บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 557 ไม่ว่าใครก็ห้ามหนี

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 557 ไม่ว่าใครก็ห้ามหนี

บทที่ 557 ไม่ว่าใครก็ห้ามหนี

เสียงโพล่งที่ดังก้องขึ้นมานั้นเต็มไปด้วยความเย็นชาและไม่แยแส อีกทั้งยังเผยให้เห็นเจตนาฆ่าอย่างไม่ปิดบัง จึงทำให้สีหน้าของทุกคนที่อยู่ที่นี่ในตอนนี้พลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

“ใครกัน?”

“หรือว่ามีผู้เยี่ยมยุทธ์คนอื่นในยอดเขาจรัสตะวันตกนอกจากพวกลาโง่ทั้งหกคนนี้?”

ชายหนุ่มผู้มีรูปร่างกำยำผมสีแดงเข้มและคนอื่น ๆ ก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน เสียงนี้ไม่คุ้นเคยสำหรับพวกเขา และดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันตกเสียด้วย!

ฟุ่บ! ฟุ่บ!

ทันใดนั้น จู่ ๆ ก็มีร่างสองร่างปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งพวกเขาก็ยืนอยู่ที่ตรงหน้าของชายหนุ่ม

คนที่เป็นผู้นำมีใบหน้าหล่อเหลา นัยน์ตาลึกล้ำ ท่าทางเคร่งขรึม รูปร่างสูงใหญ่ และมีท่าทางที่ไม่ธรรมดา ย่อมไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเฉินซี ส่วนคนที่ยืนอยู่ข้างเขาย่อมคือชิงอวี่อย่างแน่นอน

“ศิษย์น้องชิงอวี่หรือ?” ชายหนุ่มคนเดิมตกตะลึงเมื่อเขาจำชิงอวี่ได้ จากนั้นเจ้าตัวก็หัวเราะอย่างขมขื่นและมีสีหน้าหม่นหมองอีกครั้ง เป็นเพราะรู้ตัวดีว่า ต่อให้ชิงอวี่รุดมาช่วยเหลือ ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าได้

“ศิษย์พี่ใหญ่ ไอ้สารเลวพวกนี้ตั้งใจจะยึดสระชำระกระบี่หรือ?” ชิงอวี่โกรธจัดจนกัดฟันพูด

“ลืมมันไปเสีย หากเราไม่สามารถทำอะไรกับพวกมันได้จริง ๆ …เช่นนั้นเราก็มอบให้กับพวกมันไปเถอะ” ชายหนุ่มส่ายหัวด้วยความสลดใจและผิดหวังเป็นอย่างมาก

“ศิษย์พี่ โปรดสงบสติอารมณ์ ปล่อยเรื่องนี้ให้ศิษย์น้องของท่านจัดการเถอะ” เฉินซีโพล่งขึ้น พร้อมกับยิ้มให้กับชายหนุ่มคนนั้นและคนอื่น ๆ หลังจากนั้นเขาก็ก้าวไปข้างหน้าในขณะที่รอยยิ้มก็เลือนหายไปและเบนสายตาไปยังกลุ่มคนที่ยืนอยู่ตรงข้ามด้วยสายตาเย็นชา

“ศิษย์น้องชิง คนผู้นี้คือใครกัน?” ชายหนุ่มกำยำและคนอื่น ๆ ตกตะลึงที่ถูกเฉินซีเรียกว่าศิษย์พี่ จึงทำให้พวกเขางุนงงเป็นอย่างมาก

“ศิษย์พี่ใหญ่ เขาคือ…” ชิงอวี่รีบอธิบายเรื่องราวทั้งหมดของเฉินซีผ่านกระแสปราณให้แก่ชายหนุ่มกำยำและคนอื่น ๆ รับรู้

เมื่อเห็นคนที่มาถึงคือชิงอวี่กับชายหนุ่มแปลกหน้า ชายหนุ่มชุดม่วงและคนอื่น ๆ ก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกทันที จากนั้นรอยยิ้มเย็นชาก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของพวกเขาอีกครั้ง

