉินซีแนบแน่นและพึมพำอย่างยาวนาน ราวกับว่านางต้องการกล่าวทุกสิ่งที่นางสามารถกล่าวได้ทั้งชีวิตนี้ ก่อนที่หญิงสาวจะจากไป จู่ ๆ นางก็หันกลับมาและเหลือบกลับมาที่เขาพร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนหวาน รอยยิ้มที่สง่าและงดงามของนาง ทำให้พระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้ายังถูกบดบัง
การที่อีกฝ่ายทำเช่นนี้ ราวกับนางต้องการให้เฉินซีจดจำด้านที่สวยงามที่สุดนางไปชั่วชีวิต
หลังจากนั้น…
เหลือเพียงตัวเฉินซีกับวิปลาสหลิ่วเท่านั้น
เฉินซีไม่ได้เร่งรีบจากไป แต่เริ่มเดินครุ่นคิดไปตามท้องถนนอย่างช้า ๆ ซึ่งดูเหมือนเขาไม่เต็มใจที่จะจากไปและกำลังอำลาทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในฟ้าดินอันกว้างใหญ่นี้
ในที่สุด เฉินซีก็กลับไปยังที่พักของเขา จากนั้นจึงหันไปมองวิปลาสหลิ่วที่พิงต้นหลิวและกำลังดื่มสุรา ก่อนที่จะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้อาวุโส ไปกันเถอะ!”
“จะไม่อยู่ต่ออีกสักหน่อยหรือ?”
“ไม่ล่ะ อดีตจะผ่านไปในที่สุด ส่วนแดนภวังค์ทมิฬคือจุดเริ่มต้นใหม่ของข้า!” สายตาของชายหนุ่มนั้นแน่วแน่ และถูกย้อมไปด้วยแสงสีอันเจิดจ้าจากแสงอาทิตย์ยามอัสดง ทำให้ดวงตาของเขาดูราวกับอยู่ในความฝัน
“เช่นนั้นก็ออกเดินทางกันเถอะ!” วิปลาสหลิ่วคำรามเสียงหัวเราะออกมา ก่อนที่เขาจะดื่มสุราหยดสุดท้ายในไหและลุกยืนขึ้น จากนั้นเจ้าตัวก็เปิดประตูมิติตรงหน้า “ไอ้หนู เจ้ากล่าวได้ดีมาก แดนภวังค์ทมิฬนั้นกว้างใหญ่ไพศาลอย่างไร้ขอบเขต อีกทั้งยังมีตระกูลและผู้เยี่ยมยุทธ์อยู่มากมายราวกับต้นไม้ในป่าใหญ่ มันเป็นสถานที่ที่ใกล้กับภพเซียนมากที่สุด และสถานที่นั้นคือเวทีที่แท้จริงของเจ้า!”
ฟุ่บ!
ทางเดินมิติส่องแสงสว่างวาบ และฟ้าดินที่กว้างใหญ่นี้ก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง
พระอาทิตย์อัสดงสาดแสงบนท้องฟ้า ต้นหญ้าเหี่ยวเฉากระจายอยู่ทุกหนทุกแห่ง เมืองบรรพกาลยังคงตั้งตระหง่านผ่านกาลเวลาและยุคสมัยด้วยกลิ่นอายที่น่าเกรงขาม ในขณะที่แสงสีทองดวงสุดท้ายบนศิลาจารึกวิญญาณก็ค่อย ๆ หายไป
ชื่อของเฉินซีเคยถูกประทับอยู่ที่นั่น…