บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 561 ทะเลการรู้แจ้งแห่งเต๋า

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 561 ทะเลการรู้แจ้งแห่งเต๋า

บทที่ 561 ทะเลการรู้แจ้งแห่งเต๋า

ณ ยอดเขาจรัสตะวันตก

เฉินซีกับคนอื่น ๆ มองวิปลาสหลิ่วแล้วก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อ

วิปลาสหลิ่วพลันเปลี่ยนท่าทีในตอนนั้น เขาเผยแววจริงจังเคร่งขึงที่นาน ๆ ครั้งจะปรากฏ ราวกับกำลังตระเตรียมแผนการก่อนลาโลก และแม้น้ำเสียงจะสงบนิ่ง แต่เฉินซีกับคนอื่น ๆ สามารถรับรู้ได้ถึงความลังเลใจและอารมณ์อ่อนไหวที่อยู่ภายในใจของอีกฝ่ายได้

“อาจารย์ ท่านจะไปจริง ๆ หรือขอรับ?” นัยน์ตาของชิงอวี่แดงพลางเอ่ยถามเสียงเบา

ไม่ใช่เพียงแค่ชิงอวี่ คนอื่น ๆ เองก็มีสีหน้าเศร้าใจและลังเลไม่แพ้กัน ใครจะคิดว่าหลังจากไปเก้าปี เมื่อกลับมาแล้ววิปลาสหลิ่วก็จะจากไปอีกเช่นนี้?

มีเพียงเฉินซีที่เข้าใจว่าชายชราไร้ทางเลือก จำต้องจากไปในครั้งนี้ ด้วยเมื่อครั้งที่พวกเขาอยู่ในเมืองบรรพกาล ตัวตนผู้ละทิ้งสวรรค์ของวิปลาสหลิ่วได้ถูกเปิดเผยแล้ว จากที่ปิงซื่อเทียนกล่าว วิปลาสหลิ่วสามารถอยู่ในภพมนุษย์ได้มากสุดอีกสามวันเท่านั้น ก่อนที่จะถูกบีบบังคับกลับสู่ภพเซียน

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ชายหนุ่มก็อดรู้สึกผิดในใจไม่ได้ เขารู้ดีว่าเหตุผลที่ชายชราถูกเปิดเผยตัวตนเป็นเพราะเขาทั้งสิ้น และความเมตตานี้ก็ทำให้ชายหนุ่มสงบใจลงได้ยากยิ่ง

แม้จะไม่ได้ติดต่อกับวิปลาสหลิ่วมาเป็นเวลานาน เฉินซีก็สามารถสัมผัสถึงความรู้สึกของวิปลาสหลิ่วได้ว่าอีกฝ่ายยอมรับตัวเขาเป็นศิษย์อย่างแท้จริง

“เอาล่ะ ๆ ต่อไปพวกเจ้าบ่มเพราะพลังจนกลายเป็นเซียน ถึงตอนนั้นก็ได้พบกันอีกไม่ใช่หรือ?” วิปลาสหลิ่วมุ่นคิ้วโบกมือ สีหน้าเศร้าโศกไม่อยากให้จากไปของพวกลูกศิษย์ทำให้ชายชรารู้สึกปั่นป่วนในใจเช่นกัน เขาใช้ชีวิตอย่างไร้กฎเกณฑ์มาตลอด ทั้งยังมีใจเปิดกว้างไม่สนสิ่งใด ดังนั้นจึงไม่อาจทนความเศร้าเสียใจที่ต้องจากกันเช่นนี้ได้

“แต่… ต้องอีกนานเท่าใดเล่าขอรับ?” ศิษย์พี่ชายสูงสุดหั่วโม่เลยเอ่ยเสียงเบา

“เจ้าบื้อ มีความทะเยอทะยานสักนิดไม่ได้เลยหรือไร? ไม่คิดว่าตนเองจะได้เป็นเซียนเช่นนี้ แล้วข้าจะรับเจ้ามาเป็นศิษย์ทำสากกะเบืออะไรเล่า?” วิปลาสหลิ่วโกรธจัดขนาดที่ด่าใส่หน้าหั่วโม่เลย