ในฐานะศิษย์ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง พวกเขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่า ชิงอวี่เป็นเพียงเศษขยะขี้ขลาด และการมาถึงของคนผู้นี้ก็ไม่สามารถทำให้เกิดผลกระทบต่อสถานการณ์นี้ได้

ส่วนชายหนุ่มที่ยืนอยู่เคียงข้างชิงอวี่นั้น แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ในเมื่อเป็นสหายกับเศษขยะอย่างชิงอวี่ แล้วคนผู้นี้จะแข็งแกร่งได้อย่างไร? ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดที่จะต้องกังวล

“หึ! ข้าไม่เคยคาดคิดเลยว่าศิษย์น้องชิงอวี่ผู้ไม่เคยตอบโต้กลับ ดันคิดจะสอดมือช่วยเหลือเช่นนี้? ช่างเป็นภาพที่หาได้ยากนัก” ชายหนุ่มคนนั้นกำลังประเมินเฉินซีด้วยสายตา ก่อนที่ดวงตาอันแคบและยาวของเขาจะเผยให้เห็นถึงความรังเกียจ และกล่าวเย้ยหยันว่า “ดูเหมือนจะคนผู้นี้จะไม่ใช่ศิษย์ชั้นสูงของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองของเรา ศิษย์น้องชิงอวี่ หรือว่าเจ้าไปพาเขามาจากบรรดาศิษย์สายในใช่หรือไม่?”

“ศิษย์สายใน? ศิษย์น้องชิงอวี่ช่างมีสหายมากมายเสียจริง ๆ” คนอื่น ๆ ต่างหัวเราะเยาะเย้ยถากถาง

“เอาล่ะ เพียงเพราะคำว่า ‘ศิษย์สายใน’ เจ้าจะต้องชดใช้ด้วยแขนหนึ่งข้าง” เฉินซีกล่าวอย่างใจเย็น เขาสังเกตเห็นเหตุการณ์ที่คนคนนี้ได้กลั่นแกล้งศิษย์พี่ใหญ่และคนอื่น ๆ จึงทำให้เจตนาฆ่าในหัวใจของชายหนุ่มพวยพุ่งขึ้นมา

“ช่างเป็นน้ำเสียงที่ดูสูงส่งยิ่งใหญ่เสียจริง! นี่เจ้าไม่กลัวถูกข้าตัดลิ้นทิ้งหรือไร?!” ชายหนุ่มชุดม่วงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่น่าสะพรึงกลัว “ไอ้หนู ประกาศชื่อออกมาซะ ข้าตงฉี่ไม่ฆ่าคนที่ไร้นาม!”

ตงฉี่ไม่ใช่คนโง่เขลา และการที่เขากล่าวเช่นนี้ ก็เพื่อเสาะหาที่มาของเฉินซี เพราะเมื่อคนคนนี้เผชิญหน้ากับเขาและคนอื่น ๆ เพียงลำพัง แต่ใบหน้าของอีกฝ่ายยังคงนิ่งสงบและไม่แยแส ซึ่งดูผิดปกติเป็นอย่างมาก

“สารเลวอย่างเจ้าไม่มีค่าพอที่จะรู้ชื่อของข้าหรอก!” เฉินซีกล่าวอย่างเฉยเมย

“บังอาจ! เจ้ากำลังรนหาที่ตาย! นี่เจ้ากล้าดูหมิ่นศิษย์พี่ใหญ่ตงฉี่หรือ!”

“ไอ้หนู เจ้ากล้ากล่าววาจาสามหาวรึ!”

“จงก้มหัวคุกเข่าและรีบขอขมาซะ แล้วครั้งนี้พวกเราจะไว้ชีวิตเจ้า!”

เหล่าศิษย์ที่ยืนอยู่ข้างหลังตงฉี่ ล้วนตวาดสาปแช่งอย่างต่อเนื่องและกระเหี้ยนกระหือรือที่จะลงมือ

“พอได้แล้ว” ใบหน้าของชายหนุ่มถมึงทึง ในขณะที่ความโกรธวูบวาบภายในดวงตาของเขา จากนั้นเจ้าตัวก็สูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อระงับเปลวไฟที่อยู่ในใจ ก่อนจะกล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้มเย็นชาว่า “แล้วกันไปเถอะ จากรูปลักษณ์ที่ไม่คุ้นตาของเจ้า เจ้าน่าจะเป็นศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในนิกาย ดังนั้นผู้ไม่รู้จึงไม่ผิดและข้าจะให้โอกาสครั้งสุดท้ายแก่เจ้า จงจากไปตอนนี้ซะ แล้วข้าจะถือว่าไม่มีเกิดอะไรขึ้น มิฉะนั้น…”

“มิฉะนั้น แล้วจะทำไมหรือ?” ท่าทางของเฉินซีไม่แยแสและเอ่ยถามโดยไม่ลังเล

“เจ้าดูจะอยากแส่หาเรื่องเจ็บตัวใช่หรือไม่?” สีหน้าของตงฉี่มืดมนเป็นอย่างมาก “ข้าจะกล่าวอีกครั้งเดียว นี่เป็นเรื่องระหว่างเรากับศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันตก หากเจ้าคิดสอดมือเข้ามา ก็จงระวังชีวิตของตัวเองให้ดีล่ะกัน!”

“อ้อ ข้าลืมบอกเจ้าไป อันที่จริง ข้าก็เป็นศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันตกเช่นกัน” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เฉยเมยอย่างมาก จากนั้นเขาก็กวาดสายตาไปทางตงฉี่และคนอื่น ๆ “ตอนนี้ ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าทุกคนได้จากไป ถ้าพวกเจ้าคุกเข่าลงขอขมาในตอนนี้ซะ หรือว่าอยากให้ข้าต้องลงมือเอง ถ้าถึงตอนนั้น ข้ามิอาจรับได้ประกันว่าจะเผลอฆ่าพวกเจ้าหรือไม่..”

“ช่างยโสโอหังเสียจริง! เจ้าคิดว่าตัวเป็นใคร เหตุใดข้าถึงต้องกล่าววาจาไร้สาระไปมากมาย!” ตงฉี่ไม่อาจยับยั้งความโกรธในใจได้อีกต่อไป เขาหัวเราะอย่างน่ากลัว ก่อนจะชี้นิ้วออกไปทันที

ฟิ้ว!

ปราณกระบี่ทองคำอันคมกริบได้พุ่งจากนิ้วมือของเขาและโจมตีเข้าใส่อีกฝ่ายโดยตรง

ปราณกระบี่สายนี้มีความยาวหลายสิบฉื่อ กว้างขวางดุจประตู อีกทั้งยังแฝงไปด้วยเต๋ารู้แจ้งแห่งโลหะที่ดุร้ายและเฉียบคม ซึ่งปล่อยกลิ่นอายที่จะทะลวงและสังหารสรรพสิ่งด้วยพลังทั้งหมดออกมา

นี่คือปราณกระบี่บงกชทองคำ ซึ่งเป็นกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าที่สมบูรณ์แบบของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง หากผู้ใดได้บ่มเพาะปราณกระบี่นี้ คนผู้นั้นก็ไม่จำเป็นมีสมบัติวิเศษใด ๆ เพียงซัดปราณกระบี่ออกไปเบา ๆ พลังทำลายล้างของมันก็น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่ากระบี่บินที่เป็นสมบัติวิเศษเสียด้วยซ้ำ

ตามตำนานที่เล่าขาน นิกายกระบี่เก้าเรืองรองถูกสร้างขึ้นโดยดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดตามธรรมชาติในยุคบรรรพกาล ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ดอกนี้ถือกำเนิดขึ้นในขณะที่คว้าสวรรค์และโลก กลีบทั้งเก้าของมันแสดงให้เห็นถึงรัศมีศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้าประเภท ซึ่งประทับด้วยมหาเต๋าที่ลึกล้ำ และยากที่จะจินตนาการถึง

ว่ากันว่าคัมภีร์เก้าเรืองรองที่ถูกเก็บอยู่ในหอหมื่นคัมภีร์ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองในปัจจุบันนั้น ถูกสร้างขึ้นจากกลีบดอกบัวศักดิ์สิทธิ์นี้ อีกทั้งมันยังมีโลกและมหาเต๋าของตัวเองอยู่ภายใน

บรรพบุรุษของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองในอดีตได้บรรลุคัมภีร์เก้าเรืองรองอย่างถ่องแท้ จึงสามารถบัญญัติกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าและพลังอิทธิฤทธิ์ได้มากมายดุจดวงดาวบนท้องฟ้า

ซึ่งปราณกระบี่บงกชทองคำที่เป็นกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าและทรงพลังเป็นอย่างมากนั้น ก็เป็นเคล็ดวิชาส่วนหนึ่งของคัมภีร์เก้าเรืองรอง!

ฟิ้ว!

ปราณกระบี่ฉีกผ่านท้องฟ้าราวกับลำแสงสีทองที่สามารถทะลวงผ่านพระอาทิตย์ได้ อีกทั้งยังรุนแรงและรวดเร็วอย่างสุดขีด

อย่างไรก็ตาม ท่าทางของเฉินซียังคงไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเผชิญหน้ากับปราณกระบี่นี้ เขาเพียงยื่นมือออกไปจับปราณกระบี่โดยตรง ในขณะที่พลังแห่งการทำลายล้างก็ไหลออกมาระหว่างนิ้วทั้งห้า

ชายหนุ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วยิ่ง พลังแห่งการทำลายล้างในฝ่ามือถูกปกคลุมด้วยแสงสีดำสนิทอันน่าสะพรึงกลัวและเต็มไปด้วยแรงสั่นสะเทือน จากนั้นเขาก็กำหมัดกักขังปราณกระบี่สายนี้โดยตรง!

เพล้ง! เพล้ง!

ปราณกระบี่บงกชทองคำเปล่งเสียงแตกร้าวออกมา จากนั้นมันก็หดตัวลงอย่างต่อเนื่องและใกล้จะพังทลาย

ทว่าตงฉี่ก็ไม่ได้ตกใจ แต่กลับยินดีเมื่อเห็นสิ่งนี้ และเขาก็เผยรอยยิ้มที่ประสบความสำเร็จในแผนการของตน ก่อนที่ในช่วงเวลาสำคัญ เสียงฟ้าร้องในฤดูใบไม้ผลิจะดังออกมาจากปากของเขา “บงกชพิโรธ ปะทุจรัสแสง!”

โอม! โอม! โอม!

ปราณกระบี่บงกชทองคำที่ถูกกำแน่นอยู่ในมือของเฉินซีนั้น จู่ ๆ ก็เปล่งเสียงหวีดแหลมอย่างรุนแรงและควบแน่นเป็นเม็ดทองคำ จากนั้นมันก็บานสะพรั่งเหมือนดอกบัวอย่างฉับพลัน และกลีบดอกก็แตกกระจายออกไปเป็นใบมีดที่คมกริบ

“บงกชพิโรธ! ศิษย์พี่ใหญ่ตงฉี่ได้บ่มเพาะปราณกระบี่บงกชทองคำถึงระดับดังกล่าวแล้ว กระบวนท่านี้จะทำลายทุกสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า และไม่สามารถป้องกันได้อย่างแน่นอน! เมื่อหลายปีก่อน ท่านประมุขก็ใช้กระบวนท่านี้กวาดล้างปีศาจไปนับไม่ถ้วน!” ทุกคนที่อยู่เบื้องหลังตงฉี่ต่างตกใจสุดขีด

“ศิษย์น้องเฉินซีจะตกอยู่ในอันตรายหรือไม่?” ศิษย์พี่ใหญ่หั่วโม่เลยและคนอื่น ๆ ต่างมีสีหน้าเปลี่ยนไป แม้ว่าพวกเขาจะไม่ชอบการต่อสู้ แต่พวกเขาก็ยังมีสายตาที่เฉียบแหลม ดังนั้นคนเหล่านี้จะไม่รับรู้ได้อย่างไรว่า กระบวนท่าที่ตงฉี่ใช้ออกมานั้นคือ กระบวนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในเคล็ดวิชาปราณกระบี่บงกชทองคำ!

แขนของเฉินซีดูราวจะถูกระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยกระบวนท่านี้ แต่ในช่วงเวลาวิกฤต จู่ ๆ ก็มีเสียงระเบิดดังก้องออกมา ในขณะที่ลูกพายุสายฟ้าก็พุ่งออกมาจากฝ่ามือของชายหนุ่ม และมันก็กลืนกินปราณกระบี่บงกชทองคำที่เป็นเหมือนกับใบมีดเล็ก ๆ จนหมดสิ้น

มันดูเหมือนตุ๊กตาวัวดินที่จมลงไปในมหาสมุทร ซึ่งไม่ก่อให้เกิดคลื่นใด ๆ และไม่อาจทำร้ายเขาได้เลยแม้แต่น้อย

“เป็นไปได้อย่างไรกัน! นี่มันเคล็ดวิชาอะไรกัน!?” ดวงตาของคู่ต่อสู้หดตัวลงอย่างกะทันหันและอุทานด้วยความตกใจโดยไม่รู้ตัว

สีหน้าของคนอื่น ๆ ที่อยู่ข้างกายเขาก็เต็มไปด้วยความตกใจเช่นกัน และพวกเขาไม่อยากเชื่อว่า เฉินซีจะทำลายกระบวนท่านี้ด้วยมือเปล่าจริง ๆ!

“เจ้ามีฝีมือเพียงน้อยนิด แต่ยังกล้าทำตัวเป็นทรราชที่ยอดเขาจรัสตะวันตกของข้าอีกหรือ?” การจ้องมองของเฉินซีนั้นเย็นชาในขณะที่เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า “ในเมื่อพวกเจ้าทุกคนไม่เต็มใจที่จะคุกเข่าและขอขมา งั้นก็รับการลงโทษจากยอดเขาจรัสตะวันตกของข้าซะ!”

ฟุ่บ!

ในขณะที่เสียงของชายหนุ่มยังไม่ทันจะจางหายไป เขาก็หายไปจากจุดนั้นแล้ว

“หนีเร็วเข้า!” เมื่อสัมผัสถึงเจตนาฆ่าที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของเฉินซี ใบหน้าของตงฉี่ก็ซีดลง จากนั้นก็เขาก็หันหลังกลับและยืนอยู่บนลำแสง ก่อนจะทะยานผ่านท้องฟ้าโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย!

“หากข้าปล่อยเจ้าหลบหนีไปได้ แล้วยอดเขาจรัสตะวันตกของข้าจะมีหน้าเหลืออยู่อีกหรือ?!” เสียงที่ไม่แยแสของเฉินซีลอยล่องอยู่ในอากาศ ในขณะที่ร่างของเขาเป็นเหมือนลำแสงที่ส่องประกายสองสามครั้ง ก่อนจะมาถึงด้านหลังของตงฉี่ จากนั้นชายหนุ่มก็รวบนิ้วเพื่อสร้างปราณกระบี่และฟันลงไปที่อีกฝ่ายอย่างดุเดือด

“อ๊าก!!!” ตงฉี่ร้องโหยหวนอย่างน่าสังเวช อันเนื่องจากแขนขวาถูกฟันขาด ทำให้เลือดสดพุ่งกระฉูดออกมาราวกับน้ำพุ มันเจ็บปวดสาหัสจนร่างของเจ้าตัวเซและเกือบร่วงจากกลางอากาศ

ตุ้บ!

ในชั่วพริบตาต่อมา เขาถูกเฉินซีคว้าไว้แล้วโยนลงบนพื้นเหมือนเศษขยะ ทำให้ฝุ่นดินฟุ้งกระจายไปในอากาศ

“หนี!”

เมื่อเห็นฉากนี้ ร่างกายสหายของตงฉี่ก็สั่นสะท้านและวิญญาณของพวกเขาแทบหลุดออกจากร่าง จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของพวกเขาพังทลาย ตกใจกลัวจนหนีไปคนละทิศคนละทาง และดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ต้องการสิ่งอื่นใด นอกจากภาวนาต่อบุพการีผู้ให้กำเนิดพวกเขาว่าน่าจะเพิ่มขามาให้อีกสักสองข้างตอนพวกตนเกิด

ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ!

แต่ไม่ว่าจะหนีได้รวดเร็วสักแค่ไหนหรือไม่ว่าจะหนีไปทางใด ก็มักมีร่างสีดำปรากฏอยู่เบื้องหน้าพวกเขาเหมือนภูตผี จากนั้นฝ่ามือที่เหมือนค้อนก็ฟาดพวกเขาจนกระเด็นออกไปทีละคน ทำให้คนทั้งหมดกระเด็นกลับไปสู่ตำแหน่งเดิมก่อนที่จะหลบหนีและร้องด้วยความเจ็บปวด

ทันใดนั้น ทั่วทั้งริมสระชำระกระบี่ดูราวกับฝนกำลังโปรยปรายลงมา อันเนื่องจากผู้คนมากมายได้ลอยมากระแทกพื้นและกลิ้งไปมาเหมือนขวดน้ำเต้า พร้อมกับร้องโหยหวนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น หั่วโม่เลยกับคนอื่น ๆ ต่างตกตะลึง พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า ศิษย์น้องคนใหม่ของพวกเขาจะมีฝีมือร้ายกาจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ และไม่เพียงแต่จะตัดแขนขวาของหัวโจกอย่างตงฉี่เท่านั้น ชายหนุ่มยังไม่ปล่อยให้คนอื่น ๆ หนีไปได้แม้แต่คนเดียว!

เฉินซีปัดฝุ่นที่แขนเสื้อของเขาขณะที่ก้าวเดินไปอย่างช้า ๆ สายตาที่จ้องมองกลุ่มคนที่กำลังร้องโหยหวนอยู่บนพื้นของชายหนุ่มนั้นไม่มีความสงสารเลยแม้แต่น้อย ด้วยถ้าไม่ใช่เพราะเขามาได้ทันเวลา คนที่นอนอยู่บนพื้นก็น่าจะเป็นศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่คนอื่น ๆ

“ศิษย์พี่ชิงอวี่ มีศิษย์คนอื่น ๆ อยู่บนยอดเขาจรัสตะวันตกของเรากี่คนขอรับ?” เฉินซีเอ่ยปากถาม

“ทั้งหมดร้อยสามสิบสองคน” ชิงอวี่ตอบโดยไม่ลังเล

“มากมายขนาดนี้เลยหรือ?!” ชายหนุ่มตกตะลึง จากนั้นเขาก็พยักหน้า “เอาล่ะ วันนี้ข้าจะฉวยโอกาสนี้กวาดล้างพวกวายร้ายที่ยึดครองยอดเขาจรัสตะวันตกของเราให้หมด เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในภายภาคหน้า”

ขณะที่พูด ร่างของเขาก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ชายหนุ่มยืนอย่างภาคภูมิอยู่ในมวลเมฆและจ้องมองลงไปที่ยอดเขาจรัสตะวันตกซึ่งอยู่ด้านล่าง ก่อนจะกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “นับจากนี้เป็นต้นไป ศิษย์ทุกคนที่ไม่ได้มาจากยอดเขาจรัสตะวันตกของข้า จงไสหัวออกไปจากที่นี่เสีย!

คำพูดซึ่งสั่นสะเทือนทั้งท้องฟ้าของเฉินซีดุจเสียงคำรามของพยัคฆ์และมังกร และดังก้องไปทั่วทั้งยอดเขาจรัสตะวันตกทั้งหมด

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท