บทที่ 556 สระชำระกระบี่!
บทที่ 556 สระชำระกระบี่!
ยอดเขาจรัสตะวันตก!
น้ำตก บ่อน้ำ ต้นสนและต้นไผ่เขียวขจี กลิ่นหอมของสมุนไพรวิญญาณล่องลอยไปทุกที่ สัตว์แปลกประหลาดหายากเดินผ่านไปผ่านมา
การก้าวเท้าขึ้นไปบนหุบเขานั้นเหมือนกับการเดินเข้าไปในวิมานแห่งเซียน กล้วยไม้สวยส่งกลิ่นหอมหวานพลางส่องแสงระยิบระยับในขณะที่มีหมอกปกคลุมโดยรอบและพลิ้วไหวอย่างงดงาม ภายในหมอกมีนกกระเรียนวิญญาณหลากสีเริงระบำ มีปักษาบินวนไปมา เสียงร้องของมันเปรียบได้ว่าเป็นนิยามของเสียงธรรมชาติ
นี่คือยอดเขาจรัสตะวันตก วิมานที่ตั้งตระหง่านเหนือเส้นชีพจรวิญญาณ
ในทันทีที่เฉินซีก้าวเท้าขึ้นไปบนเส้นทางหุบเขา ปราณวิญญาณที่หนาแน่นเหมือนวุ้นก็ปะทะกับหน้าของเขา ทำให้รู้สึกสดชื่น ซ้ำยังมีปราณเซียนอยู่ภายในปราณวิญญาณนี้ ทำให้รู้สึกเต็มไปด้วยจิตวิญญาณและร่างกายเบาลงเมื่อดูดซับมันเข้าไป
‘ช่างเป็นปราณวิญญาณที่น่าอัศจรรย์เสียจริง ทั้งยังอุดมไปด้วยปราณเซียน ถ้ามนุษย์อยู่ที่นี่ แม้จะไม่ได้บ่มเพาะก็อาจจะมีชีวิตยืนยาวปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ส่วนผู้บ่มเพาะหากมีโอกาสบ่มเพาะที่นี่ก็ย่อมเป็นโชคอันยิ่งใหญ่ จะกังวลว่าไม่มีทางขึ้นไปสู่ความเป็นอมตะได้อย่างไร?’ เฉินซีอุทานด้วยความชื่นชมในใจ รู้สึกยินดีว่าการเดินทางในครั้งนี้ช่างคุ้มค่านัก
มีปราณวิญญาณที่หนาแน่นเช่นนี้ในราชวงศ์ซ่ง? มีกฎแห่งเต๋าสวรรค์ที่สมบูรณ์ไร้ที่ติเช่นนี้ด้วยหรือ? วิมานอันน่าอัศจรรย์แบบนี้มีอยู่จริง ๆ น่ะหรือ?
ทั้งหมดนี้ดูพิเศษยิ่งนัก
“ยอดเขาจรัสตะวันตกของพวกเราสูงถึงเก้าหมื่นหกพันจั้งและกินพื้นที่โดยรอบอีกหลายหมื่นลี้ มีวิมานบ่มเพาะอยู่มากกว่าสามร้อยแห่ง พื้นที่เพาะปลูกวิญญาณนับไม่ถ้วน อีกทั้งมีวัตถุดิบและสมุนไพรวิญญาณมากมายทั่วหุบเขา หากเทียบกันในเรื่องของความอุดมสมบูรณ์แล้วละก็ ยอดเขาทางตะวันออก ทางเหนือ และทางใต้นั้นยังห่างไกลกันมาก” ขณะที่พวกเขาก้าวขึ้นบันได ชิงอวี่ก็นำเสนออย่างภาคภูมิใจ และหลังจากที่เจ้าตัวกลับมายังยอดเขาจรัสตะวันตกก็รู้สึกราวกับว่าได้กลับบ้าน ใบหน้าที่หล่อเหลาเปี่ยมไปด้วยความสุข เห็นได้ชัดว่ามีความรู้สึกลึกซึ้งต่อยอดเขาแห่งนี้อย่างมาก
“ศิษย์น้อง หากเจ้าบ่มเพาะที่นี่ในวันข้างหน้า จะใช้ทรัพยากรต่าง ๆ บนหุบเขาตามต้องการก็ย่อมได้ เพราะพวกเราเหล่าศิษย์พี่น้องทั้งเจ็ดไม่อาจใช้จนหมด ทว่า…” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ชิงอวี่ก็เริ่มลังเล ก่อนส่ายหัวพลางกล่าว “ช่างมันเถิด อย่าพูดถึงเรื่องยุ่งยากพวกนี้เลย ศิษย์น้อง จงทำตัวให้สบายและบ่มเพาะที่ยอดเขาแห่งนี้เถิด”
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะขบขัน ดูเหมือนจิตใจยิ่งบริสุทธิ์ก็ยิ่งต้องแบกรับปัญหาเพิ่มเข้ามา
ทั้งคู่คุยกันเรื่อยเปื่อยขณะที่รุดฝีเท้าขึ้นไปบนยอดเขา
ระหว่างทาง ในที่สุดเฉินซีก็ทราบถึงสถานการณ์บนยอดเขาจรัสตะวันตกบ้างแล้ว ก่อนหน้าเขานั้น วิปลาสหลิ่วรับศิษย์มาทั้งหมดหกคน ชิงอวี่อยู่ในอันดับที่หกทำให้มีระดับอาวุโสต่ำที่สุด
ขณะที่ศิษย์พี่ใหญ่มีนามว่าหั่วโม่เลย เขาเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากหนึ่งในตระกูลบรรพกาล ที่มีนามว่าตระกูลอัคคีหลอม คนผู้นี้แสวงหาเต๋าด้วยการหลอมและขัดเกลาอุปกรณ์จนบรรลุขั้นสมบูรณ์ของวิชาการเสริมพลังยุทโธปกรณ์แล้ว เขาเป็นผู้เสริมแกร่งยุทโธปกรณ์ที่ยอดเยี่ยมที่มาพร้อมกับงานฝีมือประณีต
ศิษย์พี่รองมีนามว่าหลูเซิง เขามาจากเผ่าวิหคจาบฝน แสวงหาเต๋าผ่านเสียงเสียง เขาจึงเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเครื่องดนตรีเป็นพิเศษ เสียงของเขานั้นราวกับเสียงธรรมชาติที่สร้างปรากฏการณ์ร้อยวิหคบูชาปักษาและบุปผาโปรยปราย
ศิษย์พี่คนที่สามมีนามว่าอี้เฉินจื่อ เขาเป็นมนุษย์ที่แสวงหาเต๋าด้วยการเล่นหมากล้อม ควบคุมพละกำลังจากการเดินหมากขาวดำ หมากที่ร่วงหล่นลงมาสั่นสะท้านไปทั่วโลกา และเมื่อตั้งกระดานแล้ว แม้แต่ทวยเทพยังต้องโอดครวญ
ศิษย์พี่คนที่สี่มีนามว่าต้วนอี้ เขาเป็นผู้บ่มเพาะอสูรซึ่งถือกำเนิดจากแก่นแท้แห่งหยกทำให้เขาความคิดสติปัญญาดีเลิศ เป็นบุคคลที่หายากอย่างยิ่ง เขาชื่นชอบในเต๋าแห่งตำรา มีความชำนาญด้านงานเขียนและภาษาโบราณที่มีมาแต่เนิ่นนานจวบจนปัจจุบัน
คนที่ห้าคือผู้บ่มเพาะหญิงผู้มีนามว่าอาจิ่ว นางแสวงหาเต๋าด้วยการวาดภาพ ทุกสิ่งในโลกถูกหลอมรวมเข้ากับทุกจังหวะการวาดของนาง ภาพวาดเหล่านี้มหัศจรรย์ยิ่ง มีเต๋ารู้แจ้งพิเศษและยังพัฒนาเป็นปรากฏการณ์ล้ำลึกต่าง ๆ ได้
“การเสริมแกร่งอุปกรณ์ เสียง หมากล้อม ตำรา การวาดภาพ…พี่ใหญ่และพี่หญิงเหล่านี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ” เฉินซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอัศจรรย์ใจพลางพึมพำเมื่อได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพวกเขา
เขาประหลาดใจอย่างยิ่ง เพราะนิกายกระบี่เก้าเรืองรองขึ้นชื่อว่ากระบี่ซึ่งเผยให้เห็นกลิ่นอายสังหารที่ชวนขนหัวลุก ทว่าศิษย์พี่เหล่านี้แปลกจากนั้นมาก ไม่มีใครเชี่ยวชาญสิ่งที่เกี่ยวกับกระบี่เลย ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะตะลึงงัน
“ฮิฮิ ย่อมไม่จริง พวกเขาล้วนเป็นอัจฉริยะกันทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นท่านอาจารย์คงไม่รับพวกเขาเป็นศิษย์หรอก” ชิงอวี่ยิ้มพลางกล่าว น้ำเสียงที่เขาใช้นั้นเผยให้เห็นความชื่นชมอย่างสุดซึ้ง เป็นคำสรรเสริญที่มาจากใจจริง
“ถ้ามีโอกาส ข้าคงต้องเจอพวกเขาแล้ว” เฉินซียิ้ม หากเป็นเช่นนี้ก็น่าสนใจมากเช่นกัน เพราะเขาอาจได้เรียนรู้สิ่งที่ไม่คาดคิดจากศิษย์พี่เหล่านี้
“ดีล่ะ ศิษย์พี่ชิงอวี่ ท่านเชี่ยวชาญด้านใดหรือ?” เฉินซีซักถาม
“ข้าหรือ?” ชิงอวี่ตกตะลึง ดูกระอักกระอ่วนเล็กน้อยพลางกล่าว “ข้าสนใจด้านการจัดขบวนทัพมากกว่า…”
“จัดขบวนทัพ?” ชายหนุ่มจ้องไปยังอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ เขามองไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าชายผู้แสนบริสุทธิ์ ใจกรุณาและกลมกลืนกับทุกคนบนโลกได้อย่างชิงอวี่จะมีกลยุทธ์ในการทำสงคราม
“อืม ใช่ ศิษย์น้องอย่าหัวเราะเยาะข้าล่ะ แม้ข้าจะชอบการจัดทัพ แต่ข้าใช้แค่หุ่นเชิดฝึกกลยุทธ์การต่อสู้เท่านั้น และไม่เคยคิดจะทำสงครามเพื่อสังหารใคร” ชิงอวี่ยิ่งรู้สึกเขินอายที่ถูกอีกฝ่ายจ้องมองเช่นนี้จนแทบจะฝังศีรษะลงกับพื้น
“ศิษย์พี่ชิงอวี่ เมื่อใดที่ท่านฝึกกลยุทธ์การต่อสู้อีกครั้ง ข้าขอเฝ้าสังเกตจากด้านข้างได้หรือไม่ขอรับ?” เฉินซีนึกสงสัย ไม่ว่าจะเป็นการเสริมพลังอุปกรณ์ ดนตรี หมากล้อม ตำรา ภาพวาด หรือกลยุทธ์การต่อสู้ ล้วนเป็นหมวดหมู่ที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน และอยากทราบจริง ๆ ว่าศิษย์พี่เหล่านี้บ่มเพาะกันอย่างไร
“แน่นอน ได้เสมอ” ชิงอวี่ตอบตกลงทันที เห็นได้ชัดว่าเขามีความสุขอย่างยิ่งที่เฉินซีชื่นชมในสิ่งที่ตัวเองทำ
ทั้งคู่พูดคุยกันระหว่างเดิน รู้ตัวอีกทีพวกเขาก็มาถึงยอดเขาจรัสตะวันตกแล้ว
ยอดเขาจรัสตะวันตกไม่มีตำหนักอันกว้างใหญ่หรือสิ่งก่อสร้างที่รายเรียงกันเป็นแถวแต่อย่างใด พื้นที่ราบนี้เป็นป่าทึบ ทะเลสาบน้ำใส และทุ่งดอกไม้… กล่าวได้ว่าไม่มีบ้านสักหลังและดูเหมือนว่าจะไม่มีใครอยู่ที่นี่
“ยอดเขาจรัสตะวันตกของพวกเรานั้นส่งเสริมสภาพแวดล้อมธรรมชาติ ศิษย์พี่ทุกคนล้วนไม่สนใจเรื่องเงินทองของนอกกายมากนัก และแต่ละคนต่างมีที่อยู่อาศัยของตนเองเพื่อทำการบ่มเพาะ ส่วนตำหนักที่หรูหรานั้น ยอดเขาจรัสตะวันตกของพวกเราไม่มีเลยแม้แต่แห่งเดียว” ผู้เป็นศิษย์พี่กล่าว “ศิษย์น้อง หากเจ้าไม่คุ้นเคยกับการอาศัยอยู่ในหุบเขา จะสร้างตำหนักเป็นของตนเองก็ย่อมได้ ไม่มีใครมาห้ามเจ้า”
“ไม่จำเป็นหรอก ตราบใดที่ข้ามีที่พักก็เพียงพอ” ชายหนุ่มยิ้มพลางทอดสายตามองพื้นที่โดยรอบ จากนั้นจึงถาม “เอ่อ สถานที่ที่ท่านอาจารย์บ่มเพาะอยู่ที่ใด?”
ชิงอวี่ตกตะลึงพลางเกาศีรษะ “ท่านอาจารย์ไม่ค่อยปรากฏตัวที่นี่นัก เขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและเป็นอิสระบนโลกภายนอกเกือบตลอดเวลา การนำศิษย์น้องกลับมาในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบเก้าปีที่ท่านอาจารย์กลับมายังนิกาย”
“เขาไม่ได้ดูแลพวกท่านเลยหรือ?” เฉินซีรู้สึกแปลกใจ เขาสัมผัสได้ว่าความเป็นอาจารย์ของวิปลาสหลิ่วนั้นพิเศษพอสมควร เพราะอีกฝ่ายไม่สนใจลูกศิษย์ของตนเองเลย ซ้ำยังเที่ยวเล่นอย่างสนุกแทน
“ท่านอาจารย์กล่าวไว้ว่าทุกคนต่างมีเส้นทางแห่งเต๋าเป็นของตัวเอง หากไม่เข้าใจอะไร ก็จงคิดทบทวนด้วยตัวเอง และยังสามารถไปที่หอหมื่นคัมภีร์ได้เมื่อต้องการเรียนรู้ กล่าวคือพวกเราต้องพึ่งพาตัวเองในทุกสิ่ง” ชิงอวี่ยิ้ม
“ย่อมใช่ วิธีนี้ก็ไม่เลว ท่านอาจารย์พามาถึง จากนั้นทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับตัวลูกศิษย์เอง” เฉินซีผงกศีรษะ วิปลาสหลิ่วอาจเป็นคนแปลก ทว่าเขาก็ค่อนข้างเห็นด้วยกับมุมมองของอีกฝ่าย
“ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปพบศิษย์พี่ แล้วจะจัดที่อยู่ให้เจ้า” ชิงอวี่กล่าวอย่างตื่นเต้น “ตอนนี้ เหล่าศิษย์พี่คงกำลังอยู่ที่ริมสระชำระกระบี่เป็นแน่”
“สระชำระกระบี่? ชื่อดีนี่…” เฉินซีพึมพำ
อย่างไรก็ตาม เมื่อชิงอวี่พาเขาไปยังหน้าผาสูงชัน คิ้วของเฉินซีก็ขมวดแน่นก่อนจะเอ่ยขึ้น “ศิษย์พี่ชิงอวี่ นอกจากพวกเราเจ็ดคนแล้ว มีคนอื่นบนยอดเขาจรัสตะวันตกอีกหรือไม่?”
“ฮะ?” ชิงอวี่ตกตะลึง ก่อนเขาจะนึกอะไรขึ้นได้ ทำให้แสดงสีหน้าขมขื่นเล็กน้อย “มีอยู่ ซ้ำยังมีผู้คนมากมาย ศิษย์น้อง เจ้าทราบดีว่ามีศิษย์ชั้นสูงจำนวนมหาศาลในยอดเขาจรัสตะวันออก ใต้ และเหนือ และศิษย์บางคนไม่มีที่อยู่เป็นการชั่วคราว ดังนั้น…”
“ดังนั้นพวกเขาจึงมาที่ยอดเขาจรัสตะวันตกของพวกเรา?” เฉินซีเลิกคิ้วขึ้น
“ถูกต้อง มันช่วยไม่ได้ เมื่อพวกเขามาถึง พวกเราก็ไม่อาจขับไล่ไปได้ เพราะสุดท้ายพวกเราก็คือศิษย์นิกายเดียวกัน…” ชิงอวี่หัวเราะอย่างขมขื่นขณะที่เขาอธิบายพลางก้มหน้าลง
“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว ดูเหมือนศิษย์พี่ใหญ่และคนอื่น ๆ จะกำลังประสบปัญหาสินะ รีบไปดูกันเถอะ” เขาขัดจังหวะ
“ปัญหา?” ชิงอวี่ตกตะลึง ในจังหวะถัดมา เฉินซีกลายร่างเป็นแสงวูบไหว พาอีกฝ่ายไปยังหน้าผาสูงชันที่อยู่ไกลห่าง
…
โครม!
ณ ริมสระชำระกระบี่ มีน้ำตกสูงพันจั้งไหลลงมาจากเหนือหน้าผาราวกับทางช้างเผือกที่ลงมาจากสวรรค์ชั้นเก้า ทำให้น้ำสาดออกไปทุกทิศทาง มันส่งเสียงดังก้องคล้ายมังกรคำราม ดูยิ่งใหญ่อลังการ
สระชำระกระบี่ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวาง มีน้ำใสที่ส่องแสงสว่างราวกับว่าบรรจุไปด้วยวารีวิญญาณและน้ำค้างหยก เป็นสถานที่ซึ่งมีปราณวิญญาณหนาแน่นที่สุดในยอดเขาจรัสตะวันตกและเต็มไปด้วยธรรมชาติ
นอกจากนี้ยังมีทะเลบุปผาอันกว้างใหญ่อยู่ที่ริมสระ ดอกไม้หลากหลายชนิดปลิวไสวดั่งคลื่นทะเล สั่นท่ามกลางลมและอาบไปด้วยหมอกปราณวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ ดูสง่างามยิ่งนัก
เมื่อมองจากระยะไกล ทิวทัศน์นี้ก็เป็นเหมือนภาพวาด เป็นเหมือนสถานที่ซึ่งทวยเทพอาศัยอยู่
ทว่าในขณะนี้เสียงของการโต้เถียงดังขึ้นจากที่แห่งนั้น
“เจ้าชักจะล้ำเส้นเกินไปแล้ว! ยอดเขาจรัสตะวันตกมีเมตตาจิตพอที่จะให้เจ้าบ่มเพาะที่นี่ แต่พวกเจ้ากลับอยากได้ทั้งพื้นที่เลย ไม่เพียงแต่จะยึดครองสถานที่บ่มเพาะและที่อยู่อาศัยของพวกข้าเท่านั้น ซ้ำยังต้องการยึดครองสระชำระกระบี่นี้อีก ช่างไร้สาระสิ้นดี!” ที่ริมสระชำระกระบี่ มีชายหนุ่มรูปร่างกำยำพร้อมทรงผมที่ยุ่งเหยิงตะคอกด้วยโทสะ หนวดเคราและเส้นผมของเขามีสีแดงเข้มและหนา ร่างกายส่วนบนเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อมันเงาและแข็งดั่งทองแดง ดูแล้วค่อนข้างทรงพลัง
ข้างหลังเขามีชายหนุ่มสามคนและหญิงสาวหนึ่งคน พวกเขากำลังโกรธมากในขณะนี้
อีกฝั่งหนึ่งมีคนสิบกว่าคนยืนอยู่รายรอบเหมือนดวงดาวที่กำลังล้อมรอบจันทรา ซึ่งก็คือชายหนุ่มผู้สวมชุดม่วง ดวงตาของเขาหรี่เรียวเหมือนกับเรียวไม้
“เจ้าคิดว่ากำลังตะโกนใส่ใครอยู่ฮะ?” เมื่อพวกเขาเห็นชายหนุ่มคนนั้นตะโกนอย่างดุดัน จึงหัวเราะเยาะเย้ย ไม่แยแสแต่อย่างใด ทั้งยังเมินเฉยต่อโทสะของอีกฝ่าย
“พวกเจ้าออกไปซะ! ยอดเขาจรัสตะวันตกไม่ต้อนรับคนที่น่ารังเกียจเช่นพวกเจ้า!” ชายหนุ่มร่างกำยำเหวี่ยงค้อนยักษ์ในมือพลางตะโกนเสียงดัง มันดังสนั่นราวกับอัสนีพิโรธ
“ฮึ่ม! สระชำระกระบี่แห่งนี้เป็นของพวกข้าแล้ว ถ้าจะมีใครไป ก็ต้องเป็นพวกเจ้านั่นแหละ สวะอย่างพวกเจ้าไม่สมควรได้สถานที่อันล้ำค่าแห่งนี้! มันไม่ต่างอะไรกับการผลาญของดีที่ทวยเทพประทานให้ไปอย่างเสียเปล่า!”
“ถูกต้อง พวกเจ้า ไอ้งั่งทั้งหกบนยอดเขาจรัสตะวันตกกำลังทำให้นิกายกระบี่เก้าเรืองรองของพวกข้าเสื่อมเสีย หากข้าเป็นพวกเจ้า คงจะปลิดชีพตัวเองไปแล้ว”
“ไสหัวออกไปได้แล้ว! เดี๋ยวจะทุบให้หัวแตกเลยถ้ายังไม่ไปอีก!”
กลุ่มคนพวกนี้ยังคงขู่ฟ่อ พร้อมทั้งเย้ยหยัน คุกคามและสบถคำอย่างต่อเนื่อง มันทำให้ชายหนุ่มเริ่มสั่นเทาจนแทบจะระเบิดโทสะออกมา
“พวกเจ้าทุกคน… ช่างไร้ยางอายเกินจะหาคำบรรยาย หรือว่าพวกเจ้าจะไม่กลัวท่านอาจารย์ลงโทษหลังจากที่เขากลับมาเลยอย่างนั้นรึ!?” ชายหนุ่มร่างกำยำกัดฟันของเขา โกรธจนเส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปน
“หุบปาก! ท่านอาจารย์ลุงหลิ่วไม่ได้กลับมาตั้งเก้าปี ท่านคงจะลืมสวะอย่างพวกเจ้าไปนานแล้ว” ชายหนุ่มชุดม่วงที่กล่าวมาตั้งแต่ต้น จู่ ๆ ก็กล่าวย้ำเสียงแข็ง “ข้าจะให้โอกาสสุดท้ายแก่พวกเจ้า จะออกไปเองหรือจะให้พวกข้า ‘พา’ เศษสวะอย่างพวกเจ้าออกไปแทน?”
ชายหนุ่มและพวกพ้องต่างตะลึงงันจนพูดไม่ออก สีหน้าของพวกเขาหม่นหมองลง
พวกเขาเพียงแค่อยากจะบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งเต๋าที่พวกเขาหลงรักอย่างสบายใจ ละทิ้งความสำเร็จทางโลกและไม่มีความตั้งใจที่จะสร้างศัตรูแต่อย่างใด ใครจะคาดฝันได้ว่าความเมตตาเจตนาดีของพวกเขาจะนำมาซึ่งผลร้ายเช่นนี้?
หรือว่าจะไม่มีวิมานแห่งใดบนโลกใบนี้ที่สามารถรองรับได้ทุกคน?
ในขณะที่พวกเขามองดูสีหน้าเย้ยหยันของอีกฝ่าย ก็รู้สึกถึงความสับสนงงงวยอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ซ้ำยังรู้สึกทรมานใจมากอีกด้วย
“ใครบอกว่ายอดเขาจรัสตะวันตกมีแต่พวกสวะ?” บัดนี้ น้ำเสียงเยือกเย็นไม่แยแสดังก้องอยู่ทั่วสวรรค์และโลกดั่งสายฟ้าฟาด มันกระแทกใส่ทุกคนในพื้นที่จนแก้วหูแทบจะแตกเป็นเสี่ยง!