“อาจารย์พูดถูก” ชายหนุ่มเกาศีรษะตนด้วยสีหน้าละอาย

“พวกเจ้าทุกคนก็เหมือนกัน” วิปลาสหลิ่วหันไปมองหลูเซิงและคนอื่น ๆ ยังคงทำท่าทางดุด่าอย่างต่อเนื่อง “พวกเจ้าเนี่ยเหมือนกับขอนไม้ ศึกษาแต่ของไร้ประโยชน์ได้ทั้งวี่ทั้งวัน ไม่ยอมฝึกบ่มเพาะให้ดี จนถึงขนาดที่เมื่อศัตรูมาถึงหน้าประตูก็ยังไม่กล้าเอ่ยปากสักคำ ล้วนเป็นพวกขี้ขลาดตาขาวทั้งนั้น! ดูซิว่าต่อไปไม่มีใครคอยดูแลแล้วพวกเจ้าจะอยู่กันอย่างไร!”

“คำสอนของอาจารย์นั้นถูกต้องแล้ว” หลูเซิงและคนอื่น ๆ ก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกละอายยิ่ง

หากเป็นเมื่อก่อน วิปลาสหลิ่วก็คงโกรธจนต้องด่ากราดหากเห็นลูกศิษย์ตนเป็นเช่นนี้ แต่ในตอนนี้เขากลับเงียบปาก แววตาทอประกายอ่อนโยน

เฉินซีสังเกตเห็นแววตานั้น และอดถอนหายใจไม่ได้ ไม่ว่าจะดุด่าพวกเขาสักแค่ไหน ในใจลึก ๆ แล้ว วิปลาสหลิ่วก็ยังรักลูกศิษย์ตนอยู่ดี ซึ่งหากไม่เป็นเพราะเขา มีหรือที่ศิษย์พี่ชายสูงสุดและคนอื่น ๆ จะใช้ชีวิตอยู่บนยอดเขาจรัสตะวันตกได้อย่างสบาย ได้ร่ำเรียนสิ่งที่ตนชอบ โดยไม่ต้องถูกโลกภายนอกรบกวนเช่นนี้?

หากพูดอย่างโหดร้ายสักหน่อยก็คือ หากไม่มีวิปลาสหลิ่ว ศิษย์พี่ใหญ่และคนอื่น ๆ ก็คงถูกไล่ออกจากนิกายไปตั้งนานแล้ว นิกายกระบี่เก้าเรืองรองมีรากฐานคือกระบี่ สิ่งที่พวกเขาบ่มเพาะไม่นับเป็นประโยชน์ในสายตาคนอื่น ย่อมถูกคนอื่นตำหนิและเลือกปฏิบัติเป็นแน่

“ต่อไปภายภาคหน้า เรื่องทุกอย่างบนยอดเขาจรัสตะวันตกจะให้ศิษย์น้องเล็กของพวกเจ้าเป็นคนจัดการ ให้ทำตามที่เขาบอกทุกอย่าง พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?” วิปลาสหลิ่วเงียบไปนานก่อนเอ่ยขึ้นช้า ๆ

หั่วโม่เลยและคนอื่น ๆ พยักหน้าพร้อมกันอย่างไม่ลังเล

“เอาล่ะ กลับไปทำงานของตนเองเถอะ เฉินซี เจ้าอยู่ก่อน” วิปลาสหลิ่วโบกมือกล่าว

“ต่อไป ทุกอย่างบนยอดเขาจรัสตะวันตกให้เจ้าเป็นคนตัดสินใจแล้ว” หลังจากหั่วโม่เลยกับคนอื่น ๆ จากไปแล้ว วิปลาสหลิ่วก็จ้องเฉินซีเขม็ง “มีเจ้าอยู่ข้าก็วางใจ”

“อืม” เฉินซีพยักหน้า “อาจารย์ไม่ต้องห่วง ข้าจะจัดการทุกอย่างเอง”

ถึงตอนนี้ แม้วิปลาสหลิ่วจะสั่งอะไรเพิ่ม เขาก็จะไม่ปฏิเสธ เพราะเขาติดหนี้อีกฝ่ายไว้มากจริง ๆ มีแต่ต้องพยายามทำสิ่งที่ชายชราขอไว้ให้ได้ ใจจึงจะไม่รู้สึกผิด

“ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปหอหมื่นคัมภีร์บนยอดเขาจรัสสสาร ในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์นิกายกระบี่เก้าเรืองรอง อย่างไรก็ต้องทำความคุ้นเคยกับวิชาของนิกายไว้” วิปลาสหลิ่วยิ้มแล้วตบไหล่ชายหนุ่ม เขาไม่ได้พูดอะไรอีก ก่อนจะเคลื่อนตัวออกไป พาเฉินซีทะยานไปพร้อมกัน

ยอดเขาจรัสสสารตั้งอยู่เบื้องหลังยอดเขาจรัสสัตย์จริง มันมีรูปร่างเหมือนหม้อขนาดใหญ่ สูงจนบดบังฟ้า ปลดปล่อยลำแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา หมู่เมฆลอยม้วนเคล้ากับหมอก เป็นดั่งแดนเซียนก็มิปาน

ภายใต้การนำทางของวิปลาสหลิ่ว ทั้งสองก็เหินร่างลงมาบนยอดเขาจรัสสสารภายในเวลาไม่นาน

ที่นี่มีหอเพียงหลังเดียวตั้งอยู่ มันสร้างจากหินขนาดใหญ่ที่มีความสูงกว่าหกลี้ ทะลุขึ้นชั้นเมฆไปทีเดียว เหมือนกับเป็นตำหนักศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างขึ้นอยู่เหนือสวรรค์ชั้นเก้า ปลดปล่อยกลิ่นอายโบราณดูโอ่อ่า อีกทั้งรอบข้างยังมีหินปูนปูเป็นแนวยาว นำไปสู่สถานที่ต่าง ๆ บนยอดเขา

ตอนนี้มีศิษย์มากหลายกำลังเดินทางไปมา เมื่อเห็นวิปลาสหลิ่วกับเฉินซีเหินร่างลงมาก็รีบโค้งตัวให้ ก่อนส่งสายตาสงสัยมาทางชายหนุ่ม

…ดูเหมือนเขาจะกลายเป็นบุคคลมีชื่อเสียงในนิกายเสียแล้ว

ทว่าชายชราไม่ได้สนใจพวกเขา นำเฉินซีเดินตรงไปยังหอโบราณ ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ เฉินซีก็ยิ่งรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่และความเก่าแก่ของสถานที่แห่งนี้ ราวกับมันตั้งตระหง่านอยู่เช่นนี้ตั้งแต่โบราณกาล แผ่กลิ่นอายโบราณดูกดดัน ก่อให้เกิดความเคารพนับถือขึ้นในใจคน

ความเก่าแก่ของมันเป็นสัญลักษณ์ถึงทรัพยากรและมรดกสืบทอดของนิกาย มีแต่กองกำลังที่ไม่ธรรมดาอย่างนิกายกระบี่เก้าเรืองรองเท่านั้นจึงจะสามารถรักษาสถานที่อันเป็นมรดกล้ำค่าเช่นนี้มานานนับปีได้

เฉินซีเงยหน้ามองหอเบื้องหน้า ในใจเกิดความรู้สึกสงสัย ในฐานะที่มันเป็นหนึ่งในสิบนิกายเซียนแดนภวังค์ทมิฬ มรดกที่สืบทอดมาในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองจะล้ำค่าแค่ไหนกัน?

ทว่าหลังจากนั้นสายตาของชายหนุ่มก็จับจ้องไปทางชายชราที่ยืนอยู่เบื้องหน้าหอแห่งนั้น

ชายชราสวมชุดคลุมสีเทาและดูมีอายุมาก เหลือผมอยู่เพียงไม่กี่เส้น รอยย่นบนใบหน้าราวกับรอยแตก เขากำลังเอนหลังอยู่บนเก้าอี้โยกด้านหน้าหอ ขณะหรี่ตาอาบแดดอยู่

บนตักยังมีเจ้าแมวอ้วนตัวสีดำนอนซุกอยู่ ขนของมันดูหนานุ่มเป็นสีดำสนิท นอนหรี่ตาเกียจคร้านอาบแสงอาทิตย์ท่าทางเหมือนชายชรา

ชายชราผู้นี้มีท่าทางเหมือนผู้เฒ่าทั่วไปในแดนมนุษย์ ที่กำลังใช้วันเวลาที่เหลืออยู่อย่างมีความสุข ไร้กลิ่นอายใดปลดปล่อยออกมา ส่วนเจ้าแมวสีดำก็เหมือนแมวธรรมดาเช่นกัน ไม่เหมือนกับเป็นสัตว์วิญญาณแต่อย่างใด ทว่าเมื่อความธรรมดาอย่างถึงที่สุดเช่นนี้มาปรากฏอยู่เบื้องหน้าหอหมื่นคัมภีร์ มันจึงดูไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง

“ไปเถอะ” วิปลาสหลิ่วเหลือบมองเฉินซี ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องโถงตำรา ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ได้เหลือบมองชายชราที่อยู่บนเก้าอี้โยกแต่อย่างใด

เฉินซีจึงเก็บความคิดเอาไว้แล้วรีบติดตามไป

หลังจากผลักประตูเปิดออก สิ่งที่เฉินซีเห็นเป็นอย่างแรกคือพื้นที่ขนาดใหญ่ ฟ้ากว้างเป็นสีน้ำเงินสดใส มีเมฆขาวประดับประปราย ขุนเขาตั้งตระหง่านและทลายลง มีตะวันลอยเด่นอยู่ตรงกลาง ปลดปล่อยแสงสว่างจ้า

อีกฟากฝั่งคือมหาสมุทรกว้างใหญ่ น้ำทะเลสีใส บนผิวน้ำคือดอกบัวนับไม่ถ้วนที่ปลดปล่อยแสงเรืองสีทองอยู่ เป็นภาพที่ดูงดงามตานัก

เฉินซีรู้สึกประหลาดใจ เพราะบนยอดเขาเหล่านั้นยังมีชั้นหนังสือตั้งเรียงรายอยู่ แต่ละชั้นสูงเสียดเมฆ เต็มไปด้วยหนังสือมากมาย พวกมันอยู่ในรูปของคัมภีร์หยก แผ่นไม้ไผ่ คัมภีร์หินทองคำ แผ่นหยก กระทั่งใบไม้แกะสลัก หนังอสูร หมู่เมฆ… เรียงรายกันเป็นชั้นและทำจากวัสดุหลากหลายชนิด

เป็นภูเขาแห่งคัมภีร์ของแท้!

นอกจากภายในมหาสมุทรกว้างใหญ่ที่มีดอกบัวทองคำลอยอยู่แล้ว ยังมีศิษย์ทั้งหลายที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนนั้น หากไม่กำลังถือคัมภีร์อยู่ ก็กำลังนั่งหลับตาเงียบสงบ หรือไม่ก็อ่านออกเสียงออกมา… กำลังศึกษาคัมภีร์หลากหลายแขนงวิชากันอยู่

การเรียนรู้คัมภีร์หลากหลายเช่นนี้ไม่มีทางลัด หรือไม่มีเรือลำใดที่จะพาข้ามทะเลแห่งความรู้ไปอย่างรวดเร็วได้ จู่ ๆ ก็เกิดประโยคนั้นขึ้นในใจเฉินซี ภาพตรงหน้าเขาคือมหาสมุทรแห่งคัมภีร์ เป็นท้องทะเลแห่งความรู้เลยไม่ใช่หรือไร?

“ภายในหอหมื่นคัมภีร์แตกแขนงออกเป็นโลกของมันเอง ภายในกองหนังสือเหล่านั้นคือคัมภีร์มากมายที่บรรพบุรุษของนิกายรวบรวมเอาไว้ ไม่ได้มีเพียงวิชาบ่มเพาะและพลังอิทธิฤทธิ์เท่านั้น ยังมีที่เกี่ยวกับดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ การแพทย์ โหราศาสตร์ และอื่น ๆ อีก นับว่ามีทุกแขนง” วิปลาสหลิ่วส่งกระแสปราณกล่าวอย่างแผ่วเบา “นอกจากนั้นทะเลแห่งนี้เรียกว่าทะเลการรู้แจ้งแห่งเต๋า เป็นสิ่งที่ผู้สร้างนิกายกระบี่เก้าเรืองรองเหลือทิ้งไว้ หากบ่มเพาะบนดอกบัวเหล่านั้นก็จะได้ผลลัพธ์เป็นสองเท่า”

ภูเขาหนังสือ ทะเลการรู้แจ้งแห่งเต๋า… เฉินซีตกตะลึงอยู่ภายในใจ เทียบกับภาพตรงหน้าแล้ว คลังสมบัติราชวงศ์ซ่งดูเล็กจิ๋วไปเลย

นี่คือทรัพยากรของหนึ่งในสิบนิกายเซียนแห่งแดนภวังค์ทมิฬ ที่มีความเก่าแก่โบราณเสียจนต้องตกใจ

“ต่อไปเจ้าสามารถอ่านทุกอย่างที่นี่ได้ ไม่มีใครกล้าขัดเจ้า ประโยชน์นี้ข้าหามาให้เจ้าด้วยความยากลำบาก หากเป็นศิษย์ชั้นสูงคนอื่นละก็ หึ! แต่ละปีอยู่ที่นี่ได้เพียงเดือนหนึ่งเท่านั้น” ชายชราเอ่ยด้วยสีหน้าภาคภูมิ “มานี่สิ ข้าจะพาเจ้าไปดูมรดกสูงสุดของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองของข้า คัมภีร์เก้าเรืองรอง!”

คัมภีร์เก้าเรืองรอง… เฉินซีตกตะลึง ร่ำลือกันว่าคัมภีร์เก้าเรืองรองได้มาจากกลีบดอกบัวที่บรรพบุรุษผู้สร้างนิกายทิ้งเอาไว้ ภายในมีโลกอยู่ จากนั้นก็พัฒนาขึ้นเป็นมหาเต๋าอันหลากหลายและสูงส่งยิ่ง ซึ่งนับเป็นรากฐานของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง

เป็นเพราะมีคัมภีร์เก้าเรืองรองนี้ นิกายกระบี่เก้าเรืองรองจึงสามารถยืนหยัดอยู่ในสิบอันดับแรกนิกายเซียนแห่งแดนภวังค์ทมิฬมานานนับปี มีชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วโลกหล้า!

“ท่านอาจารย์หลิ่ว!” เป็นจังหวะนั้นเอง น้ำเสียงกระจ่างใสฟังดูไพเราะก็ดังขึ้นมาจากที่ห่างไกล ตามมาด้วยหญิงสาวคนหนึ่งที่วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว

นางสวมชุดสีแดงจัด ขับรูปร่างผอมเพรียวให้เห็นเด่นชัด มีใบหน้างดงาม ลำคอยาวขาวราวหิมะ อกอวบอิ่ม เอวคอด แล้วมีขาเรียวยาวงดงามคู่หนึ่ง นับเป็นภาพที่อธิบายหญิงสาวผู้มีชีวิตชีวาและงดงามคนหนึ่งได้เป็นอย่างดี

พร้อมกับหญิงสาวที่วิ่งมาถึงตรงนี้ ก็มีหลายสายตาที่พุ่งเข้ามาจากหลายทิศทาง แสดงอารมณ์เทิดทูนและหลงใหลออกมา

“เสี่ยวเคอ?” วิปลาสหลิ่วดูตกใจ “เจ้าลิงน้อย เจ้าเกลียดการบ่มเพาะที่สุด เหตุใดจึงมาอยู่ที่หอหมื่นคัมภีร์ได้?”

“เป็นเพราะงานประลองยอดเขาจรัสในอีกสามเดือนนี้น่ะสิเจ้าคะ พี่สาวจึงบังคับให้ข้ามาที่นี่” หญิงสาวออกหมัดขาวดั่งหยกออกมา เอ่ยขึ้นด้วยความขุ่นเคืองใจ

แต่แม้จะพูดแบบนั้น นัยน์ตาดำขลับกลับลากมามองไปทางเฉินซีแทน เป็นสายตาที่ดูขี้เล่นไม่น้อย

“ศิษย์เอ๋ย นี่คือแม่นางอันเคอ เป็นอย่างไร? ทั้งหน้าตารูปร่างสวยหมดจดเลยใช่ไหมเล่า?” วิปลาสหลิ่วคลี่ยิ้ม เอ่ยแนะนำคนอย่างไม่เหมาะสมยิ่ง “พี่สาวของนาง อันเวย ยิ่งงามกว่านี้อีก หากมีโอกาสก็ไปพบหน้านางเสีย เป็นอาหารตาโดยแท้”

แม้ในใจจะรู้สึกอับอายเพียงใด เฉินซีก็อดเกิดความสงสัยขึ้นไม่ได้ อันเวยหรือ? ใช่ผู้บ่มเพาะหญิงเป็นคนเดียวในห้าศิษย์ชั้นสูงหรือไม่?

อีกทั้งนางยังมีชื่อเป็นอันดับหนึ่งในหมู่ศิษย์ชั้นสูงทั้งห้า เก่งกาจเหนือใครอีกต่างหาก!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท